ประวัติย่อ ของ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)
หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
( พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี เป็นผู้บันทึกเอง )
ชาติภูมิเดิมเป็นพ่อค้า เข้าตั้งภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านหมู่เหนือของ วัดสองพี่น้อง คือทิศใต้ของวัด แต่ต่างฝั่งกับวัด วัดอยู่ตะวันออกเฉียงเหนือ บ้านอยู่ตะวันตกเฉียงใต้ มีคลองกั้นเป็นระหว่างวัดกับบ้าน ค้าขายมา ตั้งแต่อายุ ๑๔ ปี เศษๆ นับตั้งแต่บิดาล่วงไปก็เป็นพ่อค้าแทนบิดา เลี้ยง มารดามาจนถึงอายุ ๑๙ ปี ตรงนี้ได้ปฏิญาณตัวบวชจนตาย ด้วยมามี อุปสรรคเกิดขึ้นในระหว่างขายข้าว แล้วนำเรือเปล่ากลับบ้าน เข้าลัดที่ คลองบางอีแท่น เหนือตลาดใหม่ แม่น้ำนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ในลัดนี้ไม่สู้ไกลนัก แต่พวกโจรชุกชุม แต่พอเข้าลัดไปเล็กน้อย ก็มาคิด แต่ในใจของตัวว่า
“คลองก็เล็ก โจรก็ร้าย ท้ายเรือเข้าก็ไล่เลี่ยกับฝั่ง ไม่ต่ำไม่สูง กว่ากันเท่าไรนัก น่าหวาดเสียว อันตราย เมื่อโจรมาก็ต้อง ยิงหรือทำร้าย คนท้ายก่อน ถ้าเขาทำเราเสียได้ก่อนก็ไม่มีทางที่จะสู้เขา ถ้าเราเอาอาวุธ ปืนแปดนัดไว้ทางหัวเรือแล้ว เราไปถือเรือทางลูกจ้างเสีย เมื่อโจรมาทำร้าย เราก็จะ มีทางสู้ได้บ้าง”
คิดดังนี้แล้วก็เรียกลูกจ้างที่ถ่อเรือแถบทรายมาถือท้าย เราออกไป ถ่อแทน ถ่อเรือไปก็คิดไป เรือก็เดินเข้าหาที่เปลี่ยวหนักขึ้นทุกที ความคิด ก็ถี่ขึ้นว่า
“ลูกจ้างที่เราจ้างมานี้ คนหนึ่งก็ไม่กี่บาท เพียง ๑๑ บาท หรือ ๑๒ บาท เท่านั้น ส่วนตัวเราเป็น เจ้าของทรัพย์ทั้งเรือหมด ส่วนตายจะให้ ลูกจ้างตายก่อนไม่ถูก เอาเปรียบลูกจ้างมากเกินไปไม่สมควร”
ถ่อไปก็คิดไปดังนี้ และคิดถี่หนักเข้า ก็ตัดสินใจเด็ดขาดออกไป
“เราเป็นเจ้าของให้เราตายก่อนดีกว่าจึงจะสมควร”
คิดตกลงแล้วก็เรียกลูกจ้างให้มาถือ ตัวก็หยิบปืนแปดนัด ที่เอาไปไว้ข้างหัวเรือมาไว้ ใกล้ตัวข้างท้ายเรือ ก็ถือท้ายเรื่อยไป
ใกล้ออกจากลัดเต็มที น้ำก็ขึ้น เรือข้าวที่หนักก็ตามหัวน้ำขึ้นสวน เข้ามาประดังกันแน่น จีนก็ ส่งเสียงแต่ว่า “ตู้อ่าๆ” ประดังกันแน่น ออกก็ ไม่ได้ เข้าไปไม่ได้ น้ำก็น้อยเลยต้องต่างฝ่ายต่างก็ ปักหลักกรานหน้า จอดกันนิ่งอยู่ เราเป็นคนท้ายผ่านพ้นอันตรายมาแล้ว ก็มาคิดว่า
“การหาเงินหาทองนี้ ลำบากจริงๆ เจียวหนา บิดาของเราก็หามาดังนี้ เราก็หาซ้ำรอยบิดา ตามบิดาบ้าง เงินแลทองที่หากันทั้งหมดด้วยกันนี้ ต่างคนก็ต่างหาไม่มีเวลาหยุดด้วยกันทั้งนั้น ถ้าใครไม่เร่งรีบหาให้มั่งมีก็เป็น คนต่ำและเลว ไม่มีใครนับถือแลคบหา เข้าหมู่เขาก็อายเขา เพราะเป็น คนจนกว่าเขา ไม่เทียมหน้าเทียมบ่าเทียมไหล่กับเขา
ปุรพชนต้นสกุลของเราก็ทำมาดังนี้ เหมือนๆ กันจนถึงบิดาของเรา แลตัวของเราบัดนี้ ก็บัดนี้ ปุรพชนแลบิดาของเราไปทางไหนหมด ก็ปรากฏ แก่ใจว่าตายหมดแล้ว แล้วตัวของเราเล่าก็ต้อง ตายเหมือนกัน”
แต่พอคิดถึงตายขึ้นมาดังนี้แล้ว ใจก็ชักเสียวๆ นึกถึงความตาย ที่จะมาถึงตัวโดยไม่มีสงสัยเลย
“เราต้องตายแน่ๆ บิดาเราก็มาล่องข้าว ขึ้นจากเรือข้าวก็เจ็บ มาจากตามทางแล้ว ขึ้นจากเรือข้าว ไม่ได้กี่วันก็ถึงแก่กรรม เมื่อถึงแก่กรรมแล้ว เราที่ช่วยพยาบาลอยู่ ไม่ได้เห็นเลยที่จะเอาอะไรติดไป ผ้าที่นุ่งแลร่างกายของแก เราก็ดูแลอยู่ไม่เห็นมีอะไรหายไป ทั้งตัวเรา แลพี่น้องของเราที่เนื่องด้วยแก ตลอดถึงมารดาของเราก็อยู่ ไม่เห็นมีอะไรเลยที่ไปด้วยแก แกไปผู้เดียวแท้ ๆ ก็ตัวเราเล่า ต้องเป็นดังนี้ เคลื่อนความเป็นอย่างนี้ไปไม่ได้แน่”
เมื่อคิดตกลงใจดังนี้แล้ว ก็ลองทำเป็นตายดู นอนแผ่ลงไปที่ ท้ายเรือนั้น แล้วก็ทำตาย ตายแล้วทำไปหาคนที่เป็นญาติบ้าง พี่น้องบ้าง เพื่อนที่ชอบกันบ้าง เขาก็ไม่เห็นเรา เพราะเราเป็นผี เราก็เอาก้อนดิน บ้าง ไม้บ้าง โยนหรือปาเข้าไปให้ถูก เพราะเขาไม่เห็นตัวเรา เขาก็ต้อง บอกผีโยนมา หรือปาเข้ามา ไปหาคนโน้นก็ไม่เห็น มาหาคนนี้ก็ไม่เห็น คิดไปดังนี้ แหละจนเผลอตัว
แต่พอรู้สึกตัวขึ้นมา ก็รีบลุกขึ้นจุดธูปอธิษฐานในใจของตัวเองว่า
“ขออย่าให้เราตายเสียก่อน ขอให้บวช เสียก่อนเถิด ถ้าบวชแล้ว ไม่สึกจนตลอดชีวิต”
ตรงนี้บวชจริงมาเสียแต่อายุ ๑๙ ปี เศษแล้ว ตั้งแต่นั้นก็ประกอบ อาชีพตามปกติของพ่อค้า จนอายุครบ ๒๒ โดยปีแล้ว ก็ปรารถถึงการบวช.
อนุสรณ์สถานคลองลัดบางนางแท่น