น้ำเมาเปลี่ยนชีวิต
เมื่อข้าพเจ้าออกไปรับตําแหน่งเป็นผู้อํานวยการโรงเรียน ในย่านชุมชนแออัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ข้าพเจ้าก็ต้องพบทั้งครูและผู้ปกครองที่ติดเหล้าหรือติดอย่างอื่น เรื่องครูข้าพเจ้าพอจัดการแก้ปัญหาได้ เพราะเป็นคนคุมการจ่ายเงินเดือน ครูคนใดติดสุรา ข้าพเจ้าก็จะทําความตกลงกับเขา ขอจ่ายเงินเดือนให้เป็นรายสัปดาห์ จ่ายเท่าที่เขาควรใช้จ่าย ที่เหลือฝากไว้ในสมุดธนาคารของเขาเอง ซึ่งข้าพเจ้าเป็นคนเก็บ ทํากันดังนี้ เขาก็ต้องอดเหล้าไปโดยปริยาย เพราะไม่มีเงินเหลือเฟือ ยังทําให้เป็นคนมีเงินเก็บได้ปีหนึ่งมากๆ นอกจากรายที่ทนอดเหล้าไม่ไหวจริงๆ ก็จะขอย้ายไปอยู่ที่อื่น รายใดที่ทนการกระทําของข้าพเจ้าได้ ก็จะเลิกดื่มไปได้เหมือนกัน
แต่สําหรับผู้ปกครอง ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์อาจเอื้อมไปถึง ต้องพบความสลดใจอยู่บ่อยๆ จะเล่าให้ท่านฟัง
วันนั้นข้าพเจ้าอยู่ตรวจความเรียบร้อยของงานค่อนข้างเย็นมากเรียกว่าโพล้เพล้ เพราะรุ่งขึ้นจะมีงานเป็นกิจกรรมพิเศษบางอย่างในโรงเรียน ในเวลาใกล้ค่ำขณะนั้นเอง ภารโรงซึ่งเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่ง หน้าตาตื่น ใบหน้าซีดเซียวไม่มีสีเลือด ตาเบิ่งโพลงมาหาข้าพเจ้าพูดจาอะไรไม่ออก ข้าพเจ้าถาม
“นี่สนิท เธอเป็นอะไรฮึ ทําหน้าเหมือนถูกผีหลอก”
นายสนิททําเสียงขลุกขลักอื๊อๆ อ๊าๆ อึกอักอึกอัก อยู่เป็นนานกว่าจะตะกุกตะกักบอกว่า
“อาจารย์ค...รั...บ ผมถูกผะ...ผี...ห..ล..อ..ก” บอกแล้วยืนตัวตรงแข็งทื่อ
ข้าพเจ้าหัวเราะ “มากไปแล้ว ผีที่ไหนกัน ยังไม่ทันมืดเลย สนิทเธอนี่หูตาฝาดไปแล้ว”
พอถูกตําหนิ นายสนิทภารโรงก็พูดคล่องขึ้น “จริงครับ ผมเห็นผีจริงๆ เป็นหนังหุ้มกระดูกแท้ๆ เลย” ทําท่าขนลุก
“ผีมันมีลักษณะยังไง ไหนเล่าไปซิ”
เขาก็เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เขาเดินตรวจบริเวณตรงที่เขาต้องรับผิดชอบ ว่าครูและนักเรียนปิดประตูหน้าต่างเรียบร้อยดีหรือไม่ พอเลี้ยวตรงมุมตึกมีซอกหลืบตึกบังอยู่ เขาเห็นผีเด็กตัวสูงกว่าเอวของเขาเล็กน้อย นุ่งผ้าสีมอมแมม ไม่ใส่เสื้อ ผมยาวรุงรัง ผอมหนังหุ้มกระดูก ดวงตาลึกโหลเข้าไปในเบ้านั่งอยู่ พอเขาเรียกขึ้นว่า ผี ผีก็รีบวิ่งหนีไปต่อหน้า เลี้ยวมุมตึกอีกซีกหนึ่ง เขาไม่ได้กวดตามไป เพราะมัวแต่ตกใจกลัว ขาเลยแข็ง ไม่ยอมขยับ รอจนหายกลัวจึงวิ่งมารายงานข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ามิได้ไปดูสถานที่เกิดเหตุ เมื่อรู้ว่าผีวิ่งหนี ถึงไปดูก็คงไม่เห็น ข้าพเจ้าสั่งว่า
