อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ

พระมหาสิริราชธาตุ รุ่นดูดทรัพย์ สำหรับ ผู้สร้างพระธรรมกายประจำตัวภายในมหาธรรมกายเจดีย์นั้น จะได้รับของที่ระลึกเป็นพระธรรมกายของขวัญ

อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ เรื่องที่ ๓๖๒แม่จ๋าหนูมาแล้ว

เรื่องที่ ๓๖๒แม่จ๋าหนูมาแล้ว
คุณแม่ป่วยเป็นโรคที่ยังไม่มีทางรักษา แขนบวมและเต็มไปด้วยน้ำเหลือง
คุณพ่อได้แต่รอฟังข่าวจากโรงพยาบาลเพื่อรอรับศพคุณแม่่



 

 
 
คุณศิรินญา รัตนวงศ์ษา
 
 

คุณศิรินญา รัตนวงศ์ษา อายุ ๓๐ ปี ทำงานเป็นแม่บ้านอยูุ่ ฮ่องกงมา ๘ ปี เมื่อวันพุธที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๒ คุณแม่คร่อง รัตนวงศ์ษา ป่วยเป็นโรค "ไฟลามทุ่ง" อยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ โดยทางบ้านยังไม่ได้แจ้งให้คุณศิรินญาทราบ กว่าจะทราบก็ผ่านมาแล้ว ๓ วัน คือวันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๒ คุณศิรินญาจึงเริ่มนั่งสมาธิและสวดมนต์ อธิษฐานจิตต่อพระมหาสิริราชธาตุ ซึ่งเป็นพระของขวัญจากการทำบุญสร้างองค์พระให้กับคุณแม่ โดยที่คุณแม่ยังไม่มีศรัทธา ครั้งแรกที่ได้ทราบข่าวว่าคุณแม่ป่วยเป็นโรคไฟลามทุ่ง คุณศิรินญารู้สึกตกใจมาก เพราะโรคนี้เป็นโรคใหม่ยังไม่มีทางรักษา คุณแม่ถูกส่งเข้าห้องไอซียู ญาติๆต่างก็หมดหวังเพราะคุณแม่ส่งเสียงร้องดัง ดูท่านทุกข์ทรมานมาก ความดันโลหิตต่ำจนถึง ๒๐ และมีแต่ผู้ป่วยคนอื่นที่ทยอยเสียชีวิต ใจคุณศิรินญานั้นอยากกลับบ้านมาดูใจคุณแม่เหลือเกิน แต่ก็ไม่สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินได้ ต้องรอจนถึงวันจันทร์จึงจะได้กลับ แต่พอตั้งสติได้จึงระลึกถึงที่พึ่งอันสูงสุดคือพระรัตนตรัย จึงวางใจตรึกระลึกถึงบุญและอธิษฐานจิตติดต่อกันโดยไม่ได้นอนทั้ง ๒ คืน ใจนั้นเชื่อมั่นมากรู้แต่ว่าคุณแม่จะต้องหายป่่วยและคุณของพระรัตนตรัยจะสามารถช่วยคุณแม่ได้ อาการของคุณแม่ยังไม่ดีขึ้น นิ้วก้อยข้างหนึ่งถูกตัดทิ้งจนถึงโคนมือแล้ว เพราะเชื้อโรคลามขึ้นไป แขนจะบวมและเต็มไปด้วยน้ำเหลือง ต่อสายระโยงระยางเต็มไปหมด ทั้งสายช่วยหายใจและสายดูดเสมหะ ตาก็มองไม่เห็น คุณพ่อได้แต่รอฟังข่าวจากโรงพยาบาลเพื่อไปรับศพคุณแม่่ เพราะคนป่วยอื่นๆ ในห้องไอซียูที่เป็นโรคเดียวกันทยอยเสียชีวิตไปเรื่อยๆ แม้แต่พยาบาลคนหนึ่งก็ติดเชื้อและเสียชีวิตไปด้วย ถึงกระนั้นก็ตามอาการของคุณแม่ก็ยังดีกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากส่วนใหญ่จะเสียชีวิตเมื่อเชื้อโรคลุกลามได้ ๓ วัน

 
 
