ช้างฉัททันต์หั่นงาให้ไพรี

วันที่ 26 พย. พ.ศ.2558

ช้างฉัททันต์หั่นงาให้ไพรี

         สาเหตุที่ตรัสชาดก ณ พระวิหารเชตวัน ภิกษุณีรูปหนึ่งขณะฟังธรรมอยู่คิดว่าตนเคยเป็นบาทบริจาริกาของพระมหาบุรุษนี้หรือไม่ กลับระลึกชาติหนหลังได้ว่าเคยเป็นและได้สร้างความผิดไว้มาก นางจึงร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยเสียงอันดัง พระทศพลทอดพระเนตรเห็นทรงแย้มให้ปรากฏเมื่อภิกษุทูลถามจึงทรงนำอดีตมาตรัสดังต่อไปนี้..

      ในอดีต ยังมีช้างฉัททันต์เชือกหนึ่งรูปร่างสวยงามปานช้างแก้ว มีบริวารมากมายอาศัยอยู่ในป่าลึก ป่าแห่งนี้ยังเป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าอีก 500 องค์ ไหนเลยจะไม่นับเป็นโชคประเสริฐของเหล่าช้าง ช้างฉัททันต์ย่อมไม่ทิ้งโชควาสนา จึงได้บูชาพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ทุกๆ วัน..ห่างไกลออกไปในแคว้นมัททรัฐ พระนางสุภัททาอัครมเหสีแห่งพระเจ้าพาราณสีรับสั่งเรียกระดมพลพรานไพรหมดทั้งนครให้มาประชุมด่วน หมายจะปลิดชีวิตช้างฉัททันต์เสียให้ได้ แววพระเนตรเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น พระนางอธิบายเส้นทางลัดเข้าป่าอันลี้ลับอย่างละเอียดลออพระนางรู้เส้นทางลับเหล่านี้ได้อย่างไร ไฉนรู้จักช้างฉัททันต์ตัวนี้ ในเมื่อพระนางไม่เคยเห็นช้างนี้มาก่อนเลย เหล่านี้เป็นเรื่องที่นายพรานไม่มีปัญญาไปคิดออกได้เลย พระนางรับสั่งนายพรานให้
ออกเดินทางไปโดยเร็ว ดังนั้นพรานป่าบัดนี้ได้ฝ่าดงบุกข้ามเขาลูกที่ 6 ไปแล้ว พรานนี้ดุร้ายที่สุดได้รับคัดเลือกมาเพียงผู้เดียว พระนางรับสั่งกำชับพรานป่าให้ระวังตัวไว้ว่า..

 

"ช้างทั้งฝูงนี้ดุร้ายมาก! น่ากลัวสุดพรรณนา เพียงได้เห็นมนุษย์สักแว็บหนึ่ง รับประกันต้องเหยียบผู้นั้นจนเละไปกับดินส่วนช้างฉัททันต์ซึ่งเป็นหัวหน้าอย่าว่าแต่เจ้าจะไปทำร้ายได้ แม้เพียงเข้าใกล้เรายังไม่เห็นผู้ใดทำได้เลย แต่เราต้องการงาที่มีรัศมี 6 สีของมัน ถ้าเจ้าทำสำเร็จเราจะให้เจ้าไม่น้อยเลย บ้านส่วย 5 ตำบล รายได้แสนหนึ่งจะตกเป็นของเจ้าทุกปี"

 

    พรานป่ารับคำพร้อมสอบถามลักษณะอาการของช้าง การลงอาบน้ำ เวลาทำกิจกรรม และภาพแวดล้อมทุกอย่างโดยละเอียด มิยอมให้ตกหล่นแม้ครึ่งเวลา เนื่องเพราะพรานป่ามืออาชีพย่อมรู้ดีว่างานเสี่ยงอันตรายเยี่ยงนี้ ข้อมูลยิ่งสำคัญมาก หากขาดหายไปสักครึ่งคำ นั่นย่อมหมายถึงความตาย ดังนั้นพรานจึงถามให้มากความเข้าไว้ เพราะหากตายเสียแล้ว บ้านส่วยอย่าว่าแต่5 ตำบล แม้หมื่นตำบลก็ไร้ความหมาย

    พรานมาถึงเขาลูกที่ 7 แล้ว ช้างฉัททันต์อยู่หลังเขานี้ แต่หนทางไปต่อกลับไม่มี เพราะหลังจากฝ่าดงหนามสารพัดชนิด ต้องปลิดหนามเอาเคียวเกี่ยวฟันตลอดทาง บัดนี้กลับปรากฏเป็นทางขาดพรานจึงต้องต่อเรือข้ามน้ำ เหวี่ยงขอเหล็กเกี่ยวภูเขาห้อยตัวลง เอาเหล็กแหลมเจาะร่องเขาปีนขึ้นไปที่ขอเหล็ก แล้วเหวี่ยงขึ้นสลับกับปีนขึ้นอีกจนถึงยอดเขา เวลาลงเขาก็เกี่ยวขอเหล็กห้อยตัวลงในกระสอบหนัง ร่อนถลาโฉบลงคล้ายแมงมุมชักใยไปเบื้องล่าง จากนั้นจึงพลันเห็นช้างฝูงใหญ่อยู่ไม่ไกลนี้เอง บัดนี้ถึงที่หมายแล้ว! พรานต้องประหลาดใจอีกครั้ง เนื่องเพราะพบบริวารช้างฝูงมหึมาวิ่งล้อมรอบช้างฉัททันต์รวดเร็วปานลมพัด ช้างตัวหนักเท่าภูผาไฉนกลับวิ่งเร็วบางเบาราวปีกแมลงหวี่ได้ประการนี้พรานมิอาจมิเชื่อได้เลย นับว่าพรานหมดหวังที่จะเข้าถึงตัวพญาช้างฉัททันต์ได้อีกแล้ว แต่นายพรานไม่สามารถกลับไปได้อีก ถ้างานไม่สำเร็จ ก็ตายเช่นกัน!

 

    พรานตกลงใจพักอยู่ในป่านี้เพื่อเก็บข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบยิ่งขึ้น วันๆ นายพรานซุ่มเก็บข้อมูลสถิติ เวลาสถานที่ กิจกรรม กิริยาอาการ การพบปะสนทนา กระทั่งสัดส่วนท่วงท่าทุกกระเบียดนิ้วของช้างทั้งหมด ซุ่มดูอยู่ทุกวัน ทั้งวิเคราะห์ข้อมูล รวบรวมสถิติ ความเปลี่ยนแปลงอารมณ์และกิจกรรมในแต่ละวันของพญาช้าง รวมทั้งความตรงกันและต่างกันของจำนวนวันและช่วงเวลาที่ช้างไปมาตามสถานที่ต่างๆ พร้อมทั้งประเมินสถานการณ์และคาดคำนวณเหตุการณ์อันไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ จนกระทั่งบัดนี้ผ่านไปแล้ว 7 ปีเศษ พรานรอคอยได้เสมอมา พรานไม่กล้าเสี่ยงมากนัก เนื่องเพราะความเป็นกับความตายมีเส้นเวลาขีดคั่นเพียงวินาทีเดียว ความสำเร็จในโลกผู้คนอย่างน้อยมากกว่าครึ่งโลกมิอาจปฏิเสธได้ว่ามาจากความเยือกเย็นรอคอย หากยังไม่มั่นใจบางคนรอจนกระทั่งตายก็อดกลั้นรอคอยได้ แต่ตอนนี้พรานไม่รอคอยต่อไปอีกแล้ว ดังนั้นพรานป่า
จึงตัดสินใจลงมือ พรานลอบเข้าไปขุดหลุมลึกแล้วปูกระดานเจาะช่องเท่าศีรษะพอลอดได้ โรยฝุ่นอำพรางหลุม และไม่ลืมคว้าผ้ากาสาวพัสตร์มาคลุมกาย อย่างไรเสียจิตสำนึกดีๆ อาจมีในใจช้างหากช้างรู้ตัวจะลงมือฆ่าตน เมื่อเห็นผ้าของนักบวชอาจเปิดทางรอดให้ตนได้ พรานนี้แม้จะเสี่ยงตายแต่ก็เปิดทางรอดให้ตนสายหนึ่งอยู่เสมอ ฝูงช้างขึ้นจากสระตรงเข้ามาแล้ว! และช้างฉัททันต์ก็มายืนบนหลุมตรงตำแหน่งศรอาบยาพิษพอดี ไม่ขาดแม้สักนิ้วเดียว! พรานคะเนแม่นยำอย่างยิ่ง น้ำใต้ท้องช้างไหลลงรูพอดี พรานได้สัมผัสน้ำก็รู้ทันทีว่าได้เวลาลงมือ พริบตานั้น ลูกศรพุ่งขึ้นทะลุท้องช้างทำลายอวัยวะตับ ไต หัวใจแหลกละเอียด กระทั่งตัดไส้น้อยไส้ใหญ่พุ่งทะลุหลังออกไปปากแผลเหวอะหวะราวกับถูกขวานจามจนเละ แม้เลือดก็ทะลักนองออกมาเต็มที่คล้ายหม้อน้ำทะลุมิคาด พรานนี้กลับคะเนแม่นยำถึงขนาดกะศรให้ทำลายอวัยวะภายในทั้งหมดได้ในคราวเดียวเช่นนี้
ช้างฉัททันต์เจ็บปวดร้องตะโกนก้องไปทั่วป่า ฝูงช้างอื้ออึงกระจายออกทั้ง 8 ทิศตามหาตัวผู้ทำร้ายหญ้าและต้นไม้รอบทิศแหลกเป็นจุณไม่เหลือ ฝูงช้างหายไปหมดแล้ว และก็เป็นไปตามแผนการของนายพรานทุกประการ แต่พรานคาดไม่ถึงว่าช้างฉัททันต์ยังไม่ล้มลงและยังไม่ตาย! พรานหวาดหวั่นใจไม่คิดว่าช้างนี้จะอดทนได้ยอดเยี่ยมสามารถทนพิษร้ายแรงได้ปานนี้

 

    บัดนี้ ช้างแน่ใจว่าใต้ดินมีคนอยู่แน่ จึงเอาเท้ากะเทาะดินเบาๆ แผ่นกระดานก็เปิดขึ้นมาทันทีช้างจึงพบเห็นพรานซ่อนอยู่ในหลุมครานั้นโทสะก็พุ่งขึ้นทันที ช้างเอางวงคว้าพรานขึ้นมาหมายบดขยี้ให้เป็นจุณ บังเอิญสังเกตเห็นผ้ากาสาวพัสตร์สะบัดขึ้นเกิดนึกถึงหมู่พระปัจเจกพุทธเจ้าขึ้นมาจับจิตจึงสะกดใจข่มความโกรธนั้นไว้ได้ แล้วถามพรานไพรนั้นไปว่า..

"เจ้ามาฆ่าเองหรือใครใช้เจ้ามา"
"พระนางสุภัททาอัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสีมีรับสั่งให้ข้าพเจ้ามาเอางาของท่าน"

พรานตอบเสียงสั่นสะท้าน
ช้างฉัททันต์หวนรำลึกถึงความหลังครั้งก่อน จึงคิดว่า..


"พระนางสุภัททาใช่ต้องการงาของเราไม่ แต่นางแค้นเรา ต้องการฆ่าเรา! ต้องการให้นายพรานเอางาไปเป็นพยานเท่านั้น เอาเถอะ! เมื่อเขามาของา เราก็จะให้! นายพรานนี้ย่อมไม่มีแรงพอที่จะตัดงาของเราได้แน่.."

ช้างข่มความเจ็บปวดทรมาน อวัยวะในร่างกายแหลกลาญไปหมด เมื่อคิดจะกล่าววาจาความปวดแปล๊บประดังขึ้นตั้งแต่ท้องถึงอก แล้วกล่าวออกมาว่า..