“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ผีวิ่งหนีได้แสดงว่าผีกลัวคน แล้วเธอก็บอกแล้วว่าเป็นผีเด็ก เค้าไม่ทําอะไรเธอหรอก ถ้าเป็นผีจริงๆ ก็คงมาขอส่วนบุญน่ะ เอายังงี้ ตอนไหนจะเดินตรวจโรงเรียนให้ไปกันหลายๆ คน แต่อย่าชวนกันถือโอกาสนะ เดี๋ยวอ้างว่ากลัวผี เลยไม่มีใครเดินยาม ขโมยมันจะมางัดเอาข้าวของไปเสียหมด”
ข้าพเจ้าสั่งแล้วก็เดินทางกลับที่พัก ใจก็นึกแต่ว่าต้องไม่ใช่ผี จะต้องเป็นเด็กอดอยากยากจนขนาดหนัก แต่ก็สงสัยว่าถ้าจะมาหาเศษอาหารกินก็ควรมาที่ถังขยะ ทําไมจึงไปนั่งแอบอยู่ข้างมุมตึกเรียนดังนั้น ที่นั่นไม่มีถังทิ้งขยะอยู่ใกล้เลย นึกเท่าใดก็นึกสาเหตุไม่ออก
วันรุ่งขึ้นจึงรีบมาที่ทํางานแต่เช้า นั่งอยู่ใกล้ๆ ที่ลงเวลาทํางานของบรรดาครู ถามครูโดยเฉพาะรายที่ทํางานอยู่ทางตึกซึ่งภารโรงพบ “ผี”
“พวกเรามีใครเห็นเด็กตัวสูงขนาดนี้ เสื้อไม่ใส่ ผมยาวรุงรัง โดยเฉพาะผอมจนมีแต่หนังหุ้มกระดูก ตาลึกโบ๋บ้าง เด็กนอกโรงเรียนน่ะ ช่วยไปถามกันดูหน่อยเถอะนะ ใครเคยพบมาบอกพี่ด้วย” ข้าพเจ้าสั่งครูไว้ดังนี้หลายๆ คน
ตอนสายๆ มีครูสตรีคนหนึ่งเข้ามาหาข้าพเจ้า บอกว่า
“หนูเคยเจอค่ะอาจารย์ วันนั้นสามีของหนูมีธุระต้องรีบมาส่งหนูแต่เช้า หนูไปถึงห้องเรียนก่อน ภารโรงยังไม่มาเปิดห้อง เพราะยังเช้ามาก หนูเห็นมีเด็กที่อาจารย์ถามถึงนอนอยู่ที่ระเบียงหน้าห้องของหนู พอหนูปลุกให้ลุกขึ้น ยังไม่ทันถามอะไร แกก็ตกใจรีบหนีไปเลย หนูเรียกเท่าไรก็ไม่ยอมอยู่”
ตอนนี้ข้าพเจ้าแน่ใจแล้วว่าเป็นคนไม่ใช่ผี จึงเรียกภารโรง ที่ชื่อ สนิท มาอธิบายให้ฟัง แล้วบอกว่า
“ทีนี้หายกลัวแล้วนะ เด็กน่ะคงอดอยากมาก ตัวจึงมีแต่หนังหุ้มกระดูก ตอนเช้ามืดหรือโพล้เพล้ลองเดินตรวจใหม่ เจอแล้วจับตัวมาให้ได้”
หลายวันต่อมาครูสตรีคนนั้นได้พาเด็กคนที่เธอเห็นมาให้ข้าพเจ้า มีเด็กนักเรียนอื่นๆ เดินมุงดูกันมาเต็มเหมือนแห่กันมาดูสัตว์ประหลาด ข้าพเจ้าเห็นเด็กแล้วพูดไม่ออกจริงๆ รู้สึกเห็นใจนายสนิทภารโรง “นี่มัน หุ่นผีชัดๆ” เป็นเหมือนซากคนที่รู้ว่ามีชีวิตเพราะเดินได้เท่านั้น แต่ก็เดินเซไปมาอย่างไม่มีแรง หนังหุ้มกระดูกจริงๆ นับซี่โครงได้หมดทุกซี่ ใบหน้าไม่มีเนื้อตรงส่วนไหน แก้มตอบ ตาลึกกลวง ถ้าใครดูภาพข่าวต่างประเทศระยะนี้ (ตุลาฯ ๒๕๓๑) เห็นเด็กชาวเอธิโอเปีย หรือเด็กของประเทศโมซัมบิกที่มีสงครามสู้รบกัน เด็กพวกนี้อดอยากอยู่ในค่ายอพยพ แต่สมัยโน้นข้าพเจ้าเห็นแล้ว บอกใครว่าเหมือนเด็กบังคลาเทศ เพราะเวลานั้นบังคลาเทศประสบทุพภิกขภัยอย่างหนัก สารรูปเหมือนกันไม่มีผิด
