หลังจากที่หลวงปู่ค้นพบวิชชาธรรมกายแล้ว ท่านก็มุ่งทำวิชชาปราบมารรื้อวัฏฏะ เพื่อเอาชนะ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ตลอดเวลา ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ท่านเอาชนะการเจ็บ ก็คือ การทำวิชชาแก้โรค ซึ่งการทำวิชาแก้โรคของหลวงปู่ท่านจะทำอยู่ 2 อย่าง คือ รื้อผังใหญ่..ที่ทำให้มนุษย์ทั้งหมดเกิดโรคภัยไข้เจ็บ กับรื้อผังย่อย..ของคนที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บแล้วมาขอให้ท่านช่วย และเมื่อหลวงปู่ท่านแก้โรคไปได้ระดับหนึ่ง ท่านก็คิดจะค้นคว้าวิชชาชุบชีวิตเพื่อเอาชนะการตาย คือ ทำคนที่ตายแล้วให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ อย่างตอนที่โยมแม่ของหลวงปู่เสียชีวิต ท่านก็ได้ค้นคว้าวิชชาชุบชีวิตโยมแม่ ซึ่งหลวงปู่ท่านสั่งพวกทำวิชชาว่า
“ธาตุตายแล้ว ให้เอาธาตุเป็นใส่เข้าไป แล้วไปตามกายละเอียดที่ไปแล้ว เอากลับมาใส่ให้ติดทีเดียว แล้วก็ปรับธาตุในตัวทำให้อวัยวะทุกส่วนมันเป็นขึ้นมาใหม่ เชื่อมหัวต่อกายทิพย์กับกายมนุษย์หยาบให้มันติดกัน ทำให้มันเป็นขึ้นมา ทำให้อวัยวะทุกส่วนมันเป็นขึ้นมาใหม่ แล้วไปทูลพระพุทธเจ้าในอายตนนิพพานให้ท่านมาช่วย แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอายตนนิพพานก็ตรัสว่า กิ่งไม้มันแห้ง มันหล่นแล้ว จะเอาขึ้นไปติดอีก มันไม่เป็นหรอก...”
ซึ่งผลปรากฏว่า แม้ร่างกายของโยมแม่ที่ตายไปแล้วยังลุกขึ้นมาเดินเหินเหมือนมนุษย์ปกติไม่ได้ แต่วิชชาท่านก็ก้าวหน้าไปถึงระดับที่ว่า ท่านสามารถทำให้ร่างคนที่ตายไปแล้ว มีเลือดฝาด มีเหงื่อออก นิ้วกระดิก และเนื้อตัวขยับได้บ้าง.. ซึ่งจริง ๆ หลวงปู่ท่านอยากให้ลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นได้ แต่เนื่องจากวิชชายังไม่ไปถึงขั้นนั้น หลวงปู่จึงพูดว่า “ก็ลองดูล่ะวะ..” คือแม้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร...
แต่แม้การชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาจะยังทำไม่สำเร็จ แต่ก็ถือได้ว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกและจักรวาลเลยทีเดียว เพราะยังไม่เคยมีหมอ มนุษย์ คนใดเลย ที่ทำให้คนตายไปแล้วสามารถกระดุกกระดิก ถึงขั้นมีเลือดฝาดขึ้นมาใหม่ได้ ในสภาพที่เป็นมนุษย์ แต่หลวงปู่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ท่านยังคงให้เก็บร่างโยมแม่ท่านเอาไว้ เพื่อค้นวิชชาต่อไปเรื่อย ๆ แต่ต่อมาภายหลังหลวงปู่ท่านอาพาธ อีกทั้งรู้เวลามรณภาพของตัวเอง สุดท้ายท่านจึงตัดสินใจเผาร่างโยมแม่ของท่าน ในปี พ.ศ. 2500
Cr. ร. ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