เริ่มประกาศพระศาสนา (ตอนที่ ๒)

วันที่ 06 กพ. พ.ศ.2547

 

 

.....พระบรมศาสดาทรงดำริเรื่องประกาศาพระศาสนา พระอรหันตสาวกทั้ง ๖๐ รับพระดำรัสสั่งแล้ว ต่างองค์ต่างแยกย้ายเดินทางไปแสดงธรรม ประกาศพระศาสนา ให้กุลบุตรในถิ่นนั้นๆ มีความนับถือเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา น้อมนำจิตให้ต้องการอุปสมบท แต่เมื่อไม่สามารถให้การอุปสมบทเองได้ จึงพากันมาเฝ้าพระบรมศาสดา

.....พระองค์ทรงประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้ และทรงเห็นถึงความยากลำบากในการเดินทางมาเฝ้า จึงทรงมีพุทธานุญาตให้พระอรหันตสาวกเหล่านั้นจัดการบวชเองได้ด้วยวิธีให้โกนผมโกนหนวดก่อน แล้วจึงให้นุ่งผ้าที่ย้อมด้วยน้ำฝาด แล้วปฏิญาณตนว่า

.....“ข้าพเจ้าขอถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถือพระธรรมเป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าขอถือพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ฯลฯ” ดังนี้ เรืยกว่า ทรงอนุญาตให้บวชด้วยการรับไตรสรณคมน์ หรือ ติสรณคมนูปสัมปทา

.....พระบรมศาสดาประทับอยู่ที่พาราณสีพอสมควรแล้ว เสด็จพระพุทธดำเนินไปยังตำบลอุรุเวลฯ ระหว่างทางเสด็จแวะที่ไร่ฝ้ายแห่งหนึ่ง ได้พบกลุ่มชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนรักกัน จำนวน ๓๐ คน ชื่อกลุ่มว่า ภัททวัคคีย์ พาภรรยามาเที่ยวเล่นอยู่ที่นั่น มีอยู่คนหนึ่งไม่มีภรรยา จึงจ้างหญิงแพศยา(โสเภณี) มาเป็นภรรยาชั่วคราว ในขณะที่เหล่าชายหนุ่มเผลอ หญิงแพศยานั้นได้ขโมยห่อเครื่องประดับหนีไป

.....บรรดาคนเหล่านั้นกำลังเที่ยวตามหาหญิงแพศยาอยู่ ได้มาพบพระบรมศาสดาจึงทูลถามพระองค์ว่าทรงเห็นสตรีนั้นหรือไม่

.....พระบรมศาสดาตรัสย้อนถามว่า “พวกเธอทั้งหลายจะพึงแสวงหาหญิงแพศยานั้นดีหรือแสวงหาตนเองดี?”

.....เหล่าภัททวัคคีย์ได้สติ เป็นผู้มีปัญญา ทูลตอบว่า “พวกข้าพเจ้าขอแสวงหาตนเองดีกว่า พระเจ้าข้า”

.....พระบรมศาสดาตรัสแสดงอนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ ให้แก่คนทั้ง ๓๐ คนเหล่านั้นได้ดวงเห็นธรรม ขอบวชและบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ครั้นแล้วพระองค์ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาในทำนองเดียวกัน

.....ส่วนพระองค์เสด็จต่อไปยังตำบลอุรุเวลฯ ที่นั่นมีชฎิล(นักบวชนิยมลัทธิบูชาไฟ) ๓ พี่น้อง และบริวาร ๑,๐๐๐ คน สร้างอาศรมอยู่ริมฝั่งน้ำเนรัญชรา เรียงรายตามลำดับกันไป อุรุเวลกัสสปะ เป็นพี่อยู่ต้นน้ำ พระบรมศาสดาเสด็จไปพบก่อน ทรงทรมานด้วยวิธีต่างๆ กระทั่งอุรุเวลกัสสปะมีความสลดใจลดทิฏฐิที่คิดว่าตนเองวิเศษเหนือผู้อื่น เห็นการกระทำของตนไร้สาระ

.....เมื่อเสด็จไปพบ ทรงขอพักแรมในโรงบูชาไฟ อุรุเวลกัสสปะไม่พอใจ เห็นว่าพระองค์ทรงอวดดีขอพักในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เตือนว่าที่นั่นมีพญานาคมีพิษอาศัยอยู่ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จไปถึง พญานาคเห็นเข้าโกรธพ่นพิษ พระบรมศาสดาทรงเข้าฌานเตโชกสิณ (ใช้ไฟเป็นอารมณ์ในการกำหนดใจให้รวมเป็นสมาธิแน่วแน่) แล้วทรงบันดาลด้วยฤทธิ์ให้พระวรกายมีไฟเกิดขึ้นต่อต้านพิษพญานาค บังเกิดเป็นแสงสว่างสีแดงจัด ราวจะเผาผลาญโรงบูชาไฟให้เป็นเถ้าถ่านไปสิ้น

.....เหล่าชฎิลเห็นแสงสว่างแดงรุ่งโรจน์ดังนั้น พากันคิดว่า “พระสมณะรูปนี้คงสิ้นชีวิตเป็นแน่แท้” แต่พอถึงเวลารุ่งเช้าเมื่อทุกคนไปดู กลับเห็นพญานาคขดเหลือตัวเล็กนิดเดียวอยู่ในบาตร พระบรมศาสดาตรัสว่า “นาคนี้สิ้นฤทธิ์แล้ว ด้วยอำนาจของเรา” พวกชฎิลแปลกใจ แต่ก็ยังลังเลไม่เลื่อมใส

.....โดยเหตุที่เหล่าชฏิลมีความทะนงตนมาก พระบรมศาสดาต้องทรงปราบด้วยฤทธิ์ ต้องทรงพำนักอยู่ที่นั้นอีกหลายวันต่อมา เพื่อทรงทรมานทุกคนให้คลายความสำคัญผิด

.....ขณะนั้นเกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันจนน้ำท่วมบริเวณทั่วไปหมด โดยเฉพาะบริเวณที่พระบรมศาสดาทรงพำนัก เหล่าชฎิลคิดว่าพระองค์ต้องทรงจมน้ำสิ้นชีวิตเป็นแน่ จึงพายเรือเข้าไปดู กลับเห็นพระบรมศาสดาทรงเดินจงกรมอยู่ที่พื้นิน มีน้ำไหลวนรอบเป็นวงกลมบริเวณกว้างพอควร โดยไม่ไหลเข้าท่วมแม้แต่หยดเดียว เหล่าชฎิลเห็นพุทธานุภาพดังนี้ รู้ว่าพวกตนไม่ใช่พระอรหันต์ จึงกราบแทบพระบาทขอเป็นสาวก

.....(วิธีแสดงฤทธิ์ดังนี้ ทำได้โดยการทำฌานจิตให้เกิดด้วยการนึกถึงน้ำเป็นอารมณ์ เมื่อจิตแน่วแน่ดีแล้ว ก็อธิษฐานให้น้ำรอบกายตามที่กำหนดเป็นแผ่นแข็งกั้นเหมือนดังกำแพงได้)

.....เหล่าชฎิลปลงผมที่เกล้าเป็นชฎาออกลอยไปตามน้ำพร้อมเครื่องพรตบูชาไฟ ทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดาประทานอนุญาต

.....ฝ่ายนทีกัสสปะผู้เป็นน้องเหล่าบริวารตั้งอาศรมอยู่ใต้น้ำลงไปเห็นชฎาและบริขารเครื่องบูชาไฟของพี่ชาย สำคัญว่าเกิดอันตรายแก่ผู้เป็นพี่ รีบพากันเดินทางมาดู เห็นพี่ชายพร้อมบริวารบวชหมดแล้ว ได้พากันบวชตามในทำนองเดียวกัน

.....น้องชายคนเล็กชื่อคยากัสสปะ อยู่ใต้น้ำต่อไปจากนทีกัสสปะ เห็นสิ่งของลอยน้ำมาทำนองเดียวกัน ก็พาบริวารขึ้นมาดูและได้อุปสมบทในที่สุด รวมภิกษุที่มาจากชฎิลทั้งสิ้น ๑,๐๐๓ คน
 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.023776964346568 Mins