คุณแม่คร่อง รัตนวงศ์ษา
หายป่วยจากโรคที่ไม่มีทางรักษาได้อย่างอัศจรรย
 

เมื่อคุณศิรินญามาถึงในวันอังคาร ก็รีบมาหาแม่ที่โรงพยาบาล ซึ่งคำแรกเมื่อเธอพบหน้าแม่ เธอกล่าวว่า "แม่จ๋าหนูมาแล้ว พระมาช่วยแม่แล้ว" แล้วนำองค์พระมหาสิริราชธาตุใส่ไว้ในมือคุณแม่ ซึ่งบวมไปหมด แต่ก็พยายามให้แม่กำแล้วก็สวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ ๓ จบ อยู่ที่เตียงคนป่วย พอสวดจบก็เป่าเบาๆ บนแผลแม่และทั่วเตียง แล้วแขวนพระไว้บนหัวเตียงนั้น ก่อนกลับก็กระซิบบอกแม่ว่าจะไปทำน้ำมนต์ให้คุณแม่ในวันพรุ่งนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น คุณศิรินญาก็รีบนำน้ำมนต์นั้นมาหยอดใส่ปากคุณแม่ ๓ หยด เพราะคุณแม่ดื่มอะไรไม่ได้ แล้วก็พรมทั่วเตียงและบนแผลที่เต็มไปด้วยน้ำเหลือง หลังจากนั้นก็สวดมนต์ให้คุณแม่ฟังอีก ๓ จบ คุณแม่เริ่มรู้สึกตัวบ้าง และแผลที่มีน้ำเหลืองเริ่มลดลง


วันถัดมาคือวันพฤหัสบดี คุณแม่ก็ฟื้น แผลแห้งสนิทและเริ่มคัน จนคุณหมอประเสริฐซึ่งเป็นหมอใหญ่ที่โรงพยาบาลจังหวัดยังแปลกใจและ พูดว่า "พระมาช่วยจริงๆ" วันศุกร์นั้้นก็สามารถนำสายยางต่างๆ ออกจากปากได้แล้วคุณแม่เริ่มทานข้าวได้แล้ว ขณะนั้นคุณศิรินญายังคงสวดมนต์นั่งสมาธิติดต่อกันทุกวันไม่มีหยุด จนกระทั่งวันเสาร์ ซึ่งครบ ๑๐ วัน หลังจากเริ่มป่วย คุณแม่ก็สามารถออกจากห้องไอซียูได้ และมาพักฟื้นที่ห้องธรรมดา เมื่อคุณแม่พูดได้แล้ว ท่านเล่าว่า วันที่คุณศิรินญานำพระมาใส่ในมือท่านนั้น ท่านยังไม่ฟื้นตัว แต่มองเห็นก้อนขนาดใหญ่ สีม่วง สีดำ จะมาทับหัวใจท่าน แต่ท่านเห็นพระรูปหนึ่งดูมีีอายุ รูปร่างท้วมนิดหน่อย ไม่ดำไม่ขาว ดูเหลืองอร่าม ลอยมาอยู่บนหัวเตียงและพูดว่า "พวกมึงไปเถอะ อย่ามาทำลูกกู ลูกกูป่วยนิดเดียวเอง" จบคำพูดพระรูปนี้ ก้อนที่จะมาทับหัวใจท่านก็หายไป คุณแม่ก็เลยขอพรจากพระรูปนั้น ท่านให้พรให้หายป่วยจากโรคภัยแล้วก็จากไป คุณศิรินญานั้นรู้อยู่ในใจแล้วว่าต้องเป็นหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายที่เคารพอย่างสูงแน่นอน จึงเอารูปท่านในกระเป๋าออกมาถามคุณแม่ว่า "ใช่องค์นี้ไหม?" คุณแม่คร่องตะลึงและยืนยันว่า "ใช่ ใช่ องค์นี้แหละ ที่มา" ทำให้คุณศิรินญาปลื้มใจและเชื่อมั่นในบุญมากขึ้น คุณแม่ยังย้ำต่อว่า ตอนที่คุณศิรินญายังมาไม่ถึงเมืองไทยนั้นว่า "ลูกยังมาไม่ถึง ก็อาราธนาให้พระมาช่วยรักษา แล้วลูกค่อยมา" แสดงว่าคุณแม่สามารถรับกระแสบุญที่คุณศิรินญาปฏิบัติธรรมและสวดมนต์ให้ทุกวันได้ คุณแม่คร่องเป็นคนแรกของจังหวัดชัยภูมิที่หายป่วยจากโรคไฟลามทุ่งนี้ จนคุณหมอประจำจังหวัดได้อานิสงส์โดยการได้เลื่อนขั้นจากผลงานที่คุณแม่หายป่วยครั้งนี้ (พระช่วยทั้งคนและหมอไปพร้อมกัน)

 

โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เราทราบกันดีว่ามีสาเหตุอยู่ ๔ ประการคือ
-เหตุจากบาปกรรมเก่าที่เคยทำไว้ตามมาทัน อาจจะเป็นบาปชาติก่อนหรือชาตินี้ก็ได้ เช่นเคยมีเวรฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำทารุณทรมานให้เจ็บปวดอวัยวะใดไว้ ใช้ไม้ขว้างปาทำให้สัตว์ตาบอด กรรมมาทันตนเอง อยู่อยู่ก็มีอาการปวดตากระทันหัน แพทย์รักษาพยาบาลไม่ทัน ตาบอดทันทีด้วยโรคร้ายหรืออุบัติเหตุ


