.....ยสกุลบุตร เป็นบุตรเศรษฐีในเมืองพาราณสี มีคฤหาสน์ใหญ่ประจำฤดูกาลอยู่ ๓ หลัง มีวงดนตรีสตรีล้วนคอยบรรเลงขับกล่อม คืนนั้นยสกุลบุตรตื่นขึ้นกลางดึก ได้เห็นเหล่าสตรีที่นอนหลับมีอาการพิกลพิการต่างๆ เหมือนซากศพที่ถูกทิ้งไว้ในป่าช้า
.....ยสะเกิดความสังเวชสลดใจ ออกอุทานว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” จึงสวมรองเท้าเดินออกจากประตูบ้าน ผ่านไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระบรมศาสดากำลังเสด็จจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ทรงได้ยินเสียงยสะเปล่งอุทาน จึงตรัสเรียกว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เชิญเข้ามาที่นี่เถอะ นั่งลงเราจะแสดงธรรมให้ฟัง”
.....ยสะได้ยินพระดำรัสเรียกดังนั้นจึงเข้าไปกราบแทบพระบาท นั่งลงฟังธรรม พระบรมศาสดาตรัสสอนยสกุลบุตรด้วย อนุปุพพิกถา คือ เรื่องทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม และอานิสงส์ของการออกจากกาม
.....ยสกุลบุตรเป็นคนฉลาด ฟังอนุปุพพิกถาแล้วเข้าใจแจ่มแจ้ง เหมือนผ้าที่ได้รับการซักฟอกสะอาดดีแล้ว ครั้นพระบรมศาสดาทรงประกาศอริยสัจ ๔ ต่อ ยสะก็พลันได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน เหมือนย้อมผ้าสะอาด สีย่อมติดเนื้อผ้าดี
.....รุ่งเช้าเมื่อทางบ้านท่านยสะทราบว่าท่านหายไป จึงพากันออกตามหา เศรษฐีผู้บิดาตามหามาทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เห็นรองเท้าของบุตรชายถอดวางไว้จำได้ จึงตามเข้าไปในที่ประทับ พระบรมศาสดาทรงใช้พุทธานุภาพทำให้บิดามองไม่เห็นบุตร เศรษฐีทูลถามถึงบุตรชาย
.....พระบรมศาสดาทรงแสดงธรรมให้ฟังในทำนองเดียวกัน เศรษฐีได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ส่วนท่านยสะฟังพระธรรมเทศนาซ้ำอีกครั้ง ส่งกระแสใจทำตามพุทโธวาทบรรลุเป็นพระอรหันต์ เศรษฐีทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา และแสดงตนเป็นอุบาสกถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ครบพระรัตนตรัย เป็นสรณะ(ที่พึ่ง)คนแรกในโลก
.....ขณะนั้น พระบรมศาสดาจึงบันดาลให้บิดามองเห็นบุตร เศรษฐีเห็นลูกชายแล้วชวนกลับบ้าน บอกว่ามารดากำลังเสียใจแทบสิ้นชีวิตที่ลูกหายไป พระบรมศาสดาตรัสบอกแก่เศรษฐีว่า “ยสะเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ใช่ผู้สมควรกลับไปมีชีวิตครองเรือนอีก”
.....เศรษฐีดีใจกล่าวว่า เป็นลาภอันประเสริฐของลูกชาย ทูลเชิญพระบรมศาสดาพร้อมลูกชายไปยังบ้านของตนเพื่อรับภัตตาหารในเช้าวันนั้น แล้วรีบกลับไปบ้านล่วงหน้าก่อน เพื่อเตรียมการต้อนรับ
.....เมื่อเศรษฐีผู้บิดาไปแล้ว ท่านยสะได้ทูลขออุปสมบท พระบรมศาสดาทรงอนุญาตโดยตรัสว่า “ท่านจงเป็นภิกษุเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด”
.....สำหรับรายท่านยสะ พระองค์ไม่ตรัสว่า ให้ทำทุกข์ให้สุดสิ้นไป เพราะท่านยสะสิ้นทุกข์แล้วก่อนอุปสมบท
.....เช้าวันนั้น พระบรมศาสดาเสด็จไปยังบ้านเศรษฐี มีพระยสะตามเสด็จ หลังทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้ว พระองค์ประทานพระธรรมเทศนา อนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ แก่มารดาและอดีตภรรยาของพระยสะบรรลุเป็นโสดาบัน ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาและแสดงตนเป็นอุบาสิกา ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง นับเป็นอุบาสิกาสองคนแรกในโลก
.....พระยสะก่อนบวชเป็นผู้มีมิตรสหายมาก สหายที่เป็นลูกเศรษฐีในเมืองพาราณสี ๔ คน คือ วิมล สุพาหุ ปุณณชิ และควัมปติ ทั้ง ๔ ทราบเรื่องพระยสะออกบวช ปรึกษากันว่าสิ่งที่พระยสะเพื่อนของพวกตนกระทำนั้นต้องเป็นสิ่งที่ดีงามแน่ จึงชวนกันไปเยี่ยม พระยสะพาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระองค์ทรงสั่งสอนจนทั้ง ๔ คน ได้ดวงตาเห็นธรรมและทูลขออุปสมบท และเป็นพระอรหันต์ในที่สุด รวมแล้วเวลานั้นมีพระอรหันต์ในโลก ๑๑ องค์
.....ฝ่ายบรรดาสหายชาวนาของพระยสะอีก ๕๐ คน ทราบข่าวพระยสะ ต่างคนต่างคิดเหมือนพวกแรก พากันมาบวชตามเป็นพระอรหันต์เพิ่มอีกทั้งหมด รวมเป็น ๖๑ องค์
.....เมื่อมีพระอรหันต์สาวกมากพอสมควรแล้ว พระบรมศาสดาทรงดำริเรื่องการประกาศพระศาสดา ตรัสสั่งพระสาวกว่า
.....“ภิกษุทั้งหลาย พวกเราทั้งหมดพ้นแล้วจากเครื่องผูกมักทั้งที่เป็นของมนุษย์และของทิพย์ เธอทั้งหลายจงเดินทางไปประกาศพระศาสนา ต่างคนต่างไป จงแสดงธรรมให้เป็นประโยชน์ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด สอนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ทั้งเนื้อความและตัวอักษร มนุษย์ที่มีกิเลสน้อยมีอยู่ในโลก ถ้าหากไม่ได้ฟังธรรมแล้ว จะไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผลนิพพาน ขอท่านทั้งหลายจงไปสร้างประโยชน์อย่างยิ่งให้เกิดแก่มหาชน แม้ตัวเราเองก็จะไปสั่งสอนที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ตำบลที่ทรงทำความเพียรอยู่เดิม)”
.....พระอรหันตสาวกทั้ง ๖๐ รับพระดำรัสสั่งแล้ว ต่างองค์ต่างแยกย้ายเดินทางไปแสดงธรรม ประกาศพระศาสนา