กรรมนิมิตมาปรากฏ
คนทําบาปไว้ ใกล้ตายต้องทุกข์หนักด้วยคตินิมิต กรรมนิมิตกรรมอารมณ์ดังเรื่องที่กล่าวแล้ว แม้แต่คนที่ในชีวิตทําแต่กุศลกรรมอยู่ก็ตาม เมื่อใกล้ตาย น้อยรายนักที่จะเต็มใจ เมื่อรู้ว่าจะต้องตายก็มักทุกข์ใจไม่อยากพลัดพรากจากคนที่ตนรัก ไม่อยากจากทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ ชื่อเสียง และคําสรรเสริญเยินยอ ความสุขต่างๆ ที่ตนได้รับอยู่ในชีวิต เสียดายโลกธรรมเหล่านั้นมากเพียงใด ใจย่อมทุกข์มากมายเพียงนั้น
คนเรานั้น โดยความจริงแล้ว ไม่ใช่จะทําดีอย่างเดียว หรือทําชั่วอย่างเดียว ทุกคนทําทั้งสองอย่างปนกัน เพียงแต่อย่างใดมากกว่าเท่านั้น ความดีมากกว่าก็เรียกว่าคนดี ความชั่วมากก็เรียกคนชั่ว ทีนี้พอใกล้ตายใครจะรู้ เครื่องฉายภาพยนตร์ชีวิตเสีย (คือบังคับใจให้คิดตามที่ต้องการไม่ได้) ฟิล์มอาจจะไปค้างอยู่ตรงภาพที่กําลังทําความชั่วอยู่ก็ได้ ตอนนี้เองกรรมนิมิตก็จะพาคนใกล้ตายนั้นไปสู่ อบายภูมิ
เมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๓๒ ข้าพเจ้าไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัด ได้พบว่าป้าเงินของเพื่อนรักซึ่งมีอายุถึง ๙๐ ปีแล้ว กําลังมีอาการผิดปกติ ข้าพเจ้าจำได้ว่าตั้งแต่โตจําความได้ ป้าเงินซึ่งเป็นแม่เพื่อนคนนี้เป็นคนน่ารักมาก ใครๆ ทั้งหมู่บ้านเคารพรักกันทุกคน เพราะเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดี อารมณ์ดี พูดจาเป็นอรรถเป็นธรรม ใส่บาตรทุกเช้า ถ้าเป็นเวลาเข้าพรรษาก็จะไปค้างวัดถือศีลอุโบสถทุกวันพระ ข้าพเจ้าจึงฉงนสนเท่ห์ใจเป็นกําลัง เมื่อเพื่อนเล่าว่า
“ไม่รู้แม่เป็นอะไรไป ขี้โมโหโทโส บอกว่าเห็นใครก็ไม่รู้มาด่าแม่ก่อน แม่เลยต้องทะเลาะด้วย เสียงเอะอะดังลั่นบ้านเลย แม่เสียสติไปรึเปล่า” เพื่อนผู้นั้นถามข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเดินไปเยี่ยมป้าเงิน เห็นแล้วใจเสีย ไม่ใช่สงสารป้าผู้นั้น แต่ข้าพเจ้านึกเป็นห่วงตนเอง ขนาดผู้เฒ่าท่านนี้ทําความดี เป็นคนดีมาโดยตลอด ตอนนี้มิได้เจ็บไข้ได้ป่วยอะไรเลย ท่านกลับเห็นภาพที่คนอื่นมองไม่เห็นได้อย่างไร เมื่อข้าพเจ้าถามว่า “ป้าเห็นใครมา” ท่านก็ว่า
“อีลาว (ผู้หญิงลาวคนหนึ่ง) มันมา มันมาบ่อยเชียว มันมาว่าป้า มันว่าป้าเป็นคนพูดคําหยาบโลนพูดคํา...(เกี่ยวกับอวัยวะเพศของชายหญิง) ป้าก็เถียงมันว่าป้าไม่ได้พูด มันก็ว่าป้าพูด ป้าพูด ก็เลยต้องทะเลาะกะมันอยู่เนี่ย โน่น โน่น มันเดินมาโน่นอีกแล้ว” เล่าพร้อมกับทําอาการโกรธ ส่งเสียงตะโกน
