อรรถกถา จิตตสัมภูตชาดก
ว่าด้วยผลของกรรม
ณ พระเชตวันมหาวิหาร พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่เหล่าภิกษุ ขณะนั้นมีภิกษุสองรูปที่สนิทสนมจนแยกจากกันไม่ได้ แม้แต่ในยามบิณฑบาตก็ยังเดินคู่กันเสมอ ทำให้พระภิกษุอื่นสนใจและตั้งคำถามว่าความผูกพันนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร พระพุทธเจ้าทรงมีพระดำรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ความสนิทสนมของสองภิกษุนี้มิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาตั้งแต่อดีต" จากนั้น พระองค์จึงทรงเล่าเรื่องในอดีตดังนี้
นิทานในอดีต เมืองอุชเชนีในอดีตกาล ในดินแดนแห่งความรุ่งเรือง เมืองอุชเชนีเป็นนครใหญ่ที่ปกครองโดยพระเจ้าอวันตีมหาราช ในเมืองนี้ มีครอบครัวจัณฑาลครอบครัวหนึ่งที่ยากจนแต่เปี่ยมไปด้วยความรัก มีลูกชายสองคนคือ จิตตกุมาร พี่ชายผู้สุขุมและฉลาดหลักแหลม และ สัมภูตกุมาร น้องชายผู้ร่าเริงและกล้าหาญตั้งแต่วัยเด็ก ทั้งคู่มีความใฝ่ฝันอยากออกจากชีวิตความยากจน และเชื่อว่าศิลปะการแสดงจะเป็นหนทางสู่ชีวิตใหม่ พวกเขาฝึกฝนดนตรีและการแสดงละครจากครูในหมู่บ้านอย่างไม่ย่อท้อ
เมื่อเติบโตขึ้น พวกเขาออกเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อแสดงฝีมือที่ประตูเมือง แต่โชคไม่เข้าข้าง การแสดงของพวกเขากลับกลายเป็นเป้าหัวเราะและดูถูกจากคนในเมือง เพราะรู้ว่าพวกเขาเป็นจัณฑาล เหตุการณ์นี้ทำให้จิตตกุมารและสัมภูตกุมารโกรธแค้น แต่แทนที่จะตอบโต้ด้วยความรุนแรง พวกเขาเลือกปิดบังชาติกำเนิด และปลอมตัวเป็นพราหมณ์เพื่อเดินทางไปศึกษาศิลปะเพิ่มเติม ณ ตักกสิลา เมืองแห่งปัญญา
ความลับที่เปิดเผย ที่ตักกสิลา ทั้งสองศึกษาความรู้ทุกแขนงและได้รับความเคารพนับถือจากเพื่อนนักศึกษา วันหนึ่ง ขณะสัมภูตกุมารกำลังสนทนากับเพื่อนอย่างสนุกสนาน เขาเผลอพูดภาษาจัณฑาลออกมาโดยไม่ตั้งใจ
ความลับแตกทันที ทั้งเพื่อนนักศึกษาและอาจารย์ต่างแสดงความรังเกียจและขับไล่พวกเขาออกจากสำนัก ความฝันที่จะใช้ความรู้ยกระดับชีวิตพังทลายลง หมดหนทางกลับเมือง พี่น้องจึงหนีเข้าป่า ที่นั่น พวกเขาได้พบกับกลุ่มนักบวชที่กำลังปฏิบัติธรรมเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น ด้วยจิตใจที่แตกสลายจากความไม่ยุติธรรมของโลก พี่น้องทั้งสองจึงขอเข้าร่วมกลุ่ม
การใช้ชีวิตในป่าสอนให้พวกเขาปลดปล่อยความโกรธแค้นและมุ่งมั่นในทางธรรม แต่ระหว่างทางนั้น กลับมีเหตุการณ์สนุกสนานมากมาย เช่น การต่อสู้กับช้างป่าที่หลุดมาทำลายลานปฏิบัติธรรม หรือการเอาชนะฝูงลิงที่มาขโมยอาหารด้วยความเฉลียวฉลาดของจิตตกุมาร
ชาติใหม่และกรรมที่ต่อเนื่อง เมื่อสิ้นอายุขัยในชาตินั้น กรรมของพวกเขายังส่งผลต่อเนื่อง จิตตกุมารได้เกิดเป็นฤาษีผู้มีปัญญาในชาติถัดไป ส่วนสัมภูตกุมารได้เกิดเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
ฤาษีจิตตได้ข่าวว่าสัมภูตกุมารเป็นกษัตริย์ แต่ยังคงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและหลงในอำนาจ ฤาษีจึงเดินทางไปยังราชอาณาจักรเพื่อสั่งสอนเขา
เพื่อดึงความสนใจจากกษัตริย์ ฤาษีจิตตาจัดการแสดงท้าทายความคิดในพระราชวัง เขาถามปริศนาที่ซับซ้อนและท้าทายกษัตริย์ให้ตอบคำถามที่เกี่ยวกับธรรมะ แม้สัมภูตกุมารจะมีปัญญา แต่ก็ไม่อาจเอาชนะฤาษีได้ด้วยความทึ่งและศรัทธา สัมภูตกุมารจึงตัดสินใจสละราชสมบัติและตามฤาษีเข้าสู่ป่า เพื่อแสวงหาความสงบในชีวิตทางธรรม
พระศาสดา ครั้นนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โบราณกบัณฑิต แม้จะท่องเที่ยวไป ๓-๔ ภพ ก็ยังเป็นผู้มีความคุ้นเคยรักใคร่สนิทสนมมั่นคงอย่างนี้โดยแท้
แล้วทรงประชุมชาดกว่า
สัมภูตดาบสในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์
ส่วนจิตตบัณฑิตดาบสได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.