คำสาปอันน่ารังเกียจ

วันที่ 14 ธค. พ.ศ.2558

คำสาปอันน่ารังเกียจ

        สาเหตุที่ตรัสชาดก ภิกษุรูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี เห็นสตรีแต่งกายงดงามแล้วมองดูด้วยอำนาจถือเอานิมิตอันงาม ถูกกิเลสเข้าครอบงำจนหมดความยินดียิ่งอยู่แล้ว เธอมีผมและเล็บงอกยาวขึ้น มีจีวรเศร้าหมอง มีตัวผอมเหลือง กายสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น ไม่ยินดีในป่า โคนไม้ เรือนว่างเปล่า เพื่อนภิกษุนำเธอไปยังสำนักของพระทศพลแล้วแสดงให้ทรงทราบ พระทศพลตรัสถึงบัณฑิตในกาลก่อนที่พากันรังเกียจกามเป็นอันมาก จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้..

      กาลครั้งหนึ่ง ชายผู้หนึ่งนามว่ามหากาญจนกุมารมีน้องชายอยู่ 6 คน น้องสาว 1 คน เป็นคนสุดท้อง มหากาญจนกุมารเดินทางไปร่ำเรียนสรรพวิชา เมื่อกลับมาบ้านบิดามารดาก็อยากให้แต่งงานเสียที บุตรชายคนโตรีบปฏิเสธว่า

 

     "อย่าเลยแม่! ลูกไม่ต้องการภรรยา โอ! การมีครอบครัวช่างน่าสะพรึงกลัวเหมือนไฟลุกลามทั่วบ้าน ลูกรู้สึกว่าต้องถูกจองจำอยู่ในคุก ช่างให้รู้สึกน่าเกลียดน่ากลัวขยะแขยงอย่างยิ่งจริงๆ คำว่าครอบครัว!สำหรับลูกแล้วมันไม่ต่างจากคำนิยามของสถานที่ที่เขาเทของโสโครก เป็นดุจหลุมส้วมหมกเหม็นสุดทน ลูกไม่ต้องการเรื่องเพศเลยไม่อยากคิดแม้แต่จะฝัน จะกล่าวไปไยกับการมีภรรยาล่ะแม่แม่ให้ลูกคนอื่นๆ เขามีเถอะ ลูกไม่เอาด้วยหรอก"

    เป็นอันว่าบรรดาลูกทั้ง 7 ไม่มีใครยอมมีครอบครัวเลย ทุกคนเอาอย่างพี่ชายคนโตหมดบิดามารดาจำต้องตัดใจไปโดยปริยาย ทุกคนต่างดูแลปรนนิบัติบิดามารดาได้อย่างเต็มที่ บุตรทั้ง 7หมั่นผลัดกันดูแลบิดามารดาไม่ปล่อยปละละเลย จึงเป็นครอบครัวอบอุ่นอย่างยิ่ง พ่อแม่มีความสุขตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต ได้ลาโลกไปอย่างเปียมปีติ

 

        เมื่อบิดามารดาตายลง พี่ชายคนโตประสงค์จะเข้าป่าหาที่อยู่อันร่มรื่นอยู่อย่างสงบ แล้วบวชเป็นบรรพชิตหาความสุขทางใจ น้องๆ ทุกคนปรึกษาหารือกันก็ตกลงใจเหมือนกันว่าจะออกบวชตามพี่ชายกันทั้งหมด เมื่อทุกคนเห็นเป็นเอกฉันท์เช่นนั้นจึงเปิดประตูบ้านให้ทาน แจกจ่ายทรัพย์จนหมดแล้วพากันเข้าป่าหิมพานต์อันสวยงามแสนสดชื่นรื่นรมย์ ในบรรดาคนเหล่านี้ยังมีทาสชาย ทาสหญิง และสหายเพื่อนบ้านอีกอย่างละคนขอตามไปบวชด้วย ทั้งหมดสร้างอาศรมอยู่บริเวณเดียวกัน ถึงเวลาหาผลไม้ก็เดินคุยกันไปเป็นกลุ่มๆสนุกสนานเหมือนชาวบ้านทั่วไป มหากาญจนฤาษีพี่ใหญ่ เห็นน้องๆ แล้วพลางคิดว่า..

 

     "เอ.. ทุกคนคึกคะนองเหมือนชาวบ้านอย่างนี้เห็นจะไม่ได้การสู้อุตส่าห์สละกองทรัพย์ 80โกฏิมาบวชถึงที่นี่ก็จะเปล่าประโยชน์ เอาล่ะ! เราจะเสียสละเป็นผู้หาผลไม้ให้น้องๆ เอง น้องๆ จะได้พักในอาศรมแสวงหาความสงบบำเพ็ญสุขทางใจกันได้เต็มที่"

ฤาษีพี่ใหญ่เรียกทุกรูปมาประชุมกัน แล้วกล่าวว่า
"ท่านทั้งหลาย แต่นี้ไปขอให้พวกท่านอยู่กันที่นี่นั่งสมาธิกันตามสบายเถิดนะ ฉันจะไปหาผลไม้มาให้เอง"


น้องๆ ไม่เห็นด้วย กล่าวว่า
"ท่านพี่เป็นอาจารย์ พวกเราตามท่านมาบวชแล้วยังจะให้ท่านมาลำบากอีกได้อย่างไรกันอาจารย์อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว น้องสาวเราก็ควรอยู่ด้วย ทาสหญิงก็ต้องอยู่กับน้องสาวเราด้วยเพื่อไว้ปรนนิบัติดูแลกัน นอกนั้นพวกเราทั้ง 8 จะ สลับกันหาผลไม้มาเอง"

 

       ทุกคนเห็นพ้องตกลงตามนี้ แต่นั้นมาผลไม้ก็ถูกจัดแบ่งเป็น 11ส่วนวางไว้บนแผ่นหินใหญ่กลางลานบริเวณอาศรมทุกๆ วันกาลเวลาผันผ่าน หมู่ฤาษีมีตบะกล้าแข็งขึ้นเพราะคุ้นเคยกับชีวิตบรรพชิต ราวกับเป็นวิถีชีวิตที่ไม่อาจพรากจากไปได้อีก หมู่ฤาษีเลิกทานผลไม้ไปนานแล้ว เปลี่ยนเป็นทานเหง้าบัวแทน อาหารเปลี่ยนไปเนื่องเพราะตบะกล้าแข็งขึ้น ไม่ติดในรสมากขึ้น อีกทั้งก็ไม่ยุ่งยากและหาง่ายไม่เสียเวลาในการบำเพ็ญสุขทางใจ จนมาวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นคือส่วนแบ่งอาหารบนลานหินมีเพียง 10ส่วน! ทั้งที่มันควรจะมี 11ส่วนน้องๆ ทุกคนหยิบเหง้าบัวส่วนของตนไปหมดแล้วแต่กลับไม่มีของฤาษีพี่ใหญ่ ท่านคิดว่าน้องๆ คงลืมส่วนแบ่งของตนจึงมิได้พูดอะไร เพราะถือว่าความเผอเรออาจมีกันได้ ท่านยอมอดอาหารไป 1 วันโดยไม่ใส่ใจกับปากท้อง การออกไปหาอาหารใหม่ไม่เหมาะสม ต่อบรรพชิต ท่านจึงบำเพ็ญเพียรต่อไปในอาศรมอยู่ทั้งวัน

 

       วันต่อมา อาหารของฤาษีพี่ใหญ่ยังไม่มีอีก! ท่านคิดว่า
"เอ..หรือเราทำผิดพลาดอะไรไป น้องๆ จึงคิดลงโทษเตือนสติเราเช่นนี้" ฤาษีข่มใจ อดกลั้นความหิวอีกวัน ตั้งหน้าสำรวจตรวจตราหาความผิดของตนอยู่ในอาศรมทั้งวันก็ยังไม่เห็นเหตุอันใดที่ไปกระทบกระเทือนใจเหล่าน้องๆ เรื่องใดที่ไม่เหมาะสมแก่บรรพชิตก็ยังไม่มีเข้าวันที่ 3 อาหารยังไม่มีอีก! การอดข้าว 3 วันเป็นความรู้สึกยากจะทนทานได้แล้ว"เอาล่ะ! ถ้าเราผิดอันใด เราต้องขอให้น้องๆ อดโทษให้เรา" ฤาษีพี่ใหญ่คิดแล้วเดินไปตีระฆังเรียกทุกคนมารวมกันที่ลานหน้าอาศรมสอบถามถึงเรื่องอาหารที่ผ่านมา 3 วัน ทุกคนได้กันครบหมด
ผู้ทำหน้าที่หาอาหารใน 3 วันที่ผันผ่านต่างยืนยันเหมือนกันว่า ได้หามา 11ส่วนนำมาวางไว้บนแผ่นหินครบถ้วนโดยเฉพาะส่วนของฤาษีพี่ใหญ่ได้แยกเป็นส่วนที่มากที่สุด ใหญ่ที่สุด และประณีตที่สุดวางไว้อย่างดี"หรือจะมีใครมาขโมยกินเหง้าบัว" ฤาษีพี่ใหญ่รำพึงเบาเหล่าฤาษีทั้งหมดพอฟังคำว่าขโมยต่างก็มีจิตเสียวสยองยิ่ง อุทานออกมากันว่า.."กรรมหนักเหลือเกินๆ"

 

      เมื่อมีการหาตัวขโมยเกิดขึ้น ช้างบริเวณนั้นก็เข้ามาร่วมวงด้วย กระทั่งลิงก็มา ทั้งหมดมาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ช่วงเวลาแห่งความเงียบผ่านไปชั่วอึดใจ ทันใดนั้นฤาษีน้องรองพลันลุกขึ้นยืนท่ามกลางสมาคมแล้วพูดขึ้นว่า..


"ผู้ใดลักขโมยเหง้าบัวของพี่ใหญ่ไป ขอให้ผู้นั้นจงร่ำรวยทรัพย์ทับทวี มีภรรยาสุดสวยลุ่มหลงหมกมุ่นอยู่กับภรรยา และบุตรนับไม่ถ้วนเสียเถอะ!"ทุกคนได้ฟังดังนั้นต่างรีบพากันเอามือปิดหูแน่น พร้อมอุทานว่า..
"คำสบถของท่านหนักเกินไปแล้วๆ อย่าพูดอีก!"หมู่ฤาษีพูดไปพลางกดฝ่ามือปิดหูให้แนบแน่นยิ่งขึ้นเพื่อมิให้เสียงเล็ดลอดเข้าไปได้อีก ฤาษีพี่ใหญ่กล่าวต่อน้องรองว่า.."พ่อคุณเอ๋ย คำสบถของเธอนี้ช่างหนักหนายิ่งนัก ฉันเชื่อแล้วว่าเธอไม่ได้เอาไป เชิญเธอกลับไปนั่งลงเถิด"

 

    น้องสามลุกขึ้นบ้าง แล้วออกมากล่าวแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า..
"ผู้ใดลักขโมยของพี่ใหญ่ไป ขอให้ไปเป็นคฤหัสถ์ที่ร่ำรวยล้นฟ้า เงินตรายศศักดิ์มากเหลือคณาให้จมปรักอยู่ในกามอย่าได้โงหัวขึ้นมาเลยเถอะ!"

น้องสี่ก็ออกมาพูดบ้างว่า..
"ผู้ใดลักขโมยของพี่ใหญ่ไป ขอให้ผู้นั้นจงรีบไปเป็นพระเจ้าจักรพรรดิเสียเถอะ!"ถึงคราวน้องห้าบ้าง.."ผู้ใดลักขโมยของพี่ใหญ่ไป ขอให้รีบไปเป็นพราหมณ์ที่ผู้คนหลงนับถือ วันๆ เอาแต่ทำนายทายทัก จับหาฤกษ์ยามจนมีชื่อเสียงขจรขจาย ขายชื่อเสียงกิน ให้พระราชามอบยศศักดิ์แล้วอย่าได้คลายความยินดีในลาภยศนั้นเสียเลย!"น้องหกก็ออกมาบ้าง.."ผู้ใดลักขโมยของท่านไปขอให้ชาวโลกทั้งปวงยกย่องเขาว่าเป็นผู้ขมังเวทย์เรืองตบะ ต่างแห่แหนกันมาบูชา หาความสงบไม่ได้เลยเถิด!"ฤาษีผู้สหายก็ลุกขึ้นบ้าง.."ผู้ใดลักขโมยของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้ครอบครองบ้านส่วยที่มั่งคั่ง ติดอยู่ในสมบัติไปจนตายเสียเถิด!"

