อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ

พระมหาสิริราชธาตุ รุ่นดูดทรัพย์ สำหรับ ผู้สร้างพระธรรมกายประจำตัวภายในมหาธรรมกายเจดีย์นั้น จะได้รับของที่ระลึกเป็นพระธรรมกายของขวัญ

อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ เรื่องที่ ๓๖๓ปล้นกลางวันแสกๆ

เรื่องที่ ๓๖๓ปล้นกลางวันแสกๆ
ชายฉกรรจ์ ๓ คนเข้ามาในร้าน แล้วยิงปืนขู่ ๑ นัด และตะโกนบอกว่า "ถ้าใครขัดขืน พวกมึงตาย"



 

 
 
ตำแหน่งที่คุณอนุชานั่งทำงานที่โต๊ะ และตำแหน่งที่
ลูกชายถูกคนร้ายยิง
 
 

คุณอนุชา ขจีวัฒนา อยู่ที่ จ.กาญจนบุรี ที่บ้านทำการค้าเปิดร้านรับซื้อ-ขายของเก่า มีโอกาสได้เดินทางมาทำบุญที่วัดพระธรรมกายครั้งแรก เมื่องานมาฆบูชา ปี พ.ศ.๒๕๔๐ ในวันนั้นทางวัดมีพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ คือเป็นวันที่มีพิธีหล่อพระบรมพุทธเจ้า ด้วยเงินยวงหนักถึง ๑๔ ตัน (๑๔,๐๐๐ กก.) คุณอนุชาเล่าถึงความประทับใจในงานวันนั้นว่า "ผมไม่เคยมา ครั้งแรกพอรถวิ่งเข้ามาถึงบริเวณวัด ก็ร้องโอ้โฮทันที รู้สึกปลื้มใจมาก คนมากมายเหลือเกิน ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อนมีทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็กเล็กถึงผู้ใหญ่คนสูงอายุ บางท่านเดินไม่ค่อยไหวลูกหลานก็ให้ท่านนั่งรถเข็น มากันทั้งครอบครัวทุกคนล้วนมีแววตาที่เบิกบาน สดใสมุ่งมั่นที่จะเตรียมกาย วาจา ให้ใสสะอาด พร้อมที่ร่วมพิธีประกอบบุญใหญ่ในวันนั้น ผมเชื่อว่าถ้าชาวพุทธทุกคนได้มาเห็นภาพในวันนั้นจะต้องบังเกิดความปิติเหมือนผม เป็นนิมิตหมายที่ดีว่า พระพุทธศาสนาที่บรรพบุรุษ ปู่ย่า ตายาย ท่านเหลือไว้ให้เป็นมรดกธรรมสืบทอดมาจนถึงยุคของพวกเราจะเจริญรุ่งเรืองไปอีกยาวนาน"

 
จุดที่คนร้ายจอดรถมอเตอร์ไซด์ แล้วเข้ามาทำการปล้น  
 

หลังจากที่มาวัดพระธรรมกายเป็นประจำ ปัจจุบันนี้ครอบครัวของคุณอนุชาต่างเข้าใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ประพฤติปฏิบัติตนเป็นพุทธมามกะที่ดี ตั้งใจสวดมนต์ นั่งสมาธิกันเป็นประจำ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกในการดำเนินชีวิต โดยให้ความดีงามที่เกิดจากการบำเพ็ญทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา เป็นพื้นฐานให้ชีวิตเกิดความสงบสุข ปลอดภัยจากสิ่งเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวง เมื่อครอบครัวเจอสภาวะคับขัน คุณของพระรัตนตรัยก็ช่วยพลิกผันสถานการณ์ให้กลับมาดีได้เป็นอัศจรรย์


ครอบครัวของคุณอนุชาได้ประสบกับอานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุ ซึ่งเป็นพระของขวัญอันศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ มีเดช ช่วยคุ้มครองแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของซึ่งหมั่นสวดสรรเสริญบูชาท่านอยู่เป็นประจำ ที่บ้านคุณอนุชานั้นทำการค้ามีทั้งการรับซื้อ-ขายของกันทั้งวัน ฉะนั้นในวันหนึ่งๆ จะมีผู้คนแปลกหน้าเข้าออกร้านนี้ทั้งวัน มีทั้งมาเลือกดูของเก่าและนำของมาขาย ดูเป็นเรื่องปกติใครจะเข้าจะออกก็ไม่มีใครสังเกตใคร

