อานิสงส์อนุโมทนาบุญ

วันที่ 17 พย. พ.ศ.2558

อานิสงส์อนุโมทนาบุญ
 

อานิสงส์อนุโมทนาบุญ

 

     สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ต่างปรารถนาความสุขและความปลอดภัยในชีวิต เพราะธรรมชาติของสัตว์โลกนั้น มีความกลัวเป็นพื้นฐาน จึงต้องแสวงหาที่พึ่ง เพื่อเพิ่มเติมความมั่นใจและความปลอดภัยในชีวิต แต่น้อยคนนักจะรู้ว่า ที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดคืออะไร อยู่ตรงไหน จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีการใด พวกเรานับว่าเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐ ที่รู้ว่าพระรัตนตรัยเป็นสิ่งประเสริฐ เป็นเยี่ยมกว่ารัตนะใดๆ ในภพสาม เป็นเครื่องส่องนำทางให้เราได้เข้าถึงสุคติสวรรค์และนิพพาน ช่วงเวลานี้จึงมีคุณค่ายิ่งที่เราจะมาตรึกระลึกนึกถึงพระรัตนตรัย ด้วยการเจริญสมาธิ ภาวนา เพื่อให้ได้เข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตคือ


มีวาระพระบาลีที่ใน วิหารวิมาน ความว่า
 

"บุคคล ๘ จำพวก ๔ คู่ ที่ท่านผู้รู้สรรเสริญแล้ว เป็นพระทักขิไณยบุคคล เป็นสาวกของพระสุคต
ทานที่ถวายในบุคคลเหล่านี้มีผลมาก พระสงฆ์นี้เป็นบุญเขตที่กว้างใหญ่คำนวณนับมิได้
เหมือนสาครมหาสมุทรนับจำนวนน้ำมิได้ ก็พระสงฆ์เหล่านี้ เป็นผู้ประเสริฐสุด
เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียร เป็นผู้สร้างแสงสว่าง กล่าวสอนธรรม
ชนเหล่าใดถวายทานอุทิศพระสงฆ์ ทานของชนเหล่านั้น เป็นอันได้ถวายดีแล้ว"

 
     การทำบุญถวายสงฆ์มีอานิสงส์ใหญ่ จะนับจะประมาณมิได้ เหมือนชาวนาหว่านพืชลงในเนื้อนาดีฉันใด ผู้ปรารถนาสวรรค์นิพพานก็ต้องรู้จักเลือกเนื้อนาบุญที่ให้ผลเกินควรเกินคาดฉันนั้น ถ้าหว่านพืชคือศรัทธา แล้วถวายทานในเนื้อนาบุญอันเลิศ ผลบุญอันเลิศย่อมบังเกิดขึ้น ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ด้วยความยากลำบากนั้นก็คุ้มค่า เพราะบุญจะช่วยเชื่อมสายสมบัติ ให้ได้เป็นเจ้าของสมบัติใหญ่ไปทุกภพทุกชาติ
 
     ที่น่าอัศจรรย์คือ เพียงแค่ทำจิตให้เลื่อมใสในบุญกุศลที่คนอื่นได้สร้าง  แล้วกล่าวคำอนุโมทนาบุญด้วย ยังเป็นเหตุให้ได้สุคติโลกสวรรค์อย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว บุญจากการอนุโมทนาที่เรียกว่า
ปัตตานุโมทนามัย  เป็นบุญพิเศษที่บางท่านมองข้ามไป พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า การอนุโมทนาบุญนี่แหละเป็นทางมาแห่งบุญ เพราะเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ จึงเป็นสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญ และให้อนุโมทนาบุญเมื่อเห็นคนอื่นทำความดีกัน
 
     * ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล มหาอุบาสิกาวิสาขาได้สร้างวิหารถวายสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ท่านได้สละเครื่องประดับซึ่งมีราคาถึง ๙ โกฏิ สร้างปราสาทหลังใหญ่ให้เป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเป็นที่อยู่ของภิกษุสงฆ์ ถึง ๑,๐๐๐ ห้อง คือชั้นล่าง ๕๐๐ ห้อง ชั้นบน ๕๐๐ ห้อง เสมือนเทพวิมาน มีภาคพื้นดุจคลังแก้วมณี และการก่อสร้างในครั้งนี้ มีพระมหาโมคคัลลานเถระเป็นผู้ควบคุมการก่อสร้างทั้งหมด
 