-เหตุจากจิต เป็นเพราะไม่สามารถควบคุมจิตใจตนเองให้อยู่ในอำนาจของตน จิตใจอ่อนแอ จิตใจฟุ้งซ่านหรือได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจรุนแรงจนเสียสติ ฯลฯ

-อุตุ คือสภาพดินฟ้าอากาศ สิ่งแวดล้อมต่างๆ เช่นอยู่ในบริเวณที่อากาศมีมลพิษมาก ร่างกายต้องรับสารพิษ รับเชื้อโรค เชื้อไวรัส ฯลฯ ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ

-อาหาร การบริโภคอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ อาหารขาดแคลน อาหารมีสารพิษปนเปื้อน ฯลฯ เป็นทางให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดตามมา

การแก้ไข ก็ต้องแก้กันไปตามสาเหตุที่เกิดขึ้น รายมารดาของคุณศิรินญา หากจะคิดว่าเป็นโรคติดเชื้อเป็นเพราะสิ่งแวดล้อม มีคนเป็นโรคนี้ ทำให้เกิดการติดต่อ เมื่อแพทย์ทำการรักษาตามวิธีการแพทย์ โรคก็ต้องค่อยหายไป แต่เมื่อยิ่งรักษายิ่งเป็นมากแทบเอาชีวิตไม่รอด กระทั่งตัดนิ้วทิ้งก็ไม่ดีขึ้น จึงต้องเป็นสาเหตุมาจากกรรมที่เป็นบาปอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำไว้ในอดีตของคนเจ็บ เช่นเฆี่ยนตีสัตว์ไว้จนเป็นแผลแล้วไม่รักษา ปล่อยให้แผลเน่าลุกลาม ฯลฯ


การที่คุณศิรินญานึกถึงบุญที่กระทำไว้ ให้บุญช่วยมารดา จึงเป็นการแก้ที่ถูกทาง แม้แม่จะไม่ใช่เป็นผู้ทำบุญเอง ลูกเป็นผู้กระทำให้ แม่ได้บุญโดยเป็นผู้อนุโมทนาเท่านั้นก็ตาม แต่ความผูกพันในสายใยครอบครัวพ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง วงศาคณาญาติ ย่อมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดต่อเนื่องถึงกัน คนหนึ่งเป็นสุข คนอื่นๆ ก็สุขด้วย ใครเป็นทุกข์ คนอื่นๆ ก็ทุกข์ด้วย โดยเฉพาะที่เป็นพ่อแม่ลูก


มารดาป่วยหนัก คุณศิรินญาย่อมเป็นทุกข์เหมือนป่วยไปตาม เมื่อสร้างบุญกุศลไว้ ตามระลึกถึงบุญเหล่านั้น บุญย่อมมาเป็นอุปถัมภกกรรมให้ตนเอง ให้หายจากความทุกข์เรื่องแม่ป่วย


รวมทั้งกรรมของผู้ป่วยคงไม่หนักมากจนถึงสิ้นชีวิต ทำให้บุญที่ตนเองมีอยู่พอช่วยบีบคั้นหรือตัดรอนบาปกรรมเก่าให้หมดลง ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แสดงฤทธิ์ช่วยได้ คือผู้ป่วยได้เห็นหลวงพ่อวัดปากน้ำมาช่วยตามที่เล่า


ส่วนสิ่งที่คนป่วยเห็นว่ามีก้อนอะไรจะมาปิดหัวใจตนเอง ก่อนที่หลวงพ่อวัดปากน้ำจะปรากฏกายมาขับไล่สิ่งนั้น นั่นก็คือสิ่งที่เกิดจากกรรม กำลังทำหน้าที่ทวงหนี้ ถ้าปิดหัวใจได้ก็ต้องตาย เพราะหัวใจทำงานสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่ายกายไม่ได้ ภาพที่เห็นนั้น คนเจ็บเห็นด้วยตาของกายมนุษย์ละเอียดหรือกายผันหรือกายไปเกิดมาเกิด ไม่ใช่ตาของกายเนื้อ เพราะเวลานั้นร่างกายอยู่ในอาการไม่รู้สึกตัวในห้องไอ.ซี.ยู. แล้วเป็นภาพที่เห็นเฉพาะตนเองตามลำพัง แพทย์พยาบาลหรือคนอื่น ๆ ไม่เห็นด้วย


ด้วยเหตุนี้เราทุกคนจึงต้องหมั่นดูแลสาเหตุความเจ็บป่วยของตนเองโดยสมควร รักษาใจให้มีความเข้มแข็ง อยู่ในสิ่งแวดล้อมถูกสุขลักษณะ รวมทั้งอาหารตามหลักโภชนาการ ส่วนบุญนั้นต้องทำให้มากไว้แก้กรรม เพื่อจากหนักจะได้กลายเป็นเบา จากเบาจะได้หายไปเลย

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล