วิเคราะห์เจาะลึก "ปรากฏการณ์อัศจรรย์ตะวันแก้ว"
โดย...แพทย์หญิงศิริพร สุขสุทธิพันธ์
ข่าวปรากฏการณ์ "อัศจรรย์ตะวันแก้ว" ที่เกิดขึ้น ณ วัดพระธรรมกาย ทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ เป็นที่สนใจของคนทั่วไปเป็นอย่างมาก รวมทั้งตัวผู้เขียนเอง อยากรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกหลอกลวง เป็นพุทธพาณิชย์ เป็นวิธีการหาเงินเข้าวัดหรือไม่ เพราะทางวัดกำลังก่อสร้างมหาธรรมกายเจดีย์และอยู่ในช่วงของการบอกบุญหาเงินสร้างอยู่พอดี ทำให้เกิดความสงสัยว่า จะมีสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ในโลกนี้หรือ ผู้เขียนจึงเดินทางไปพิสูจน์ด้วยตนเองเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๑ และวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ การเห็นด้วยตาตนเองย่อมดีกว่าการวิจารณ์จากคำบอกเล่าของผู้อื่น
ประสบการณ์ที่ได้พบเห็นด้วยตนเอง เป็นสิ่งที่แปลกมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิต เป็นการเห็นในขณะที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน รู้สึกตัวตลอดเวลา ไม่มีใครมาชี้นำให้ดู ได้เห็นพร้อมกับฝูงชนจำนวนมาก ผู้เขียนเองตื่นตะลึงนึกไม่ถึงว่าจะมีสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ในโลกนี้ เกิดความปีติในใจที่ได้มีโอกาสเห็นด้วยตาตัวเอง
วันที่ ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑
เวลาประมาณ ๑๗.๑๕ น. ขณะที่ท้องฟ้าทั่วๆ ไปยังสว่างจ้าอยู่ มีเมฆปกคลุมบริเวณแนวดวงอาทิตย์เป็นบางครั้ง ช่วงนั้นดวงอาทิตย์สว่างจ้ามองด้วยตาเปล่าไม่ได้ แต่ในช่วงที่หลวงพ่อเจ้าอาวาสได้กล่าวนำพิธีอธิษฐานจิตใกล้จะจบลง ได้มีเมฆก้อนเล็กๆ เคลื่อนเข้ามาบังดวงอาทิตย์ที่สว่างจ้าอยู่พอดี แต่เมื่อเมฆก้อนนี้เคลื่อนผ่านไป ก็เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้น ผู้เขียนสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้ด้วยตาเปล่า ไม่ได้มีความสว่างจ้าเหมือนอย่างเดิม แต่เป็นดวงอาทิตย์ดวงกลมที่มีสีเหลืองอมแดงเย็นตามองได้สบายโดยไม่แสบตาเป็นเวลานานเกือบ ๒๐ นาที พร้อมทั้งมีปรากฏการณ์ประหลาดอัศจรรย์เกิดขึ้นคือ
ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวและมีแสงกะพริบรอบๆ ดวงกลมค่อนข้างถี่ มีแสงสีชมพูกระจายออกมารอบดวงอาทิตย์เป็นบริเวณกว้างสวยงามมาก และมีการเปลี่ยนสีเป็นสีทอง สีฟ้า สีส้ม สลับกันตลอด ลักษณะก็ไม่ไหมือนกับดวงอาทิตย์ทรงกลดอย่างที่เราเคยเห็นกัน ทันใดก็ปรากฏภาพหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ในท่านั่งสมาธิเป็นภาพเหมือนรูปหล่อทองคำ ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือมหาธรรมกายเจดีย์ มีดวงกลมคล้ายดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวบริเวณกลางท้องของท่าน และมีดวงแก้วใสขนาดใหญ่มากคลุมรอบๆ ภาพหลวงพ่ออยู่ด้วย ขณะเดียวกันภาพพระภิกษุจำนวนนับร้อยที่นั่งทำสมาธิรอบๆ ธรรมกายเจดีย์ เปลี่ยนสีเป็นสีชมพูสวยงามมาก
ประมาณ ๒๐ นาที เหตุการณืต่างๆ เหล่านี้ก็กลับสู่สภาพเดิม ดวงอาทิตย์ซึ่งเมื่อสักครู่มองด้วยตาเปล่าได้สบายและเย็นตา กลับสว่างจ้ามองไม่ได้ ต้องหลบสายตาเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่บรรยากาศช่วงนี้ก็เย็นลงจนดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว
เหตุการณ์เหล่านี้ปรากฏต่อหน้าฝูงชนจำนวนนับแสนที่มาชุมนุมอธิษฐานจิตรอบมหาธรรมกายเจดีย์ หลายคนมีสีหน้าปีติยินดี น้ำตาไหลซึมโดยไม่รู้ตัว ได้สอบถามคนรอบๆ ข้างดู พบว่าส่วนใหญ่ได้เห็นคล้ายๆ กัน และแต่ละคนก็บรรยายได้ไม่เหมือนกัน มีไม่กี่คนที่บอกว่า ไม่เห็นอะไร ผู้เขียนและครอบครัวเดินทางกลับบ้านด้วยความปีติอย่างยิ่ง
วันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๑
เวลาประมาณ ๑๗.๓๐น. หลังเสร็จพิธีอธิษฐานจิตบริเวณมหาธรรมกายเจดีย์ มีฝนตกหนัก ท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยเมฆฝน ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ผู้เขียนกำลังเดินฝ่าสายฝนจะไปขึ้นรถกลับบ้าน ก็ได้เห็นดวงกลมใสเหมือนแก้วจนสามารถมองทะลุไปเห็นกลุ่มเมฆด้านหลัง โดยดวงกลมนี้ปรากฏทับตรงตำแหน่งที่ดวงอาทิตย์ปรากฏอยู่พอดี ขอบๆ ดวงนั้นมีความสว่างจ้าเป็นสีทอง สวยงามมาก และปรากฏมีรัศมีสีชมพู แดง เหลือง พุ่งสลับกันออกมา ดวงกลมนั้นหมุนรอบตัวอย่างชัดเจน ยืนมองด้วยความตะลึงท่ามกลางสายฝนอยู่นานเกือบ ๑๐ นาที จนปรากฏการณ์นั้นค่อยๆ เลือนหายไป
เท่าที่ได้รับทราบมา เหตุการณ์เช่นที่เล่ามานี้ เกิดขึ้น ณ ลานธรรมมหาธรรมกายเจดีย์หลายครั้งแล้ว แต่ผู้เขียนได้มีโอกาสเห็นด้วยตาตนเอง ๒ ครั้งดังที่เล่ามา ได้พยายามหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ได้เห็น พอสรุปได้ดังนี้
๑.เกิดจากการใช้ขบวนการเทคโนโลยีสมัยใหม่สร้างขึ้นได้หรือไม่ เช่น การใช้แสงเลเซอร์กำลังสูงสร้างภาพขึ้นมา แต่มีข้อคัดค้านเช่น การใช้แสงเลเซอร์ให้เห็นภาพนั้น จะต้องมีฉากรับแสง หรืออย่างน้อยก็ต้องมีเมฆฝ้าๆ ที่มีฐานเมฆต่ำๆ เพื่อรับแสง แต่ปรากฏว่าในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๑ ตามที่ได้เห็นก็ไม่มีสิ่งบอกเหตุเหล่านี้ หรือหากมีก็จะตอบคำถามไม่ได้ว่า ณ เวลาเดียวกัน ทำไมคนจำนวนมากในที่นั้นจึงมองเห็นรายละเอียดของปรากฏการณ์เหล่านี้ได้แตกต่างกันไป ซ้ำบางคนบอกว่าไม่เห็นก็มี หรือไม่เช่นนั้นก็น่าจะมีผู้คนที่อยู่นอกวัดในละแวกใกล้ๆ ได้เห็นสิ่งเหล่านี้บ้าง แต่ก็ไม่มีข่าวแจ้งมาเลย ซึ่งผิดหลักทางวิทยาศาสตร์ที่สิ่งของสิ่งเดียวกัน กลับมองเห็นไม่เหมือนกันและไม่เห็นทุกคน หากสิ่งที่เห็นนั้นเกิดจากการสร้างของมนุษย์หรือหากเกิดมีการใช้เทคโนโลยีแบบนี้จริง ก็ไม่น่าจะพ้นสายตาของผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่พยายามเข้าไปจับผิด ได้แน่
๒.การหักเหของแสง(LightReflection) เช่นกรณีที่เราส่องลำแสงสีขาวผ่านแก้วปริซึม แสงที่ผ่านออกมาจะปรากฏเป็นแสงสีรุ้ง หากเกิดกับดวงอาทิตย์ เรามักจะมองเห็นลักษณะที่เรียกว่า พระอาทิตย์ทรงกลด เป็นแถบวงกลมของแสงสีรุ้งรอบๆ ดวงอาทิตย์ แต่สิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นเช่นนั้น แสงที่ปรากฏออกมาเป็นสีรอบๆ ดวงอาทิตย์กลับเปล่งออกมาทีละสีสลับกันไปมา ไม่ได้ออกมาเป็นแถบสีรุ้งเหมือนดวงอาทิตย์ทรงกลด นอกจากนั้นยังมีการขยายโตขึ้นและหดเล็กลงคล้ายเป็นการเปล่งรัศมีได้อีก
๓.ตาฝาดไปหรือเปล่า? (Hallucination) ไม่น่าจะใช่ เพราะเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดช่วงสั้นๆ สามารถนั่งมองดูอยู่ได้นาน ๑๐-๒๐ นาที นั่งดูไปก็วิจารณ์กันไปโดยไม่ต้องขยี้ตาพิสูจน์ว่าตนเองตาฝาดไปหรือเปล่า และคงไม่น่าจะมีคนตาฝาดพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกันเป็นหมื่นเป็นแสนคน