     การก่อสร้างวิหารใช้เวลา ๙ เดือนจึงสำเร็จ จากนั้นมีการฉลองวิหารโดยใช้เงินถึง ๙ โกฏิ มหาอุบาสิกาวิสาขาพร้อมด้วยเพื่อนหญิงประมาณ ๕๐๐ คนขึ้นไปชมปราสาท ได้เห็นสิริสมบัติของปราสาทนั้น เกิดความปลื้มปีติในมหาทานบารมีของตน จึงพูดกับเพื่อนหญิงว่า “พวกเธอจงอนุโมทนาบุญที่ฉันได้ขวนขวายทำเถิด ฉันขอให้ส่วนบุญแก่พวกเธอ” เพื่อนหญิงทั้งหมดมีใจเลื่อมใสต่างอนุโมทนาว่า “สาธุ สาธุ ดีแล้ว”
 
     ในบรรดาเพื่อนหญิงทั้งหมดของเธอ มีคนหนึ่งใส่ใจในการอนุโมทนาบุญเป็นพิเศษ เธอรู้สึกเลื่อมใสราวกับตนเองได้ทำด้วยมือฉะนั้น ครั้นละโลก เธอได้ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ และด้วยบุญญาอานุภาพของเธอ วิมานหลังใหญ่กว้างยาวและสูง ๑๖ โยชน์ ได้บังเกิดขึ้น วิมานนั้นประดับประดาด้วยห้องรโหฐาน กำแพงอุทยานและสระโบกขรณี ปรากฏล่องลอยอยู่ในอากาศ แผ่รัศมีไปได้ ๑๐๐ โยชน์ ครั้นเธอก้าวเดินก็เดินไปพร้อมกับวิมาน  
 
     วันหนึ่ง พระอนุรุทธะเที่ยวจาริกไปในเทวโลก เห็นเพื่อนของมหาอุบาสิกาวิสาขาก็จำได้ จึงเข้าไปถามว่า “ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทุกทิศเหมือนดาวประกายพรึก เมื่อท่านฟ้อนรำอยู่ เสียงอันเป็นทิพย์น่ารื่นรมย์ใจ ก็เปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วนพร้อมกับกลิ่นกายที่หอมฟุ้ง เมื่อท่านเคลื่อนไหวกาย เครื่องประดับที่ช้องผมก็เปล่งเสียงกังวานฟังไพเราะ มาลัยประดับศีรษะเมื่อต้องลมก็ส่งเสียงดังกังวานไพเราะยิ่งนัก พวงมาลัยบนศีรษะของท่านก็มีกลิ่นหอม ดูก่อนเทพธิดา ผลบุญที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านได้ทำกรรมอะไรมา”
 
     เทพธิดาผู้มีบุญตอบว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ มหาอุบาสิกาวิสาขา  สหายของดิฉันอยู่ในกรุงสาวัตถี ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันเห็นมหาวิหารและการบริจาคทรัพย์อุทิศสงฆ์ได้บังเกิดความเลื่อมใสในบุญนั้น จึงอนุโมทนาบุญด้วยใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและมหาปีติ ดิฉันได้วิมานที่อัศจรรย์น่าทัศนา ก็เพราะการอนุโมทนาบุญอันบริสุทธิ์ในครั้งนั้น วิมานลอยไปในเวหาเปล่งรัศมีสว่างไสว ห้องรโหฐานที่อยู่อาศัย ล้วนแล้วแต่บุญปรุงแต่งประหนึ่งเนรมิตไว้เป็นส่วนๆ  เมื่อส่องแสงก็ส่องสว่างไป ๑๐๐ โยชน์โดยรอบทิศ  
 
     นอกจากนี้ วิมานของดิฉันยังมีสระโบกขรณี มีหมู่มัจฉาแหวกว่ายน่าดูชม มีนํ้าใสสะอาด ปูลาดไว้ด้วยทรายทอง ดารดาษไปด้วยปทุมบัวหลวงหลากชนิด ยามลมรำเพย ก็โชยกลิ่นระรื่นจรุงใจ มีรุกขชาตินานาชนิด คือ หว้า ขนุน ตาล มะพร้าว และต้นไม้ผลไม้นานาพันธุ์เกิดขึ้นเองภายในนิเวศน์โดยไม่ต้องปลูก วิมานนี้กึกก้องไปด้วยเสียงดนตรี เหล่าอัปสรเทพนารีต่างส่งเสียงรื่นเริงยินดี วิมานมีรัศมีสว่างไสวไปทุกทิศและน่าชมเช่นนี้ ล้วนบังเกิดขึ้นเพราะกุศลกรรมที่เกิดจากการอนุโมทนาบุญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น"
 