ข้าพเจ้าบอกให้เด็กๆ ที่ตามดูกลับไปห้องเรียนของพวกเขา ถามครูผู้พาเด็กมาให้ว่า “คุณได้ตัวมายังไงคะ”
“หนูมาเช้าอีกค่ะวันนี้ พบแกนอนอยู่ที่เดิม ตอนนี้หนูไม่ปลุก ปล่อยให้ตื่นเอง พอตื่นหนูก็จับตัวไว้เลยคะ จับง่ายมาก ไม่มีเรี่ยวแรงอะไร หนูก็ปลอบ เอาขนมให้กิน รอให้อาจารย์มาถึงโรงเรียน แล้วก็พามานี่แหละค่ะ”
เมื่อฟังคําตอบแล้ว ข้าพเจ้าก็ถามว่าเธอถามอะไรเด็กมาบ้างแล้ว
“แกบอกว่า พ่อของแกชอบกินเหล้า กินเมามาก็จะมาทุบตีแกทุกครั้ง พอเห็นพ่อเมามา แกก็ต้องหนีมาซ่อนตัวในโรงเรียนของเรา”
“หนูถามเรื่องแม่ของแกหรือเปล่า” ข้าพเจ้าถามต่อ
“ถามค่ะ แกบอกว่าแม่ตายแล้ว”
“มีแม่เลี้ยงไหม”
อีกฝ่ายบอกว่า “แกบอกว่าไม่มีค่ะ”
ต่อจากนั้นข้าพเจ้าซักถามเด็กเองว่าทําไมจึงผอมมากอย่างนี้ พ่อให้กินข้าววันละกี่มื้อ ได้รับคําตอบอย่างไม่น่าเชื่อว่า
“พ่อไม่ให้กินเลยจ้ะ”
“อ้าวแล้วหนูอยู่มาได้ยังไง ทําไมไม่อดตาย”
“มีป้าเค้าอยู่ใกล้ๆ บ้านคอยให้กิน แต่เวลาพ่อเห็นพ่อก็ดุป้า ป้าก็ไม่กล้าให้”
ข้าพเจ้าเชื่อว่าเด็กไม่พูดปด แต่จะต้องมีเรื่องซับซ้อนอยู่เบื้องหลัง พ่อที่ไหนจะเกลียดชังจนไม่ยอมเลี้ยงลูก ใจคอจะปล่อยให้ลูกอดตายทีเดียวหรือ นี่ก็เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว วันนั้นข้าพเจ้าวานครูบางคนตัดผมให้เด็ก หาเสื้อผ้าให้ใส่ ให้อาหารกินจนอิ่ม ให้เด็กนั่งเรียนในชั้นเรียนประถมปีที่หนึ่ง ครูประจําชั้นๆ นั้นรับอาสาดูแลให้ เด็กอื่นๆ ก็คิดว่าเป็นนักเรียนใหม่ เพราะข้าพเจ้าให้แต่งชุดนักเรียนซึ่งมีเหลืออยู่ แต่มีเด็กบางคนแสดงอาการกลัวไม่กล้าเข้าใกล้ บอกว่าผอมเหมือนผี ไม่มีใครกล้าล้อเลียน คงมองอย่างมองสัตว์ประหลาด
ดูจากลักษณะรูปร่างและฟังจากคําบอกเล่า ข้าพเจ้าตัดสินใจทันทีว่า เด็กคนนี้จะต้องไม่เป็นที่ต้องการของผู้ปกครองแน่นอน ข้าพเจ้าจึงตกลงใจเขียนจดหมายถึงบิดาของเด็ก ข้าพเจ้าเขียนว่า
เรียน ท่านผู้ปกครองของเด็กหญิงราตรีที่นับถือ
ข้าพเจ้าเป็นผู้อํานวยการโรงเรียน... ใคร่ขอพบตัวท่าน ถ้าเด็กหญิงราตรีมีปัญหาประการใดที่ท่านไม่ต้องการเลี้ยงดู ข้าพเจ้าใคร่ขอเด็กนี้ให้กับทางโรงเรียน เพื่อโรงเรียนจะได้หาที่อยู่อาศัยสมควรให้เด็ก
ข้าพเจ้าพูดกับเด็กว่า
“หนูเอาจดหมายนี้ให้พ่อนะลูก ถ้าเขาเมามาลูกไม่กล้าให้เองก็ฝากป้าเค้าให้ แล้วตอนนี้หนูมาโรงเรียนทุกวัน มากินข้าวที่โรงเรียนทั้งสามมื้อ”
