เรื่องนี้..เป็นเรื่องของหลวงตาอภิรูโป ซึ่งเป็นพระที่บวชที่วัดปากน้ำในปี พ.ศ.2500 ท่านได้เล่าไว้ว่า ก่อนหน้านั้น..ท่านไม่เคยคิดจะบวชมาก่อนเลย อีกทั้งสาเหตุที่ยอมไปวัดปากน้ำครั้งแรกในชีวิต ก็เพราะคิดถึงพระลูกชายที่บวชอยู่ที่นี่ ซึ่งพอไปถึง..ก็ต้องพบกับความประหลาดใจสุด ๆ คือ คือท่านได้ไปเห็นรูปถ่ายของหลวงปู่ เห็นแล้วก็เกิดความสงสัยอย่างหนักว่า ทำไม..รูปหลวงปู่ถึงเหมือนกับพระที่มาปรากฏให้ท่านเห็นก่อนตาย!! (เนื่องจากก่อนหน้านี้ ท่านได้ตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่) และเมื่อท่านเห็นดังนั้น..ก็ไม่รอช้า..รีบไปเรียนถามพระที่เฝ้าอยู่ที่โรงเรียนปริยัติธรรมว่า.. “หลวงพี่ครับ..พระองค์ที่อยู่ในรูป ยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ??” ซึ่งได้รับคำตอบว่า.. “ยังมีชีวิตอยู่” พระที่โรงเรียนปริยัติก็ชี้ไปทางหลวงปู่วัดปากน้ำแล้วพูดว่า “ท่านนั่งรับแขกอยู่นั่น เข้าไปกราบท่านสิ”
ซึ่งพอเจ้าของเรื่องได้เจอกับหลวงปู่ครั้งแรก หลวงปู่ก็พูดโพล๊ะขึ้นทันทีว่า... “ไอ้ศูนย์..ศูนย์ (0..0) นี่สำคัญ !! ศูนย์แรกนั้น ได้อยู่บ้านใหญ่ ศูนย์ที่ 2 นี้เกือบตาย ศูนย์ที่ 3 นี่จะได้บวช เอ้า...เอาฉายาไป... อภิรูโป”
ซึ่งพ่อเจ้าของเรื่องฟังดังนั้น ก็รีบพูดสวนกลับว่า.. “หลวงพ่อครับ..ผมไม่ได้มาบวชครับ ผมจะมาเยี่ยมพระลูกชาย” แต่หลวงปู่ท่านก็ย้ำคำเดิม แถมเอากระดาษเขียนฉายายื่นให้ แล้วพูดอีกว่า.. “เอา..น่ะ...บวช !!! เอ้า..เอาฉายาไป.. อภิรูโป แปลว่า ผู้มีรูปงามอันยิ่ง...” คือ หลวงปู่ท่านพูดเอง..เออเองเสร็จสรรพ จนเจ้าของเรื่องก็เกิดอาการงง และก็มานั่งรำพึงนึกทบทวนดูว่า เอ้..ที่หลวงปู่พูดว่า.. ศูนย์ (0) แรก..ได้อยู่บ้านใหญ่หมายความว่าอะไร?? เพราะเราเกิดมาก็ยากจนเหลือเกิน และสักครู่ก็ปิ๊งนึกออกว่า อ๋อ.. ตอนปี พ.ศ.2480 น่ะ เราติดคุกติดตะราง เพราะหัดเป็นโจร คือ ลองไปปล้นเขาครั้งแรก แล้วโดนจับเข้าคุกเลย จึงได้มาอยู่บ้านใหญ่หลังเบ้อเร่อจริง ๆ เพราะในคุกมีคนอยู่รวมกันเยอะเลย...แต่หลวงปู่ท่านไม่ได้บอกเราตรง ๆ ว่าเราเคยเข้าคุกต่อหน้าสาธารณชน เพราะท่านกลัวเราจะเสียหน้า
จากนั้นเจ้าของเรื่องก็มานึก.. จนต้องร้องอ๋อ..!! ขึ้นอีกครั้งว่าส่วน.. ศูนย์ (0) ที่ 2 ก็คือ อีก 10 ปีต่อมา..คือในปี พ.ศ. 2490 หลังจากออกมาจากคุกแล้ว ก็ได้ไปทำอาชีพเผาปูนขาย แต่เผาไปเผามาผงปูนมันเข้าไปกัดในคออีท่าไหนก็ไม่ทราบ กัดจนเลือดออก รักษาอย่างไรก็ไม่หาย แถมล้มป่วยหนักจนเข้าขั้นโคม่า ทำให้พระลูกชายที่บวชอยู่วัดปากน้ำเป็นห่วงมาก จึงเขียนจดหมายมาบอกคาถาดีกับโยมพ่อว่า ให้ท่อง “สัมมาอะระหัง” ไปเรื่อย ๆ ซึ่งพอท่องไปท่องมา... อยู่ ๆ ก็เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น คือ เจ้าของเรื่องเห็นหลวงปู่วัดปากน้ำมายืนอยู่ตรงหัวนอน ซึ่งตอนที่เห็นนั้นยังไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหลวงปู่มาก่อนเลย แต่ก็อธิบายลักษณะไว้ชัดว่า เป็นพระภิกษุที่มีสง่าราศีดีมาก และมีจุดเด่น คือท่านมีไฝขนาดใหญ่เท่าเม็ดพุทรา 2 เม็ด ซึ่งหลวงปู่ท่านมาก็เพื่อจะบอกว่า.. “เอ็งเอาขมิ้นกินเข้าไปสิวะ เดี๋ยวก็หาย..!!”