     พระอนุรุทธเถระคิดว่า “เพียงแค่อนุโมทนาบุญในมหาทานที่ผู้อื่นทำ  ยังได้เสวยทิพยสมบัติมากมายถึงเพียงนี้ แล้วมหาอุบาสิกาวิสาขาผู้เป็นต้นบุญในการถวายมหาวิหาร หากละโลกไปแล้ว เธอจะไปบังเกิดที่ไหน” ดังนั้น พระอนุรุทธเถระจึงได้ถามเทพธิดา
 
     เทพธิดาตอบว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ มหาวิสาขานั้นเป็นสหายของดิฉัน ได้สร้างมหาวิหารถวายสงฆ์ เธอได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนิมมานรดี เป็นปชาบดีของท้าวสุนิมมิตเทวราช วิบากแห่งกรรมของมหาอุบาสิกาวิสาขา ที่ใครๆ คาดไม่ถึง เพราะเธอได้สั่งสมบุญกุศลไว้มากมายกว่าดิฉันยิ่งนัก 
 
     ขอพระคุณเจ้าโปรดชักชวนคนอื่นๆ ว่า พวกท่านจงถวายทานแด่สงฆ์เถิด และจงมีใจเลื่อมใสฟังธรรม การได้อัตภาพเป็นมนุษย์เป็นการได้โดยยาก บุคคลเหล่าใด ๘ จำพวก ๔ คู่ ที่ท่านผู้รู้สรรเสริญแล้ว บุคคลเหล่านั้นเป็นทักขิไณยบุคคล เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ทานที่ถวายในบุคคลเหล่านี้ ย่อมมีผลมาก เพราะพระสงฆ์เป็นบุญเขตที่กว้างใหญ่ ไม่อาจคำนวณนับได้ เหมือนสาครมหาสมุทรนับจำนวนนํ้ามิได้ พระสงฆ์เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้สร้างแสงสว่าง กล่าวสอนธรรม ชนเหล่าใดถวายทานอุทิศพระสงฆ์ ทานของชนเหล่านั้นเป็นอันถวายดีแล้ว บูชาดีแล้ว ทักษิณานั้นถึงสงฆ์แล้ว ย่อมมีผลมาก ชนเหล่าใดยังท่องเที่ยวอยู่ในภพ  พึงกำจัดมลทินคือความตระหนี่พร้อมทั้งบาปอกุศล ชนเหล่านั้นย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์”
 
     เราจะเห็นว่า เพียงแค่อนุโมทนาบุญในมหาทานบารมีที่คนอื่นทำ ยังได้รับอานิสงส์ใหญ่เกินควรเกินคาดถึงเพียงนี้ การเปล่งถ้อยคำที่ออกมาจากใจว่า “ขออนุโมทนาบุญ” จึงมิใช่คำที่พอดีพอร้าย หากใจเรามีมหาปีติเลื่อมใสในบุญกุศลที่บุคคลอื่นทำจริงๆ เหมือนอย่างเทพธิดาที่หลวงพ่อได้นำมาเล่าให้ฟัง ผลบุญจะบังเกิดขึ้นกับตัวเรามากทีเดียว อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่ง  ดังนั้นให้หมั่นมีมุทิตาจิตกับคนอื่น เมื่อเห็นบุคคลใดทำความดีแม้เพียงเล็กน้อย ก็ให้รีบยกมือกล่าวอนุโมทนาสาธุการกับบุคคลนั้นทันที
 
     และถ้าจะให้ดี ตัวเรานั่นแหละควรขวนขวายในการทำบุญกุศลให้เต็มที่ อย่ามัวคิดดูก่อน แต่จงเร่งรีบทำบุญก่อนใคร ไม่คอยแต่รออนุโมทนาบุญกับใคร แต่ให้คนอื่นมาอนุโมทนาบุญที่ได้ทำไปกับเรา เราจะได้เป็นต้นบุญต้นแบบให้กับชาวโลก และเป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย

 

พระธรรมเทศนาโดย :  พระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย)
* มก. เล่ม ๔๘ หน้า ๓๕๔

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0026800513267517 Mins