 
โทรศัพท์มือถือและสร้อยคอพระมหาสิริราชธาตุที่คนร้ายปล้นไป  
 

ในวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๒ เวลาประมาณบ่าย ๓ โมง ๑๕ นาที อากาศตอนนั้นค่อนข้างร้อนอบอ้าว ในร้านก็มีคนนำของมาขาย และคนงานรวมทั้งหมดประมาณ ๑๐ คน ทุกคนต่างทำงานกันไปตามปกติ คุณอนุชาก็นั่งอยู่ที่โต๊ะบัญชีกำลังคุยอยู่กับลูกค้าอีกคนหนึ่ง จู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์ ๓ คน เดินเข้ามาในร้าน ดูหน้าตาไม่เป็นมิตรเลย เขาใส่ชุดเสื้อคลุมมา ๒ คน อีกคนแต่งตัวลักษณะครึ่งท่อน กางเกงขาสั้น ทั้ง ๓ คนเดินปรี่เข้าไปประกบตัวคุณอนุชา ลูกค้าและภรรยาคุณอนุชาที่กำลังยืนอยู่ พร้อมทั้งชักปืนออกมาจ่อ โดยโจรคนที่ประกบภรรยาคุณอนุชายิงปืนขู่ ๑ นัดทันที และกระชากสร้อยคอจากภรรยาคุณอนุชาเต็มแรง สร้อยคอที่หนัก ๓ บาท หลุดขาดตามมือของคนร้ายนั้นออกมาทันที และตะโกนบอกว่าให้ทุกคนอยู่ในความสงบ "ถ้าใครขัดขืน พวกมึงตาย" โดยให้คนที่ยืนอยู่นั้นหันหลังและให้ยืนอยู่นิ่งๆ ห้ามขยับ แล้วใช้ปืนล็อคทุกคนมาอยู่ใกล้ ๆ กัน โดยมารวมกันที่โต๊ะบัญชีที่คุณอนุชานั่งอยู่ คนร้ายใช้ปืนจี้หลังคุณอนุชา แล้วออกคำสั่งบังคับให้คุณอนุชาถอดสร้อย ซึ่งคุณอนุชาห้อยพระมหาสิริราชธาตุอยู่ที่คอ คนร้ายขู่ว่าอย่าขัดขืนนะถ้าขัดขืนตาย คุณอนุชาก็จำใจถอดสร้อยให้ในใจไม่นึกเสียดายสร้อยคอเลย แต่เสียดายองค์พระมหาสิริราชธาตุมาก เพราะตั้งแต่ได้อาราธนาท่านมาบูชา รู้สึกผูกพันกับท่านมาก ขณะถอดออกก็พนมมือและนึกอธิษฐานจิตกับองค์พระในใจว่า ขอให้ได้องค์พระคืนกลับมาและขอให้จับคนร้ายได้ ส่วนคนร้ายอีกคนก็ให้ลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านถอดสร้อยทองพร้อมเงินสดในกระเป๋าอีก ประมาณ ๓,๐๐๐ บาท แล้วสั่งให้คุณอนุชาเปิดลิ้นชักเพื่อเอาเงินสดซึ่งตอนนั้นมีเงินในเก๊ะอยู่ประมาณ ๕,๐๐๐ บาท ซึ่งโจรก็บอกว่า "ทำไมเงินมีน้อยนัก น่าจะมีมากกว่านี้" พอคนร้ายเห็นโทรศัพท์มือถือของคุณอนุชาวางอยู่จึงได้คว้าเอาโทรศัพท์มือถือของคุณอนุชาไปด้วย

 
จุดที่คนร้ายกระชากสายโทรศัพท์ในห้องทำงาน  
 

ส่วนคนร้ายอีกคนก็เข้าไปในห้องของลูกชายคุณอนุชาซึ่งจะเข้าไปค้นเพื่อจะเอาเงินที่อยู่ในห้อง พอเข้าไปก็เห็นลูกชายของคุณอนุชากำลังยกโทรศัพท์เพื่อที่จะโทรหาตำรวจ โจรก็ปรี่เข้าไปผลักลูกชายคุณอนุชากระเด็นไปทันที และได้กระชากสายโทรศัพท์ออกจนขาด ลูกชายก็ตกใจเมื่อมีคนร้ายถือปืนเข้าไปกระชากสายโทรศัพท์ จึงรีบวิ่งออกไปหาพ่อไปยืนใกล้ๆ คุณอนุชา ส่วนโจรอีกคนที่อยู่ข้างนอกเห็นคนงานที่อยู่ในร้านหลุดหนีออกไปได้ จึงได้ตะโกนบอกคนร้ายที่ค้นของอยู่ในห้องว่า "เฮ้ย เร็วๆ โว้ย หนีไปได้คนหนึ่งแล้ว" คนร้ายก็รีบวิ่งออกมาจากห้อง แล้วทั้ง ๓ คนก็วิ่งออกไปจากร้าน แต่ขณะที่กำลังจะออกจากร้าน เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นคือ คนร้ายคนหนึ่งหยิบปืนขึ้นมา และหันกระบอกปืนจ่อมาทางลูกชายของคุณอนุชา และยิงทันที แต่อัศจรรย์ในระยะยิงเผาขนขนาดนั้น ปรากฏว่าวิถีกระสุนกลับวิ่งเฉียดร่างลูกชายคุณอนุชา ห่างจากตัวไปประมาณ ๑ ฝ่ามือ ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของทุกๆ คน แต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ รวมทรัพย์สินที่คนร้ายได้ไปประมาณเกือบแสนบาท พอคนร้ายออกไป คุณอนุชาก็รีบใช้โทรศัพท์ไร้สายที่ยังเหลืออีกตัว โทรแจ้ง ๑๙๑ บอกตำรวจว่ามีคนร้ายมาปล้น ๓ คน ซ้อนมอเตอร์ไซค์ มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือขอตำรวจช่วยสกัดจับให้ด้วย หลังจากที่ทุกคนหายตกใจแล้วลูกชายก็เล่าให้ฟังว่า "ขณะที่หนูวิ่งออกมาเห็นคนร้ายถือปืน หนูก็เลยนำพระมหาสิริราชธาตุรุ่นพิชิตมารแขวนอยู่ออกมานอกเสื้อ" ขณะที่ถูกคนร้ายยิงจึงรอดจากวิถีกระสุนอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด เวลาผ่านไปยังไม่ถึงชั่วโมง คุณอนุชาก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ ว่าจับคนร้ายได้แล้วให้มาชี้ตัวคนร้าย และมาดูทรัพย์สินที่คนร้ายปล้นไปด้วย คุณอนุชาได้ฟังแทบไม่เชื่อว่าคำอธิษฐานจะสัมฤทธิ์ผลได้เร็วอย่างเป็นอัศจรรย์ซึ่งทุกคนในบ้านเมื่อทราบข่าวก็ดีใจมาก

 
รูกระสุนปืนซึ่งยิงเฉียดลูกชายทั้งสองคนที่ประตูห้องเก็บของ  
 

พอไปถึงจุดที่จับคนร้ายได้ยิ่งเพิ่มความอัศจรรย์ยิ่งขึ้น เพราะคนร้ายขับรถไปไกลได้แค่ประมาณ ๑๐ กิโลเมตรเอง ตรงจุดที่คนร้ายยอมจำนน เป็นดงข้าวโพดคนร้ายตกใจทิ้งรถมอเตอร์ไซค์วิ่งหนีเข้าดงป่าข้าวโพด เพราะเห็นวงล้อมของตำรวจโอบไว้ทุกด้านซึ่งระดมพลมาจับกว่าร้อยนายทีเดียว พอคุณอนุชาไปถึงนายตำรวจถึงกับมาขอจับมือแสดงความดีใจด้วย ตำรวจบอกว่าโชคดีมากที่สามารถจับคนร้ายได้และได้ของกลางอยู่ครบ เขาบอกว่าส่วนมากจะจับไม่ได้หรือจับได้ก็ของกลางไม่ครบ คุณอนุชามั่นใจว่าที่ตนเองและครอบครัวรอดทั้งชีวิตและทรัพย์สินในการถูกปล้นครั้งนี้เพราะพระท่านช่วยเอาไว้ คุณอนุชากล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื้นตันว่าขอให้ทุกท่านที่อ่านเรื่องนี้แล้วตั้งใจทำบุญไปเถอะ เมื่อถึงยามคับขัน พระคุ้มครองเราได้จริงๆ