“ไป ออกไป มึงไม่ต้องขึ้นมาว่ากู คําอะไรหยาบๆ คายๆ กูไม่ได้พูด มึงก็มาว่ากูพูด” ป้าเงินโกรธมากถึงกับเนื้อตัวสั่น ตาจ้องเขม็งอย่างเกรี้ยวกราด
ข้าพเจ้านิ่งนึกตรึกใจไว้ศูนย์กลางกายตามความเคยชินเพราะไม่ทราบว่าเหตุการณ์อะไรกําลังเกิดอยู่ต่อหน้า...ก็ป้าคนนี้เป็นคนดีมาตลอดชั่วชีวิตข้าพเจ้า ทําไมภาพกรรมนิมิต จึงเป็นภาพเหตุการณ์เลวๆ มาเกิด ถ้าจิตใจโกรธจนตัวสั่นอย่างนี้ จิตใจย่อมเศร้าหมองเพราะโทสะ ตายแล้วคงไปทุคติแน่ๆ ไม่เหมือนหมอชาวจีน หมอคว้าน แช่หล่อที่รักษาหลวงพ่อที่วัด นั่นก่อนตายเห็นคตินิมิตดีเหลือเกิน คือเห็นที่อยู่ใหม่สวยงาม ได้เล่าบรรยายความน่าอยู่ของภาพที่ตนเห็นให้ลูกๆ ฟัง จนลูกหายเสียใจกันทุกคน กลายเป็นดีใจว่าพ่อจะได้ไปสวรรค์ ส่วนป้าเงินผู้นี้ถ้าตายตอนนี้ คงอาจถึงต้องตกนรก ไปทุบตีด่าทอกับคนในภาพที่เห็นในกรรมนิมิตแน่ๆ
คตินิมิต คติ แปลว่า ที่ไป นิมิต แปลว่า เครื่องหมาย คตินิมิต แปลว่า เครื่องหมายของที่ไปเกิดใหม่
กรรมนิมิต แปลว่า เครื่องหมายของกรรมที่ตนเคยทําไว้
ข้าพเจ้านิ่งนึกเพียงครู่เดียว ก็ย้อนไปถึงเมื่อ ๔๐ ปีก่อน ข้าพเจ้าเคยพูดกับแม่ของตนเองว่า
“แม่คะ หนูรักป้าเงินจัง ป้าเค้าพูดสนุก ให้ศีลให้พรหนูยังงี้ พูดคล้องจองยาวเฟื้อยเลยค่ะ”
แม่ตอบว่า “ป้าเงินเป็นลิเกเก่าจ้ะลูก เมื่อตอนสาวๆ ก่อนแต่งงาน แกเล่นลิเกเป็นตัวตลก แต่งเป็นผู้ชาย ใครดูก็ขำหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง พอแต่งงานแล้วจึงเลิกเล่น”
นึกได้เพียงแค่นี้ ทําให้พอคิดถึงสาเหตุออกว่าทําไมกรรมนิมิตของป้าจึงเป็นดังที่เล่า เพราะการเป็นตัวตลกลิเกโดยแสดงเป็นผู้ชายด้วยนั้น ในสมัยก่อนต้องใช้คําพูดสองง่ามสองแง่ให้คิดกันในเรื่องเพศ ซ้อมเล่นซ้อมพูด ซ้อมคิดกันอยู่แต่เรื่องอย่างนี้เป็นปีๆ เป็นกรรมในอดีตที่เก็บซ่อนอยู่ในความทรงจํา เรื่องเหล่านั้นมาโผล่เป็นกรรมนิมิตเอาตอนนี้
ดูเอาเถิด เรื่องตั้งแต่เมื่อ ๗๐ กว่าปีโน้นมันกลับมาให้เห็นได้ ความดีงามที่ทําต่อมาอีกหลายสิบปีไม่มาช่วยเอาเสียเลย ทําไมภาพกําลังใส่บาตร กําลังฟังเทศน์หรือถือศีล ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ไม่มาเป็นกรรมนิมิตให้เห็น คิดแล้ว ข้าพเจ้าก็หนาวเยือกในใจตนว่า แล้วตัวเราไม่เตรียมตัวก่อนตายนี้ให้ดีมากๆ เราอาจจะแย่ยิ่งกว่าป้าเงินก็ได้
พอลูกๆ หลานๆ ของป้าบ่นอาการแปลกๆ อื่นๆ ให้ฟังอีกว่า
“ปกติก็เดินเองไม่ไหว หลังงอโค้งเกือบถึงเข่า แต่พอเผลอตัวกําลังโกรธเคืองคนที่มองเห็นว่ามาด่านั่น กลับลุกขึ้นยืนเองได้เดินตัวตรงแหนวไปที่หน้าบันไดโน่น จะไปทะเลาะกะเค้า พอพวกเราตกใจเอะอะกันขึ้น ก็รู้สึกตัวก็ทรุดลงนั่ง เดินไม่ได้ต่อไป นี่นะเป็นถึงขนาดนี้ไม่รู้อะไรกัน” คนเล่าทําเสียงเหมือนสงสัยว่าคงมีผีมาเข้าร่างป้าเงิน
ข้าพเจ้าจึงอธิบายว่า สิ่งที่เห็นนั้นเป็นของจริง เป็นภาพในอดีตของผู้เห็น และที่เห็นเป็นผู้หญิงลาวนั้น เพราะในสมัยโน้นหมู่บ้านที่เราอาศัยกันอยู่มีแต่ชาวลาวทั้งสิ้น ตัวข้าพเจ้าเองยังจําได้ว่ามีชาวลาวกันหลายบ้าน คนแก่ๆ ยังพูดลาวกันแทบทุกคน เพิ่งมากลายเป็นคนไทยกันไปในรุ่นหลังๆ ข้าพเจ้าเองตอนเด็กๆ ก็ยังพูดคําภาษาลาวได้หลายประโยค เช่น ถามคุณยายข้างบ้านคนหนึ่งว่า ย่าย ย่าย เฮ็ดอิหยังเด๊ แปลว่า ยาย ยายทําอะไรอยู่น่ะ
อาศัยที่ป้าเงินเคยปฏิบัติภาวนาอยู่บ้าง ข้าพเจ้าจึงเตือนให้ท่านทํา ให้ภาวนา สัมมาอะระหัง ท่านก็เถียง
“ไม่ไหว คนโน้นให้ภาวนาพุทโธ คนนี้ให้สัมมาอะระหัง มันวุ่น ไปหมด ไม่อยากทํา!”
“ไม่อยากก็ไม่ต้องภาวนา คิดถึงพระแก้วใสๆ เอาไว้ในตัวได้มั้ยป้า พระจะได้อยู่เป็นเพื่อน ผู้หญิงคนนั้นจะได้ไม่กล้ามาหาป้าอีกไงคะ” ข้าพเจ้าเปลี่ยนวิธี
“เออดีจ้ะ พระแก้วใสๆ นี่นึกได้อ้อ นึกพระแล้วอีคนนั้นมันเลิกมานะ”
“ใช่ค่ะ ให้คิดอยู่เรื่อยๆ นะคะ พระแก้วใสๆ พระแก้วใสๆ พระแก้วใสๆ”
ต่อจากนั้น เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าตนเองเปลี่ยนอารมณ์ให้ป้าเงินได้ ก็ทดลองใช้ให้ลูกๆ หลานๆ ที่เฝ้าพยาบาลเปลี่ยนอารมณ์ให้ท่านด้วย คือ เวลาป้าเงินบอกว่าท่านเห็นหญิงลาวคนนั้นมาอีก ก็ให้ลูกสวดมนต์บทใดก็ได้เสียงดังๆ เช่น บทนะโมตัสสะ ให้เสียงดังจนป้าเงินได้ยินแล้วให้บอกว่า ผู้หญิงคนนั้นกลัวเสียงสวดมนต์หนีไปแล้ว เมื่อทดลองทํากันดูปรากฏว่าได้ผล ท่านผู้เฒ่ามองเห็นภาพเปลี่ยนไปตามที่พวกลูกหลานช่วยกันเล่นละคร กระทั่งแสดงความดีใจ หัวเราะสบายใจ แล้วพวกคนเฝ้าก็ให้ร้องเรียกพระแก้วใสๆ มาอยู่กับตัวท่าน เหมือนที่ข้าพเจ้าบอก ท่านก็ทำได้
วันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้นําพระพุทธรูปบูชาทําด้วยแก้วใสจากญี่ปุ่นให้ไปตั้งไว้เป็นเพื่อนใกล้ๆ ให้คนเฝ้าบอกบ่อยๆ ว่า พระมาอยู่เป็นเพื่อนแล้ว ผู้หญิงลาวคนนั้นจะไม่มาอีก ทั้งยังให้นิมนต์พระภิกษุที่บิณฑบาตผ่านหน้าบ้านขึ้นมารับอาหารบนเรือนจากมือของป้าเงิน ขอความเมตตาจากพระภิกษุให้ท่านพูดว่า พระมาเยี่ยมโยมยายแล้ว ให้บุญคุ้มครองไปทั้งวัน ลูกหลานทําตามที่ข้าพเจ้าแนะนํา เริ่มได้ผลดี ภาพกรรมนิมิตหายไป ใจคอของป้าเงินแจ่มใสขึ้น ข้าพเจ้ากําชับคนเฝ้าว่า