๔.เกิดจากอาการ Retinal burn (จอรับภาพของนัยน์ตาถูกกระทบกระเทือน) ตามที่จักษุแพทย์บางท่านได้อธิบายไว้ ทำให้เกิดการมองเห็นที่ผิดเพี้ยนไป ก็อาจเป็นเหตุผลที่รับฟังได้ แต่มีข้อโต้แย้งในกรณีนี้คือ ทำไมเรามองดูอยู่ได้นานถึง ๑๐-๒๐ นาที (ในวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๔๑ ข่าวบอกว่าเห็นเหตุการณ์เป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง) และเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป ทำไมเรากลับมองดวงอาทิตย์ไม่ได้อีก (แสง flare จ้าจนต้องหลบสายตา) และหลังเหตุการณ์นี้ผ่านไปก็ไม่มีใครกล่าวว่าสายตาของเขาผิดปกติไปจากเดิม ยกเว้นพวกที่ดูดวงอาทิตย์นอกเวลาที่มีปรากฏการณ์
๕.จิตวิทยามวลชน? การสร้างสื่อให้เกิดกระบวนการจิตวิทยามวลชน เช่น การตะโกนกล่าวนำปลุกกระตุ้นให้ฝูงชนร้องตะโกนพร้อมโบกธงขึ้นพร้อมๆกัน ให้หันซ้ายหันขวา เช่นลักษณะการสร้างม็อบนั้น สามารถทำและเป็นไปได้แน่นอน แต่การจะกระตุ้นชี้นำให้คนจำนวนนับแสนเกิดการมองเห็นในสิ่งที่ผิดธรรมชาติพร้อมๆ กันนั้นคงเป็นไปได้ยาก เพราะประสาทตาที่รับภาพคงจะบังคับให้ทำตามกันไม่ได้ง่ายๆ นัก และก่อนที่ฝูงชนจะเห็นปรากฏการณ์นี้ก็ไม่เห็นมีใครกล่าวชี้นำให้ดูเลย อยู่ๆ ต่างคนต่างก็มองเห็นปรากฏการณ์นี้ขึ้นมาพร้อมกัน ด้วยตาเนื้อของแต่ละคน ต่างก็นั่งมองไปด้วยความปีติ ไม่มีใครมาชักจูงใคร ได้เห็นแล้วก็วิจารณ์กันไปคนละแบบ แต่สรุปได้ว่าเห็นคล้ายๆ กัน ขณะที่ได้เห็นแต่ละท่านก็มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทั้งสิ้น จิตวิทยามวลชนอาจจะเกิดได้กับคนกลุ่มเล็กๆ แต่กับคนจำนวนเป็นหมื่นเป็นแสน ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ และเกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง
๖.ถูกสะกดจิตหรือเปล่า? ใครก็ตามที่สามารถสะกดจิตคนจำนวนหมื่นจำนวนแสนให้ตกอยู่ในสภาพเดียวกันพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกันได้ ก็ควรจะให้เกียรติยกย่องในความสามารถได้แล้ว ซึ่งขณะนั่งสมาธิก็น่าจะสะกดจิตให้เห็นองค์พระหรือดวงแก้วกันหมด ไม่ต้องนั้งสมาธิวันละหลายครั้งอย่างนี้ พิจารณาแล้วจึงไม่น่าจะเป็นไปได้
๗.เกิดจากการจูงใจของเจ้าอาวาส ขอยืนยันว่า ก่อนหรือระหว่างเกิดปรากฏการณ์เหล่านี้ ไม่เคยได้ยินเสียงท่านกล่าวชักจูงใจหรือกล่าวนำอะไรเกี่ยวกับเรื่องปรากฏการณ์เหล่านี้ให้ได้ยิน
สรุปได้ว่า สิ่งที่ได้เห็น ๒-๓ ครั้ง เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ แน่นอน ไม่ใช่เรื่องเล่าขานเป็นข่าวโคมลอย มีผู้ได้เห็นเป็นพยานพร้อมๆ กันนับหมื่นนับแสนคน
ผู้เขียนอยากจะวิเคราะห์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติ (Super-nature) เหนือวิทยาการหรือเทคโนโลยีใดๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้ติดตามดูว่าวัดพระธรรมกายมีงานบุญอะไรที่น่าจะเกี่ยวโยงกับปรากฏการณ์นี้ได้ พบว่าเป็นงานบุญฉลองการปิดยอดองค์พระธรรมกายประจำตัวประดิษฐานที่ภายนอกมหาธรรมกายเจดีย์ในวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๑ และงานบุญทอดกฐินสามัคคีเพื่อสร้างมหาธรรมกายเจดีย์เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ ซึ่งได้ทราบมาว่า การสร้างมหาธรรมกายเจดีย์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ
๑.ให้เป็นศูนย์รวมใจของชาวพุทธทั่วโลก เหมือนหินดำศักดิ์สิทธิ์ ณ นครเมกกะ ของชาวมุสลิม หรือสำนักวาติกันของชาวคริสต์ ในอนาคตชาวพุทธทั่วโลกจะเดินทางมาทำพิธีทางศาสนา มาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิพร้อมๆ กันในวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันมาฆบูชา ณ มหาธรรมกายเจดีย์แห่งนี้ จะเป็นศูนย์รวมของชาวพุทธทั่วโลกนับล้านคน ที่มารวมกันปฏิบัติธรรมที่นี่ เหมือนกับที่ชาวมุสลิมทั่วโลกเดินทางไปทำพิธีแสวงบุญที่นครเมกกะเป็นประจำทุกปี
๒.เพื่อให้เป็นสิ่งกระตุ้นเตือนใจคนให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย ให้ผู้คนหันมาสนใจเรื่องศาสนาและเรื่องคุณงามความดี ช่วยยกจิตใจคนให้สูงขึ้น สันติสุขจะได้บังเกิดอย่างแท้จริงแก่มวลมนุษยชาติ
๓.เพื่อให้เป็นสถานที่สำคัญ ที่จะทำให้ประเทศไทยได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจไปอีกนานนับพันปี เพราะมหาธรรมกายเจดีย์เมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ จะช่วยดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เดินทางมานมัสการ เยี่ยมชม หรือมาศึกษา ผลที่ตามมาคือรายได้ของประเทศชาติ จากค่าพาหนะเดินทาง ค่าโรงแรมที่พัก ค่าอาหาร ของที่ระลึก เป็นต้น ลงทุนครั้งเดียวแต่จะช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ประเทศไปอีกนาน
บุญแห่งการร่วมกันรวมใจมุ่งมั่นเพื่อสร้างมหาธรรมกายเจดีย์ให้สำเร็จด้วยแรงศรัทธาจากสาธุชนจำนวนมากนับแสนนับล้านคนคงจะต้องเป็นบุญใหญ่ และเป็นไปได้หรือไม่ว่าพลังบุญแห่งแรงศรัทธานี่แหละ คือสิ่งที่บันดาลให้เกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เรียกว่า"อัศจรรย์ตะวันแก้ว"ขึ้นมาให้ผู้คนจำนวนมากได้ประสบพบเห็นและได้ตระหนักถึงพลังอานุภาพแห่งบุญที่ยิ่งใหญ่
ประสบการณ์ต่างๆ ที่ผู้เขียนได้พบเห็นและพยายามวิเคราะห์ด้วยตนเองเหล่านี้ อาจจะไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงใจท่านอื่นๆ ได้ แต่จนถึง ณ เวลาปัจจุบัน ผู้เขียนก็ยังมั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ (Super-nature) ซึ่งยังคงต้องการข้อวิเคราะห์หรือข้อวินิจฉัยจากท่านผู้รู้ท่านอื่นๆ อีกมาก หากท่านผู้ใดมีประสบการณ์ได้พบเห็นด้วยตนเองและมีแนวคิดวิเคราะห์ต่างออกไป โปรดกรุณาขยายความเพื่อเป็นวิทยาทานด้วย ส่วนการวิเคราะห์จากท่านผู้รู้ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายที่ได้ปรากฏตามสื่อต่างๆ โดยที่ท่านเหล่านั้นยังไม่ได้ประสบพบเห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง ผู้เขียนยินดีน้อมรับ แม้จะไม่แน่ใจว่าหากท่านเหล่านั้นได้พบเห็นด้วยตัวเองแล้วจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการวิเคราะห์ไปจากเดิมหรือไม่ก็ตาม
แพทย์หญิง ศิริพร สุขสุทธิพันธ์
การศึกษา
- แพทย์ศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ผู้ชำนาญทางกุมารเวชศาสตร์
อดีต
- แพทย์ผู้ชำนาญโรคเด็ก โรงพยาบาลพุทธชินราศ จ.พิษณุโลก
- แพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรวมแพทย์ จ.พิษณุโลก
ปัจจุบัน
- ประกอบอาชีพเปิดคลินิกส่วนตัว
- เป็นวิทยากรรับเชิญบรรยายธรรมทั่วประเทศ