โอวาทหลวงปู่วัดปากน้ำ
ตอนที่32 โดยสิงหล 31 ส.ค. 58
"หลวงพ่อ ไม่ทิ้งเองหรอก" ถ้อยคำนี้ยังก้องอยู่ในใจของพระเตชวัน อาภากโร ซึ่งมีอายุได้ 76 ปี อยู่ตลอดเวลา แม้จะผ่านช่วงวัยของชีวิตจากวันนั้นถึงวันนี้มาร่วม60 กว่าปีแล้วก็ตาม แต่ภาพต่างๆ ครั้งเคยเป็นลูกเณรของหลวงพ่อวัดปากน้ำ ผู้ที่เคารพบูชาสุดชีวิตก็ไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำ เพราะเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา ถึงกับกล่าวได้ว่า การตายแล้วเกิดใหม่ของพระเตชวันนั้น เป็นภาพที่ยังรำลึกอยู่ได้เสมอ หากหลวงพ่อไม่ไปช่วย ชีวิตคงไม่อยู่มาถึงทุกวันนี้ นึกถึงครั้งใด ยิ่งตอกย้ำความทรงจำของพระเตชวันให้สนิทแนบแน่นยิ่งขึ้น ว่าหลวงพ่อไม่ทิ้งเราจริงๆ
เริ่มแรกนั้น ยายผมชื่อยายเพิ่ม ป่วยเป็นโรคผีเข้าสิงร่าง ไปรักษากับพระที่เก่งในยุคนั้นก็ไม่หาย ไปหาหมอที่มีความสามารถเก่งในการรักษาโรคก็ไม่หาย ใช้ไสยเวช ไสยศาสตร์ก็ไม่หายซักที พอดีมีคนแนะนำว่าให้มาหาหลวงพ่อสดวัดปากน้ำท่านเก่ง ท่านปราบผีได้ ยายจึงเดินทางมาหาหลวงพ่อที่วัดปากน้ำ หลวงพ่อให้ยายนั่งธรรมะและแก้ให้ ยายอาการดีขึ้น จึงนึกถึงผมซึ่งเป็นหลาน บอกหลวงพ่อว่าผมอาการไม่ดีเลย จะรอดหรือเปล่า เป็นโรคลมชักตั้งแต่เด็กๆ ท่านบอกว่า "มันหลานมึงแต่เป็นลูกกู" ให้พามันมาหากู แล้วหลวงพ่อก็บอกยายว่า มันป่วยรักษาไม่หาย เด็กคนนี้อย่าตีนะ จะเสียเงินเสียทอง จะลำบาก ยายพอฟังหลวงพ่อแล้วก็กลับมาเอาผมไปจากดำเนินสะดวก ราชบุรี แม่มณีบอกยายอย่าพาลูกฉันไปเลย มันอันตรายนะยาย ตอนนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ผมอายุได้แค่2ขวบ แต่ยายบอกแม่ว่า หลวงพ่อท่านบอกว่าลูกหลานกูไม่เป็นไรมาได้ ไม่ต้องกลัวสงคราม สมัยนั้นมาเรือจากท่าเรือบางยางมาต่อรถที่มหาชัยแล้วก็มาต่อเรือจนมาถึงตลาดพลูแล้วเดินมาวัดปากน้ำ ตอนเดินที่ตลาดพลูเห็นทหารญี่ปุ่นเดินเป็นแถวๆ เราก็เดินหลบพวกทหาร ยายเล่าให้ฟัง ตอนโตว่าตอนนั้นประมาณปี พ.ศ.2485 พอมาถึงวัดปากน้ำก็ตรงเข้าหาหลวงพ่อเลยที่กุฏิ หลวงพ่อก็ดีใจแล้วพูดว่ามึงรอดตายแล้ว แล้วหลวงพ่อก็สอนให้ผมทำสมาธิ ตอนนั้นอายุ2ขวบ มันก็รู้บ้างไม่รู้บ้างแต่ตอนนัั่งสมาธิจิตมันใสแน่วแน่มาก จำอะไรได้แม่นยำ หลวงพ่อให้ผมพักอยู่กับท่านบนกุฏิ ว่างๆหลวงพ่อก็เรียกไปนอนคุยกันบนกุฏิชั้นบน ผมจะนอนที่ระเบียงมุขด้านนอก ส่วนหลวงพ่อจะนอนในกุฏิ หลวงพ่อจะระลึกชาติไปดูให้ผม ว่าอดีตผมเคยเกิดเป็นเจ้าเมืองมา11ชาติชื่อจุลณี แล้วหลวงพ่อก็มาตั้งชื่อให้ใหม่ว่าจุลณี ผมฟังตอนนั้น คิดในใจแบบประสาเด็กว่าไม่ชอบชื่อนี้เลย คุยไปคุยมาแล้วก็นอนหลับ พอเวลาเช้าหลวงพ่อท่านก็เรียก อ้าวไอ้จุลณีตื่นได้แล้ว ผมก็ตื่นขึ้น อาการที่เป็นยังไม่หายดี ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอยู่เป็นผู้เป็นคนหรอก ใจมันลอยๆ เวลาอาการเก่ามันกำเริบ เหมือนใจละเมอไป แต่มันก็ไม่ตาย พอกายมันสบายๆผมก็อยากมาคุยกับหลวงพ่อ อยากมานั่งธรรมะกับหลวงพ่อ แต่พอมันเบลอๆมันก็ไม่อยากคุย เป็นมาเป็นพันๆครั้งแล้วจนถึงปัจจุบันนี้ หลวงพ่อบอกกับผมว่ายังไงมึงก็ไม่ตายแล้ว มึงมาเจอกู กูต่ออายุให้มึงแล้ว ในช่วงนั้นยายเพิ่มก็ย้ายที่พักจากแถววัดราชสิงขรมาเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆวัดปากน้ำ แถวๆท่าไฟไหม้ ในช่วงนั้นสงครามกำลังต่อสู้กันหนัก ผมได้ยินเสียงระเบิดดังมาถึงวัดปากน้ำ แต่ไม่กลัวเพราะอยู่กับหลวงพ่อ ตอนนั้นเป็นเด็กซน ไม่ค่อยรู้เรื่องวิ่งเล่นอยู่แถววัด แถวกุฏิหลวงพ่อ กินข้าวก็เดินไปกินบ้านยาย ใช้ชีวิตแบบนี้ไปได้ระยะหนึ่งแม่ก็มารับกลับบ้านเพราะเป็นห่วงและคิดถึง รับกลับไปที่ดำเนินสะดวก พออยู่ไปไม่นานโรคอาการเบลอๆลอยๆก็กำเริบอีก ยายก็ต้องไปรับมารักษาตัวที่วัดปากน้ำ มาให้หลวงพ่อช่วย เป็นอย่างนี้ตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่2 จนปี2488ผมอายุได้5ขวบก็เริ่มรู้เรื่องบ้าง ไปๆมาๆวัดปากน้ำกับดำเนินสะดวก โรคที่เป็นหลวงพ่อก็ช่วยแก้ไขให้ตลอด นับเป็นบุญคุณใหญ่หลวงที่ท่านมีต่อผม ยากที่จะแทนคุณได้หมด ท่านดูแลผมตลอด
(เรื่องเล่าโดย พระเตชวัน อาภากโร บุคคลยุคต้นวิชชาเล่ม1 ภาคพิเศษ)