 

"ท่านไปเอาเลื่อยมาตัดงาคู่นี้โดยเร็ว ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตายเสียก่อน แล้วฝากไปกราบทูลนางสุภัททา ว่าเจ้าของงานี้ได้ตายแล้ว"

 

    พรานเอื้อมไม่ถึงงา ช้างข่มความเจ็บย่อกายก้มศีรษะลง พรานไม่รอช้าเนื่องเพราะฝูงช้างใกล้กลับมาแล้ว รีบกระโดดเหยียบงวง เอาเข่ากระทืบเนื้อที่ปากยัดเข้าข้างในสอดเลื่อยเข้าปากช้างเลื่อยขึ้นลงอย่างเร็ว ช้างประสบทุกขเวทนาแรงกล้าถึงขีดสุด พรานเลื่อยจนโลหิตกลบท่วมปาก แต่ก็ยังมิอาจตัดงาให้ขาดได้ ช้างจำต้องข่มความเจ็บปวดอีกครั้ง บ้วนโลหิตออกจากปาก เอางวงจับเลื่อยออกแรงเลื่อย ปวดแปลบสะท้านอวัยวะภายใจจนใจแทบขาด ทั้งเจ็บทรมานจากงาที่ถูกตัด จนในที่สุดงาก็ขาดลง ช้างยื่นมอบให้พรานแล้วตามไปส่ง จนมั่นใจว่าพรานรอดพ้นจากฝูงช้างที่จะกลับมาได้แล้วก็ขาดใจตายทันที..

 

    พรานป่ากลับมาถึงพระราชวังแล้ว พระนางสุภัททาทอดพระเนตรงาช้างมีรัศมี 6 สีเปล่งปลั่งคล้ายดั่งไม่ทรงเชื่อสายพระเนตร หทัยพระนางให้รู้สึกพิสดารอย่างยิ่ง นอกจากไม่ดีพระทัยแล้วพระพักตร์กลับนองไปด้วยน้ำพระอัสุชล พลันนึกถึงความผูกพันหวานชื่นที่มีมาเก่าก่อน หวนรำลึกถึงภาพก่อนตนมาเกิดได้เป็นภรรยาช้างฉัททันต์คับแค้นใจยิ่งนักที่สามีมิได้แยแสสนใจตน นางจึงถวายผลไม้แด่พระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วอธิษฐานขอตามมาล้างผลาญชีวิต

    ..ในโลกไม่มีอะไรน่ากลัวสร้างความเจ็บช้ำรันทดได้เท่าอาฆาตแค้น การปกครองกันอาจมีผู้ได้รับความไม่พอใจอยู่บ้าง นางสุภัททาก็เป็นหนึ่งในบรรดานั้น แต่มิคาดว่า นางจะคั่งแค้นปานนี้และความแค้นก็กลับมาสนองตนในที่สุด ดังนั้นนางได้ตรอมใจตาย เพราะนางมิอาจทนความโศกาอาดูรในสามีสุดรัก เมื่อแค้นสร่างซาสิเน่หาก็เข้ามาแทน ใยแค้นมักมาคู่กับสิเน่หาความรักของคนเรามักเริ่มต้นด้วยสิเน่หาแล้วมาพบจุดจบลงที่แค้น ..อนิจจาความรักอย่างไรก็ตาม นับว่าช้างฉัททันต์ได้บารมีเพิ่มถึงระดับสูงสุดแล้ว! เป็นปรมัตถบารมี

 

ประชุมชาดก
          พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า ภิกษุณีนี้เป็นนางสุภัททาในกาลนั้น นายพรานผู้ถือเอางาเป็นพระเทวทัต ตถาคตเป็นพญาช้างในกาลนั้นแลจากชาดกเรื่องนี้ การให้ทานบางครั้งมิได้ประสงค์จะให้มาแต่เดิม แต่เมื่อมีความจำเป็นต้องสละ ไปเพื่อประโยชน์ต่องานของหมู่คณะหรือเพื่อบารมี แม้ตนจะต้องทนพบกับความยุ่งยากลำบากก็ตัดใจ สละให้ได้ การเสีย สละเช่นนี้นับว่าเป็นน้ำใจยิ่งใหญ่ หากไม่รักการให้จนเป็นนิสัยและมีน้ำใจ
เสีย สละอยู่ในหัวใจแล้วก็จะให้ไม่ได้ หากคราวต้องให้เพื่อคุณค่าต่อส่วนรวมแต่ให้ไม่ได้นอกจากไม่ใช่นักสร้างทานบารมีแล้ว ยังเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นการทำลายทานบารมีของตนเอง"นิสัยตัดใจให้ได้ในของรักของหวง, กล้าให้ทานแม้ต้องเผชิญความลำบาก, รักการให้ความสุขผู้อื่น และมีน้ำใจเสีย สละ" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในทานบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0026394168535868 Mins