 

 

บริเวณที่คนร้ายเจอตำรวจ จะเลี้ยวรถกลับแล้วรถล้ม จึงวิ่งหนีเข้าไปในดงข้าวโพดด้านขวา   บริเวณดงข้าวโพดที่ตำรวจสามารถจับคนร้ายได้ทั้งหมด  
 

ยุคนี้เป็นยุคที่ผู้คนทั้งประเทศมีปัญหาทางเศรษฐกิจด้วยกันทั้งสิ้น คนมีปัญญาย่อมไม่ท้อแท้พยายามดิ้นรน แสวงหาหนทางทำมาหากินที่เป็นสัมมาชีพจนสุดความสามารถของตน แต่คนขาดปัญญาจะคิดตื้นๆ เฉพาะหน้า ทำอาชีพทุกจริตมิจฉาชีพ เบียดเบียนผู้อื่น
 

 

ด้วยเหตุนี้เราทุกคนจึงควรพยายามป้องกันตัวทุกรูปแบบ เช่นไม่ควรแต่งกายด้วยเครื่องประดับมีค่ามาก ไม่ควรเก็บเงินไว้ในบ้าน ให้มีอยู่เท่าที่จำเป็น ที่เหลือนำไปฝากธนาคารเสีย ทรัพย์สินที่มีค่าอื่นๆ แม้จะเก็บไว้มิดชิดแล้ว ควรแบ่งเก็บให้หลายๆ แห่ง หากถูกปล้นอย่างรายบ้านคุณอนุชาที่เล่านี้ เมื่อคนร้ายขู่ให้บอกที่ซ่อนทรัพย์ จะได้บอกเป็นบางแห่ง ทรัพย์จะได้มีเหลือ

รายคุณอนุชานี้ ตามที่เล่ามา แสดงว่าเป็นอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์คุณของพระรัตนตรัย ซึ่งมีพระมหาสิริราชธาตุเป็นตัวแทน ทำให้คนร้ายยิงลูกชายไม่ถูก แม้เป็นระยะเผาขน รวมทั้งตำรวจติดตามได้ทันท่วงที ได้สมบัติทรัพย์สินคืนมาครบ ชนิดตำรวจอัศจรรย์ใจไปตามๆ กัน


คนเรา เพราะความไม่รู้ ทำให้หลงทำบาปกรรมต่างๆ โมหะคือตัวไม่รู้นั้น ทำอันตรายได้ยิ่งใหญ่มากมาย เสียหายทั้งในชาติปัจจุบัน และภพชาติเบื้องหน้า พวกมิจฉาชีพ ทำบาปกรรมลงไปเพราะมีโมหะ ตัวไม่รู้นี้เองว่า อาชีพใดก็ตามที่ประกอบด้วยกายทุจริต ๓ คือปาณาติบาต อทินนาทาน การเมสุมิจฉาจาร และวจีทุจริต ๔ คือ พูดปด พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ แล้ว เป็นมิจฉาอาชีวะทั้งสิ้น พวกเขาจึงลงมือกระทำ หากสังเกตให้ดี พวกคนร้ายทั้งหลายมักจะเป็นคนวัยรุ่น แสดงว่าพวกเหล่านี้ไม่ได้รับการอบรมเรื่องบาปบุญคุณโทษ ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดควรเว้น ผู้ใหญ่ในครอบครัวไม่มีเวลาดูแลเอาใจใส่ปล่อยให้ลูกหลานวัยรุ่นของตนคบเพื่อนเลวๆ เที่ยวเตร่ เสพยาเสพติด เล่นการพนัน ฯลฯ คนที่มั่วสุมในอบายมุขย่อมไม่ยอมเสียเวลาทำมาหากินสุจริต เพราะได้รายได้น้อยไม่พอใช้จ่าย จึงชอบประกอบมิจฉาชีพ


การอบรมลูกหลานด้วยหลักของพระพุทธศาสนา จะเป็นเกราะป้องกันชีวิตพวกเขาได้ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งผู้ปกครองควรสนับสนุน เพื่อเขาเหล่านั้น จะได้มีศีลธรรมแบบอย่างในการดำเนินชีวิต

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล