อรรถกถา ทุทททชาดก
ว่าด้วย คติของคนดีคนชั่ว
ณ กรุงสาวัตถี "ลูกรักอีกสองวันข้างหน้า พ่อและกลุ่มพ่อค้ากำลังคิดว่าจะนิมนต์พระศาสดาและคณะพระภิกษุมาที่บ้าน อยากทำบุญถวายทานสักเจ็ดวัน ช่วยเตรียมของกับพ่อที่ได้ไหม" "ได้ขอรับ แล้วพ่อมีอะไรอยากจะถวายไหมผมจะได้ช่วยเตรียม" คนเป็นพ่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยกับลูกชายว่า "พ่ออยากได้ของที่จำเป็น อย่างเช่น ของแห้ง หรือพวกเครื่องห่มหรือสบู่ที่ท่านทั้งหลายเมื่อรับถวายแล้วได้ใช้จริงๆ" "ถ้าอย่างนั้นผมลองไปปรึกษาเพื่อนก่อนว่าจะซื้ออะไรบ้าง" "ขอบใจลูกมาก" จากนั้นบรรดาคณะพ่อค้า ต่างช่วยกันจัดเตรียม บรรดาข้าวปลาอาหาร แล้วข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ก่อนใช้มือปาดเหงื่อที่ไหลลงมาจากขมับ "ในที่สุดก็เสร็จสักที" ผู้พ่อเดินตรงมาหาลูกชาย ก่อนใช้มือตบที่บ่าเบาๆ "ขอบใจมากพรุ่งนี้ตอนเช้าพ่อจะไปนิมนต์พระศาสดาและคณะมาที่บ้าน"
เช้าวันต่อมา พระพุทธเจ้าและคณะเสร็จมายังบ้าน ก่อนบรรดาพ่อค้าต่างพากัน จัดเตรียมข้าวปลาอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ ถวายคณะพระภิกษุสงฆ์ ก่อนเอ่ย “ข้าแต่พระองค์ ในการถวายทานครั้งนี้มีผู้ที่ถวายมาก และน้อยแตกต่างกันไป ขอให้คนที่ถวายน้อยได้ผลบุญมากเท่าๆกันเถอะ”
พระศาสดาตรัสว่า "อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย พวกท่านถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์ เป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ ในอดีตท่านทั้งหลายนั้นถวายทานมอบให้อย่างนี้เช่นกัน"จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดในตระกูลพราหมณ์ ครั้นเมื่อเติบใหญ่จึงได้เข้าเรียนศาสตร์ทางด้านต่างๆจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา พระองค์ได้เห็นความทุกข์ของผู้คนจึงเกิดความคิดว่าอยากออกบวช จึงเข้าไปพูดคุยกับพ่อของตน "ท่านพ่อ" "ว่าอย่างไรทำไมวันนี้ถึงมาหาดึกขนาดนี้" "พอดีผมตัดสินใจว่าจะออกบวชเป็นฤๅษี" ผู้เป็นพ่อเป็นนิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยถาม "ลูกมั่นใจแล้วหรือ" "ครับ" "ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่ลูกเลย พ่อเคารพการตัดสินใจของเจ้า"
จากนั้นพระโพธิสัตว์จึงได้ออกเดินทาง ตรงไปยังประเทศหิมวันตะ ก่อนที่จะเข้ารับการบวชเป็นฤๅษี เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี
พระโพธิสัตว์ที่ได้รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่ม เที่ยวออกเดินทางไปยังหมู่บ้านที่ชนบทตามเขตชายแดน เส้นทางนั้นยังเป็นดินสีน้ำตาลเข้ม หญ้าสีเขียวขึ้นเต็มสองข้างทาง สายลมโบกสะบัด ใบหญ้าพลิ้วไหวไปตามแรงลม พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อยจากทิศตะวันออกจนกระทั้งไปถึงทิศตะวันตก ก่อนจะลับขอบฟ้าลง พระโพธิสัตว์กล่าว "ตอนนี้ก็เย็นมากแล้วพักตรงนี้ก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเดินไปบิณฑบาตที่หมู่บ้าน"
เช้าวันต่อมา "พระคุณเจ้าขอนิมนต์เจ้าค่ะ" ชาวบ้านกล่าว ขณะที่มือตักข้าวใสบาตร "ท่านพักที่นี่ กี่วันเจ้าคะ" เราไม่ได้พักที่นี่หรอก คงออกเดินทางไปเรื่อยๆ
จากนั้นคณะฤๅษีออกเดินตามทางไปเมืองต่างๆ แวะบิณฑบาตตามหมู่บ้าน จนกระทั่งถึงเมืองพาราณสี "พระคุณเจ้าขอรับกระผมขอนิมนต์ไปพักที่อุทยาน ได้ไหม" พระโพธิสัตว์หันมาทางต้นเสียงก่อนจะพยักหน้าลงช้าๆแล้วกล่าวว่า "ได้สิ"
ณ อุทยานเมืองพาราณสี ภายในมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอย่างอิสระ ต้นไม้ใหญ่เล็กสลับกับกันไปมาหรือเรียกได้ว่าป่าขนาดเล็กที่ขึ้นอยู่ในเมืองก็ว่าได้ เชิญคณะท่านพักที่นี่ได้เลยขอรับ "พรุ่งนี้กระผมและลูกบ้านคนอื่นจะจัดเตรียมข้าวปลาอาหาร มาถวายในวันรุ่งขึ้น" "ขอบใจท่านมาก" เมื่อกล่าวจบทางผู้นำก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตน
เช้าวันรุ่งขึ้นพระโพธิสัตว์ออกบิณฑบาตพร้อมกับคณะตามบ้านต่างๆ ชาวบ้านพากันถวายข้าวปลาอาหาร "นิมนต์เจ้าค่ะ ดิฉันตั้งใจทำอาหารถวายพระคุณเจ้าเลยนะเจ้าคะ นานๆที่จะมีนักบวชมาแถวนี้ พรุ่งนี้ท่านพักอยู่แถวนี้ได้ไหมเจ้าคะ ดิฉันจะได้ทำอาหารถวายพระคุณเจ้าอีกครั้ง"
พระโพธิสัตว์นั้นพักอยู่ที่อุทยานเมืองพาราณสีตลอดฤดูฝน เมื่อฤดูผ่านพ้นไปแล้วจึงเดินทางกลับป่าหิมพานต์ อีกครั้ง
แม้ทำทานน้อย บุญที่ได้นั้นแปรผันตรงกับความเลื่อมใสศรัทธา ถ้าทำทานน้อยแต่มีจิตที่เลื่อมใสมาก ผลบุญนั้นก็จะมาก ในขณะเดียวกันทำมากแต่มีจิตเลื่อมใสน้อยบุญนั้นก็ได้น้อยเช่นกัน
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
หมู่ฤๅษีในครั้งนั้น ได้เป็นพุทธบริษัทในครั้งนี้
ส่วนครูประจำคณะ คือ เราตถาคต นี้แล.