นิทานอีสป เรื่อง นกอินทรีย์กับสุนัขจิ้งจอก
กาลครั้งหนึ่ง นกอินทรีย์และแม่สุนัขจิ้งจอกพร้อมกับลูกอ่อนของพวกมันตกลงจะอยู่ร่วมกันที่ต้นไม้ใหญ่ โดยนกอินทรีย์สร้างรังบนกิ่งไม้ ส่วนสุนัขจิ้งจอกจะอยู่ในโพรงไม้ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ วันหนึ่งแม่สุนัขจิ้งจอกออกไปหาอาหารเจ้านกอินทรีย์จึงบินลงมาแล้วโฉบเอาลูกสุนัขจิ้งจอกเพื่อเอามาให้ลูกๆ ของมันกินเป็นอาหาร
ทันทีที่สุนัขจิ้งจอกกลับมายังต้นไม้ และพบว่าลูกๆ ของมันกำลังตกอยู่ในอันตราย มันจึงขอร้องให้นกอินทรีย์คืนลูกๆ ให้มัน แต่นกอินทรีย์รู้ดีว่าสุนัขจิ้งจอกไม่สามารถปีนขึ้นมาถึงรังของมันได้ มันจึงกล่าวว่า "ฮ่าๆๆ ถ้าเจ้าอยากได้ลูกๆ ของเจ้าก็ปีนขึ้นมาเอาเองสิ"
สุนัขจิ้งจอกโกรธมากและเป็นห่วงลูกๆ มันจึงคิดหาวิธีเอาลูกๆ ของมันคืน ทันใดนั้นเองมันก็เหลือบไปเห็นกองไฟที่นายพรานก่อทิ้งไว้ สุนัขจิ้งจอกจึงคาบกิ่งไม้มาจุดไฟแล้วเอากลับไปวางไว้ที่ต้นไม้ใหญ่
เมื่อไฟติดต้นไม้แล้ว ควันก็เริ่มลอยหนาขึ้นเรื่อยๆ จนลูกนกอินทรีย์หายใจไม่ออก เมื่อแม่นกอินทรีย์เห็นลูกๆ กำลังตกอยู่ ในสภาวะคับขันเช่นนี้ มันจึงตะโกนร้องเรียกเจ้าสุนัขจิ้งจอกว่า "ก็ได้ ข้ายอมคืนลูกให้กับเจ้า แต่เจ้าช่วยดับไฟทีเถิด ลูกๆ ของข้าจะสำลักควันตายอยู่แล้ว" จากนั้นนกอินทรีย์จึงคาบลูกสุนัขจิ้งจอกลงมาคืนและสัญญาว่าจะไม่คิดร้ายกับลูกๆ ของเจ้าสุนัขจิ้งจอกอีก
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
การแก้ไขปัญหาด้วยสติและความเข้าใจสามารถนำไปสู่การประนีประนอมและความสงบได้
หลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้อง
นิทานนี้เตือนใจให้เราเห็นถึงความสำคัญของการใช้สติในการแก้ไขปัญหา และการมีความเมตตาต่อกัน การเรียนรู้ที่จะประนีประนอมจะนำไปสู่ความสงบและความสัมพันธ์ที่ดีในสังคมได้