 

ทาสชายก็ลุกขึ้นบ้างว่า..
"ผู้ใดลักขโมยของท่านไป ขอให้ผู้นั้นจงได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน มีใจเบิกบานรื่นเริงอยู่กับเพื่อนฝูงมากหลาย ติดความสะดวกสบาย เที่ยวขับร้องฟ้อนรำ ทำราชการรุ่งเรือง"ฤาษิณีผู้เป็นน้องสาวพูดขึ้นบ้างว่า.."หญิงใดลักขโมยเหง้าบัวของพี่ไป ขอให้ไปเป็นอัครมเหสี มัวปกครองสนมนารีนับพันไปเสียเถอะ!ทาสหญิงก็ลุกขึ้นกล่าวบ้าง.."หญิงคนไหนลักขโมยไป ขอให้ไปเป็นนางทาส ได้กินแต่ของดีๆ เที่ยวโอ้อวดเพื่อนบ้านอยู่ไม่ขาดปาก!
ช้างเปล่งเสียงบ้างว่า.."ช้างเชือกใดลักเอาเหง้าบัวท่านไป ขอให้ช้างนั้นถูกคล้องบ่วงบาศสู่ราชธานี มีปฏักทิ่มแทงถูกแยงด้วยขอเถอะ!"ลิงก็กล่าวบ้างว่า.."ลิงใดขโมยเหง้าบัวไป ขอให้มีพวงมาลัยคล้องคอ ถูกเจาะต้มหู ถูกครูเฆี่ยนตี มีการแสดงไปทั่วหัวระแหงเสียเถอะ!"เมื่อทุกคนกล่าวหมดแล้ว มหากาญจนฤาษีพี่ใหญ่ได้ออกมาแสดงความบริสุทธิ์บ้างว่า.."ท่านผู้เจริญทั้งหลาย! ผู้ใดแกล้งกล่าวของที่ไม่หายว่าหาย หรือสงสัยในตัวพวกท่าน ขอให้ผู้นั้นจงได้เสพกามทั้งหลายจนตายคากาม!"


            ทันใดนั้นเทวดาตนหนึ่งพลันปรากฏไหว้เหล่าฤาษีแล้วกล่าวว่า.."ใครๆ ก็มุ่งแสวงหากามกันทั้งนั้น กามเป็นของน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชื่นใจของสัตว์โลกเป็นอันมาก ทั้งมนุษย์และเทวดาต่างเสาะหา ทำไมพวกท่านถึงไม่ชอบกันเลยเล่า"


มหากาญจนฤาษีกล่าวตอบว่า..
"ท่านจอมภูต! ก็เพราะกามนี่แหละ!สัตว์ทั้งหลายจึงถูกจองจำ ทุกข์ภัยทั้งหลายพลันบังเกิดขึ้นจากกามทั้งนั้นสัตว์ทั้งหลายประมาทลุ่มหลงในกามพากันทำบาปกรรมมากมาย ไปนรกก็เพราะกามไฉนพวกเราจะไปสรรเสริญมันกันเล่า"


เทวดาเกิดความเลื่อมใสหมู่ฤาษี กล่าวว่า..
"ข้าแต่ท่านฤษีทั้งหลาย! เราคือท้าวสักกเทวราชมาเพื่อคิดทดสอบพวกท่านดูเท่านั้นเองจึงได้เอาเหง้าบัวไปซ่อนไว้ พวกท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์หาบาปมิได้เลย นี้เป็นเหง้าบัวของท่าน ท้าวสักกะตรัสพลางมอบเหง้าบัวคืนไว้บนแผ่นหิน

 