แต่เนื่องจากสภาพร่างกายของเจ้าของเรื่องตอนนั้นมีสภาพร่อแร่เต็มทีแล้ว จึงทำให้หลังจากเห็นหลวงปู่เสร็จ กายมนุษย์ละเอียด.. ก็หลุดจากกายมนุษย์หยาบทันที โดยที่เจ้าของเรื่องไม่รู้ตัว ซึ่งถ้าใช้ศัพท์ชาวบ้าน ก็คือ วิญญาณหลุดออกจากร่าง หรือพูดง่าย ๆ ว่าตายแล้วนั่นเอง.. และด้วยความที่เจ้าของเรื่องไม่รู้ว่าตัวเองตายจึงคิดไปว่า.. เอ..ทำไม..??หลังจากท่อง “สัมมาอะระหัง” แล้วร่างกายมันสบ๊าย..สบาย ไม่เจ็บไม่ปวดทรมานร่างกายเหมือนเก่า แถมยังความสามารถพิเศษเพิ่มขึ้น คือ ลุกเดินออกจากร่างตัวเองได้ด้วย อีกทั้งยังลุกเดินออกมาถึงนอกชานบ้านได้ คือ แทนที่จะคิดว่าตัวเองตายแล้ว แต่กลับมี Positive Thinking คือ คิดบวกถึงขั้นว่า..คงเป็นเพราะอานุภาพที่ได้ท่องคาถาวิเศษ คือ “สัมมาอะระหัง” ซึ่งพอคิดอย่างนี้ ก็เลยอะเลิร์ต...รีบท่อง “สัมมาอะระหัง” ใหญ่เลย คือท่องไป..เดินไป..ทึ่งไป เพราะสามารถเดินได้เหนือพื้นสามารถเดินไปในอากาศได้ เหมือนมีอากาศเป็นแผ่นดิน แถมเดินได้เร็วกว่าปกติอีก ซึ่งพอเจ้าของเรื่องทำได้อย่างนี้...ก็เลยอะเลิร์ตหนักกว่าเก่าขึ้นไปอีก คือ ดีใจ..เกิด Positive Thinking คิดบวกต่อไปอีกว่า เอ..ท่อง “สัมมาอะระหัง” ..นี่มันช่างดีอะไรขนาดนี้..ท่องแล้วทำให้เหาะได้ด้วย !!!
จากนั้นเจ้าของเรื่องก็เดินเหาะ ๆ ลอย ๆ ไปเรื่อย ๆ อย่างเบิกบานใจ จนกระทั่งไปเจอคนรู้จัก 2 คน ..คนแรกเดินอยู่ข้างหน้า ส่วนคนที่ 2 เดินอยู่ข้างหลัง อยู่ห่างกันแค่ 2 เมตร ก็เลยดีใจ คิดอยากจะไปบอกเขาว่า ได้เจอคาถาเด็ดเข้าแล้ว... คือ ถ้าได้ท่อง “สัมมาอะระหัง” แล้ว..จะเหาะได้ เพราะอยากจะให้เขาเหาะได้เหมือนตัวท่านเอง แต่ทันทีที่เจ้าของเรื่องตะโกนเรียก ทั้งสองคนนั้นกลับไม่มีใครโต้ตอบหรือหันมามองเลยสักคน เพราะเขาไม่ได้ยิน ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เลยทำให้เจ้าของเรื่องเกิดอาการไม่พอใจ ว่าทำไมเรียกแล้วไม่ได้ยิน และไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรกันบ้างเลย
ด้วยเหตุนี้..ก็เลยทำให้กายละเอียดของเจ้าของเรื่องเกิดอาการหงุดหงิดขัดใจ และก็ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการใหม่ คือ เดินไปในอากาศแล้วเอาเท้าไปเหยียบบ่าคนที่อยู่ข้างหน้าเสียเลย เพราะไม่อยากหันมามองดีนัก ด้วยเหตุนี้..ก็เลยทำให้คนที่อยู่ข้างหน้าเซจนหน้าคะมำไปเลย และเกิดอาการไม่พอใจอย่างแรงจนต้องหันขวับกลับมาดู พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า..ใครกัน.? บังอาจมาผลักเรา..!! และพอหันมาเจอคนข้างหลัง ก็เลยคิดว่า ต้องเป็นไอ้หมอนี่ผลักแน่ ๆ ก็เลยทำให้เกิดอาการทะเลาะกันยกใหญ่
ส่วนเจ้าของเรื่องที่ลอยอยู่ในอากาศได้เห็นดังนั้น..ก็รีบห้ามบอกว่า “อย่าทะเลาะกัน ฉันน่ะ..เป็นคนทำเอง !” แต่ไม่ว่าเจ้าของจะพยายามบอกอย่างไร สองคนนั้นก็ไม่ได้ยินอยู่ดีเลยทำให้เจ้าของเรื่องเปลี่ยนมาใช้วิธีการใหม่ คือ เดินไปเขย่าต้นพุทราที่อยู่ข้างหน้าให้สั่นอย่างแรง ทันใดนั้น..!! เมื่อสองคนนั้นเห็นพุทราสั่นโดยไม่เห็นคนเขย่า..ก็เกิดอาการตะลึงค้าง หยุดทะเลาะกันทันที ซึ่งขณะที่สองคนนั้นกำลังตาค้างอยู่นี่เอง ก็เลยทำให้กายละเอียดเข้าใจไปเองว่า เจ้ามนุษย์สองคนนี้สามารถมองเห็นเขาได้แล้ว จึงเกิดกำลังใจขึ้นมาใหม่ว่า งั้น..เรารีบบอกคาถาดี ว่าให้ท่อง “สัมมาอะระหัง” แล้วจะเหาะได้ดีกว่า แต่ที่ไหนได้... ขณะที่กายละเอียดกำลังจะอ้าปากบอก..สองคนนั้น..เผ่นอ้าว..วิ่งป่าราบ..หนีพร้อมกับตะโกนว่า..ผี.. ผี ...หลอก !!!
เมื่อเป็นอย่างนั้นเจ้าของเรื่องก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงเดินเรื่อยเปื่อย และไปเจอยายแก่คนหนึ่งที่รู้จักกันอีก จากนั้นก็ใช้วิธีการเดิมอีก คือ เดินไปเขย่าต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้า เพราะคิดว่าวิธีนี้ เป็นวิธีที่จะทำให้ยายแก่หันมามองเจ้าของเรื่องได้ แต่ที่ไหนได้..ยายแก่คนนี้..เจนโลก คือ ไม่เหมือนชาย 2 คนที่แล้ว เพราะแกไม่กลัวผี คือ พอแกเห็นต้นไม้สั่นเองได้ แกก็เลยด่ากราดเลย ว่าไอ้ผี..มาหลอกได้แม้กระทั่งคนแก่..หลอกแม้กระทั่งกลางวัน ด่า..อย่างนั้น..อย่างนี้ คือ โวยวายยกใหญ่ จนทำให้เจ้าของเรื่องหมดอารมณ์ เกิดอาการไม่พอใจ พลางคิดว่า..อุตส่าห์หวังดี กะจะเอาคาถาดี “สัมมา อะระหัง” เหาะได้มาบอก ทำไมมาด่ากันถึงขนาดนี้ และพอคิดอย่างนี้..ก็เลยเดินเข้าไปใกล้ยายกะว่าจะเอาเท้าเหยียบบ่าแกดูเหมือนชายคนเมื่อกี้ แต่พอคิดไปคิดมา ก็บอกกับตัวเองใหม่ว่า..อย่าดีกว่า เพราะขนาดเมื่อกี้เหยียบบ่าผู้ชายคนนั้นเบา ๆ เขายังหน้าคะมำไปถึงขนาดนั้น แต่นี่..ยายแกแก่แล้ว เดี๋ยวเกิดล้มแล้วตายขึ้นมา จะบาปเปล่า ๆ เมื่อคิดดังนั้นแล้ว...เจ้าของเรื่องก็เลยเดินถอยทัพกลับบ้านตัวเองดีกว่า