“ห้ามทุกคนพูดตําหนิป้าว่าเพ้อเจ้อเหลวไหลนะ ยิ่งไปว่า ป้าก็ยิ่งเสียใจที่ไม่มีคนช่วย ให้ช่วยกันเล่นละครตามไปเลย แต่เปลี่ยนให้เป็นบทดีๆ ซะ เห็นอะไรไม่ดีก็ช่วยกันส่งเสียงสวดมนต์ แล้วบอกว่าสิ่งที่เห็นหนีไปแล้ว เอาพระมาให้ป้าถือไว้ ต้องช่วยกันเปลี่ยนอารมณ์ คนใกล้ตายจะเห็นภาพเองได้ยังงี้แหละ เราทุกคนถ้ารักท่านต้องพูดคล้อยตาม ให้ท่านมีจิตใจแจ่มใส อย่าดุอย่าว่าเป็นอันขาด”
สัปดาห์ต่อมา ด้วยความเป็นห่วง เพราะหญิงชราท่านนี้เป็นมารดาของเพื่อนรัก (ที่ชื่อสําราญ เขียนเล่าไว้ในเรื่อง กรรมทันตาเห็น ในจากความทรงจําฉบับรวมเล่ม เล่มที่ ๒) ข้าพเจ้าจึงไปถามอาการจากเพื่อนซึ่งมาขายผักผลไม้อยู่ที่ตลาดพรานนก ได้รับคําตอบว่า ภาพนิมิตนั้นกลับมาเกิดอีก สําราญบอกว่า
“แม่ว่าผู้หญิงลาวนั่นมาอีกแล้ว คราวนี้เอาพวกมาด้วยหลายคน มาพูดว่า โฮ้ย ยายเงินเนี่ย เอาพระพุทธรูปแก้วมาวางไว้ข้างที่นอนได้ยังไงกัน ทํายังงี้ไม่เหมาะเนี่ย ต้องเอาไปไว้บนหิ้งสูงๆ โน่น บอกให้ลูกเอาไปไว้บนหิ้งซะไป๊ พวกที่มากับผู้หญิงลาวพูดกันอยู่อย่างนั้น แม่เลยต้องบอกให้หลานเอาพระไปไว้บนหิ้ง คนที่มองเห็นในนิมิตนั่นก็ไม่เลิกมารบกวน ยังมานั่งหาเรื่องว่าต่อไปอีก แม้แต่กินอะไรเข้าไปท้องขึ้น ผายลม ก็มารุมกันว่า ยายเงินตดเหม็น ยายเงินตดเหม็น ว่าไม่เลิก กลุ้มใจจังเลย จะทํายังไงต่อไปดีล่ะ”
เพื่อนถามข้าพเจ้า เพราะพระพุทธรูปช่วยได้เพียงอาทิตย์เดียว ข้าพเจ้าจึงให้เทปอัดเสียงคําเทศน์สอนของหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไปเปิดเสียงดังๆ ให้กลบเสียงรุมด่าว่าของคนในภาพนิมิต ปรากฏผลว่าได้ผลดีเกินคาด ภาพเหล่านั้นหายไปหมด
เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยม ในเทศกาลปีใหม่ ๒๕๓๓ ป้าเงินยิ้มแย้มแจ่มใส ความจำที่เคยเลอะเลือนกลับเป็นปกติ ถามถึงคนโน้นคนนี้ที่รู้จัก ผิวพรรณไม่ดําคล้ำ กลับอ้วนขาว ผิวหน้าผ่องใส พูดกับข้าพเจ้าว่า
“เดี๋ยวนี้ป้านึกออกแต่เรื่องทําบุญ ทอดผ้าป่าไว้ที่โน่น ที่นี่ ทอดกฐินวัดนั้นวัดนี้ ป้าทําบุญได้บุญเยอะกว่าอีแตนมันแน่ๆ (อีแตน เป็นชื่อพี่สาวซึ่งตายไปแล้ว) นี่นะหนูหวิน เวลาป้าทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ใครมาทำบุญกับป้า ป้าก็เอาเงินทําบุญของเขาถวายเพิ่มให้วัดอีก ป้ายังนึกเรื่องใส่บาตรทุกวันออกด้วยนะ นึกแล้วก็สะบ๊าย...ใจ พวกคนที่ว่าพวกนั้นหายไปหมดแล้ว ค่อยนอนหลับได้สบาย ไม่มีใครกวน”