    มหากาญจนฤาษีทูลเตือนท้าวสักกะว่า..
"ท้าวาหัานัยน์ ฤาษีเหล่านี้มิใช่นักฟ้อนรำของท่าน และมิใช่ผู้ที่ท่านจะมาล้อเล่นเลย พวกเรามิได้เป็นสหายของท่านด้วยการล้อเล่น เหตุไฉนจึงมาดูหมิ่นทดสอบกับหมู่ฤาษี"ท้าวสักกะรู้ว่าพระองค์ทรงทำกรรมหนักเสียแล้ว ทรงกลัวบาปเป็นอย่างยิ่ง รีบตรัสว่า.."ข้าแต่ท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์เอย ขอท่านทั้งหลายจงเป็นดั่งอาจารย์ และบิดาของข้าพเจ้าด้วยเถิด ข้าพเจ้าขออยู่ใต้เงาเท้าของพวกท่าน ได้โปรดอดโทษให้สักครั้งหนึ่งเถิด"หมู่ฤาษียอมอดโทษให้ แล้วเข้าสู่อาศรมเจริญกสิณภาวนาจนได้ฌานและอภิญญา หาความสุขเลิศล้ำอยู่กับสมาธิ มีชีวิตสงบร่มเย็นมาช้านาน เมื่อถึงกาลละร่างกายก็ไปพักที่พรหมโลกสืบไป..

 

ประชุมชาดก
           พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า ตถาคตสารีบุตร โมคคัลลานะ กัสสปะ อนุรุทธะ ปุณณะและอานนท์เป็น 7 พี่น้องในครั้งนั้น อุบลวรรณาเป็นน้องสาว ขุชชุตตราเป็นทาสี จิตตคฤหบดีเป็นทาสปาลิเลยยกะเป็นช้างสมธุระเป็นวานร กาฬุทายีเป็นท้าวสักกะ ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดกไว้ ด้วยประการฉะนี้แล

 

         จากชาดกเรื่องนี้ บัณฑิตผู้มีปัญญาทั้งหลายชอบที่จะมองเห็นโทษของกามมากกว่าที่จะไปลุ่มหลง ในเรื่องนี้คนทั้งหมดรังเกียจกามอย่างมากจนถึงขนาดขยะแขยงไม่อยากได้ยินได้ฟัง ทั้งๆ ที่ทั้งหมดมิได้เคยมีครอบครัว หรือได้รับสุขสัมผัสจากกามมาก่อนบวชเลย แต่เป็นเพราะตนได้บ่มเนกขัมมะและมีปัญญาที่สั่งสมมาข้ามชาติ จึงพิจารณาเห็นโทษของกามได้อย่างแจ่มแจ้ง หากว่ามิได้สั่งสมเนกขัมมบารมีมา ถึงจะเสพกามไปทั้งชีวิตก็คิดถึงโทษไม่ออกอยู่นั่นเองการแสวงหาความสุขทางใจนั้นเป็นสุขอิสระ กว้างขวาง เบิกบานไร้ขีดจำกัด แม้ยังมิได้บรรลุธรรม ใจก็ยังรู้สึกปลอดโปร่งโล่งเบา ไร้เครื่องพันธนาการ เป็นสุขที่บริสุทธิ์มากกว่าสุขสัมผัสทางร่างกายซึ่งเป็นความสุขอย่างทาสไม่เป็นอิสระ ต้องขึ้นอยู่กับบุคคลอื่น มีหวง ห่วง ห้วงคำนึงคิดถึง
คอยตามรับใช้ความสุขสัมผัสเหมือนทาสรับใช้เจ้านาย ไม่เป็นตัวของตัวเอง จิตใจเหมือนถูกผูกให้ชักลากไปตลอดเวลา นอกจากสุขสัมผัสทางกายจะน่ารังเกียจน่าเบื่อหน่ายแล้ว ชีวิตทางโลกยังเต็มไปด้วยเปอกตมคือความกังวลและเครื่องพันธนาการ วนเวียนอยู่ในโลกธรรม ต้องพัวพันอยู่กับทรัพย์ลาภสักการะ ชื่อเสียงเกียรติยศ และผู้คนทั้งหลายจนไม่ค่อยจะมีเวลามาแสวงหาความสุขทางใจอันสงบเงียบเสียเลย

 

"นิสัยรังเกียจกาม, ชอบแสวงหาความสุขทางใจ, ไม่ติดอำนาจ ลาภสักการะ, ชอบชีวิตเรียบง่าย มักน้อยสันโดษ, ไม่ชอบคลุกคลี ยินดีในที่สงัด รักความสงบ และไม่ยินดีกับชีวิตที่เต็มไปด้วยเครื่องกังวลและโลกธรรมทั้งหลาย" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้างบารมีที่นับเนื่องเข้าในเนกขัมมบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.038636835416158 Mins