และทันทีที่เข้าบ้านนั่นเอง... เจ้าของเรื่องก็ต้องตกใจ เพราะเห็นคนในบ้านร้องไห้กันระงม อีกทั้งพอไปเห็นสัปเหร่อกำลังจะจับร่างของเจ้าของเรื่องมัดมือ มัดตราสังข์ เอาดอกไม้ใส่มือ ก็เลยรู้ว่า.. ตัวเองได้ตายไปแล้ว ซึ่งพอรู้อย่างนี้..เจ้าของเรื่องก็เกิดความรู้สึกอยากจะกลับเข้าร่างตัวเองใหม่ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง จึงรีบท่อง “สัมมาอะระหัง” ใหญ่เลย และคิดในใจว่า..อยากจะเข้าร่างให้ได้ จากนั้น..มันปรื้ดเข้าไปอย่างไรก็ไม่ทราบ คือ กายละเอียดมันวืดเข้าร่างเดิมได้ ซึ่งพอสัปเหร่อเห็นร่างที่ตายแล้ว เกิดอะเลิร์ตกระดุกกระดิกขึ้นมาใหม่ได้ ก็นึกว่าผีหลอก เผ่นอ้าวหนีกันไปเป็นแถวเลย แต่สักครู่ก็มีผู้กล้าคนหนึ่งเข้าไปแกะเชือกที่มัดมือเอาดอกไม้ออก และก็พูดคุยกันจนเกิดความเข้าใจ และมั่นใจว่า ไม่ใช่ผีแล้ว ..เจ้าของเรื่องก็เลยบอกให้คนข้าง ๆ เตียงช่วยไปเอาขมิ้นมาให้กินตามที่หลวงปู่วัดปากน้ำบอกเอาไว้ จนสุดท้ายก็หายป่วยเป็นอัศจรรย์จริง ๆ
จนกระทั่งอีก 10 ปี ถัดมา คือ ปี พ.ศ. 2500 เป็น 0 ที่ 3 อยู่ ๆ เจ้าของเรื่องก็เกิดคิดถึงพระลูกชายที่วัดปากน้ำมาก ก็เลยได้มาเจอหลวงปู่องค์เป็น ๆ ครั้งแรก และพอเจอท่าน ท่านก็ทักเรื่อง 3 ศูนย์ อย่างที่ได้เล่ามาแล้ว แล้วก็บอกว่า ศูนย์ (0) ที่ 3 นี่..จะได้บวช แต่เจ้าของเรื่องก็บอกหลวงปู่ไปว่า.. “บวชไม่ได้ เพราะตอนนี้เป็นหนี้เขาอยู่”
แต่เนื่องจากหลวงปู่ท่านเห็นในที่ จึงบอกกลับไปว่า “ให้ไปบอกเจ้าหนี้นะว่า เอ็งจะบวช แล้วเจ้าหนี้เขาจะยกหนี้ให้เอ็งหมดแล้วเขาก็จะเป็นเจ้าภาพบวชให้ด้วย แถมเอ็งก็ยังเหลือเงินกลับมาวัดปากน้ำด้วย”
ซึ่งพอเจ้าของเรื่องฟังดังนั้น ก็เลยลองไปหาเจ้าหนี้ดู และก็บอกว่า “อยากจะบวช” เจ้าหนี้ก็เลยถามย้ำความมั่นใจว่า “จะบวชจริงรึเปล่า?” เจ้าของเรื่องก็บอกว่า “จริง ๆ ..จะบวชไปตลอดชีวิตเลย เพราะแก่มากแล้ว อีกทั้งพระลูกชายก็บวชอยู่วัดปากน้ำ”
เมื่ิอเจ้าหนี้ฟังดังนั้น ก็อะเลิร์ตดีใจรีบอนุโมทนา แล้วบอกต่อว่า “งั้น..ยกหนี้ให้หมดเลยก็ได้” แถมยังถามต่ออีกว่า.. “มีเจ้าภาพบวชให้หรือยังล่ะ” เจ้าของเรื่องก็ตอบว่า.. “ยัง” เจ้าหนี้ก็บอกต่อด้วยความดีใจว่า.. “งั้น.. จะขอเป็นเจ้าภาพให้เอง” จากนั้นเจ้าหนี้ก็ถามเพิ่มอีกว่า “แล้วมีเงินเดินทางไปวัดปากน้ำรึเปล่า” เจ้าของเรื่องก็ตอบว่า.. “ไม่มี”
เจ้าหนี้ก็เลยให้เงินมาอีกก้อนหนึ่ง เพื่อเป็นค่าเดินทางไปวัดปากน้ำอีก คือ จากเป็นหนี้..แต่กลับเหลือเงินมาวัดปากน้ำจริง ๆ ซึ่งเป็นไปตามที่หลวงปู่ท่านบอกไว้เป็นอัศจรรย์ทุกประการ...