ข้าพเจ้าพูดเน้นให้ป้าเงินนึกถึงบุญต่างๆ ที่ทําไว้ให้บ่อยๆ ภาพหลอนพวกนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีก ท่านผู้เฒ่ารับคําอย่างเข้มแข็งเต็มใจ
“เออ เออ ต้องนึกไว้เรื่อยเลย นึกแล้วสบายใจแท้ๆ”
เป็นโชคดีจริงๆ ที่ตั้งใจหยิบเทปสวดมนต์ให้ แต่หยิบไปผิดกลายเป็นคำสอนเรื่องทอดกฐิน ทอดผ้าป่า ผู้ฟังจึงคิดถึงเรื่องทอดกฐินที่ตนเองเคยกระทําอยู่เสมอๆ ออก บุญตามมารักษาทัน
ข้าพเจ้านําเรื่องจริงมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง โปรดสังเกตเรื่องการสอนให้คนอื่นภาวนาใช้ถ้อยคําอย่างโน้นอย่างนี้ ทําให้สับสนเวลาคับขันจวนแจ จะทําให้รําคาญหงุดหงิด คนนี้จะเอาอย่างนั้น คนนั้นจะเอาอย่างนี้ ผลที่สุดคนใกล้ตายเลยไม่อยากทําสักอย่าง
ทางที่ดีต้องหัดปฏิบัติกันไว้ให้มั่นคงก่อนตาย และควรปักใจเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าไขว้เขวแล้วทําให้ฟั่นเผือเบื่อหน่าย ยิ่งไม่เคยปฏิบัติไว้เลย จะให้สอนกันก่อนตาย ตอนมีทุกขเวทนาแรงกล้า ปวดหัว ปวดท้อง หายใจไม่ออก เหนื่อยอ่อน ฯลฯ คนเจ็บจะไม่ยอมรับเลย จะสั่นหน้าลูกเดียว บอกแต่ว่า
“นึกไม่ออกๆ จะตายอยู่แล้ว จะให้คิดให้ท่องอะไรอีกล่ะ ไม่เอาๆ”
นี่ข้าพเจ้าเล่าจากประสบการณ์จริงของตนเอง ญาติคนเจ็บผู้หนึ่งอ้อนวอนให้ข้าพเจ้าไปสอนภาวนาให้ ข้าพเจ้าไปเพราะเห็นแก่คนอ้อนวอน ผลที่ได้คือถูกคนเจ็บดุเอาเสียอีก
“ตายแล้วก็แล้วกัน มันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน ไม่คิดถึงอะไร ไม่ท่องในใจอะไรแล้ว คนจะตายอยู่ยังงี้จะให้ทําโน่นทํานี่”
นี่แหละคนเราส่วนใหญ่ไม่เคยมีใครคิดเตรียมตัวตายไว้ก่อนตายจริงเลย พอถึงคราวเลยตายไม่เป็น เข้าทํานองจะทําสงครามไม่เคยฝึกอาวุธ พอเจอข้าศึกก็ถูกฆ่าตายไม่ทันลงมือรบ หรือจะปลูกต้นข้าว หรือหาซื้อข้าวสารเอาตอนหิว ก็ตายเสียก่อนได้มีข้าวกิน
เรื่องคตินิมิต หรือกรรมนิมิต หรือกรรมอารมณ์ ของคนก่อนตายที่เล่าให้ฟังอยู่นี้ บางรายเจ้าตัวเห็นอยู่นานเป็นเดือน หรือ หลายๆ เดือน ถ้าเป็นฝ่ายดีก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นฝ่ายชั่ว ก็ลองนึกดูเถิด คนเห็นจะทุกข์หนักสักเพียงไหน ป้าเงินเห็นกรรมนิมิต มีคนมาด่าทุกวัน วันละหลายรอบอย่างนี้ น่ากลุ้มใจ ทุกข์ใจจริงๆ นี่ก่อนตายก็ทุกข์แย่เสียแล้ว ตายลงก็ไม่ต้องสงสัย ที่ไปอยู่ใหม่ก็เป็นอบายภูมิโดยตรง
ชื่อเรื่องเดิม กรรมนิมิตของป้าเงิน
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม 4