ข้าพเจ้าพาเด็กไปหาภารโรงหญิงโสดซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านพักของทางโรงเรียนคนหนึ่ง บอกให้เด็กและคนงานผู้นั้นรู้จักกัน ให้เด็กมาขออาหารที่คนงานหญิงทุกมื้อทุกวัน แม้กระทั่งวันหยุด โรงเรียนจะจ่ายค่าอาหารเป็นพิเศษให้ ขอให้เขาหุงเผื่อเด็กด้วย และกําชับต่อหน้าว่า
“วันไหนที่พ่อเมามาจะตีอีก อย่าไปนั่งอยู่ตลอดคืนตามระเบียงโรงเรียนอย่างที่เคยทํา นอนส่งเดชอย่างนั้นยุงกัดมาก จะเป็นโรคผิวหนัง บางทีฝนตกอากาศหนาวจัดจะเป็นไข้ ให้มาหาพี่ผู้หญิงคนนี้ บ้านพัก เขาอยู่ที่นี่”
ข้าพเจ้าบอกชื่อให้เด็กทราบ แล้วสั่งคนงานหญิงว่า
“นี่แดง แดงให้เด็กคนนี้นอนด้วยได้มั้ย เดี๋ยวพี่จัดการหาเสื่อมุ้ง หมอนผ้าห่มอะไรให้เอง ให้นอนในบ้านแดงน่ะ เฉพาะวันที่พ่อเด็กเค้าเมามาเท่านั้น แต่รูปร่างแกน่ากลัวยังงี้แหละ แดงจะกลัวรึเปล่า”
ข้าพเจ้าถามเพราะรู้สึกเห็นใจ พอดีคนงานหญิงคนนี้รู้เรื่องจากภารโรงที่ชื่อสนิทอยู่แล้วก็นึกสงสาร เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ผี เป็นเด็กจริงๆ ก็เต็มใจรับคํา ข้าพเจ้าให้เสื้อผ้านักเรียนไปอีก ๑ ชุด เด็กกินอาหารเย็นแล้ว นําจดหมายของข้าพเจ้าจากไป คืนนั้นไม่กลับมา แสดงว่าพ่อคงไม่เมา
วันรุ่งขึ้น ราตรีมาโรงเรียนแต่เช้า หน้าตาแช่มชื่นขึ้น ข้าพเจ้ามองเห็นเรื่องที่น่าหวาดเสียวอยู่ประการหนึ่ง คือเด็กไม่มีแรง เพียงเด็กอื่นเดินกระทบเล็กน้อยซึ่งเป็นธรรมดาของเด็กวิ่งเล่นกันเป็นพันๆ คน ก่อนโรงเรียนเข้า เด็กอื่นๆ จะไม่รู้สึกอะไร แต่สําหรับราตรี ความที่ผอมแห้ง ไม่มีเรี่ยวแรง ถูกกระทบต้องล้มก้นกระแทกทุกครั้ง ที่สุดข้าพเจ้าจึงจับให้นั่งอยู่ในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง ให้อยู่กับที่อย่าเดินไปมา เพราะจะถูกนักเรียนอื่นชน แล้วให้นักเรียนชั้นโตคอยดูอยู่ ๒-๓ คน ราตรีบอกข้าพเจ้าว่า
“เมื่อคืนพ่อไม่เมา หนูให้จดหมายของครูแล้ว พ่อบอกว่าวันนี้พ่อจะมาหาครู”
ตอนสายๆ ขณะที่ข้าพเจ้ากําลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทํางาน ได้กลิ่นสุราคลุ้งมาตามอากาศอย่างแรง นึกในใจว่า
“ที่นี่ก็ไม่อยู่ใกล้โรงเหล้าซักหน่อย ทําไมเหม็นกลิ่นเหล้าหึ่งเชียว น่าจะเหม็นกลิ่นยาสูบมากกว่า เพราะอยู่ใกล้โรงงานยาสูบ อะไรกันนี่มันจะเหม็นกันทั้งสองอย่างเชียวรึนี่” นึกสงสัยขึ้นมาจึงลุกขึ้นจะออกไปเดินหาต้นกลิ่น แต่แล้วก็ต้องนั่งลงที่เดิม
ชายคนหนึ่งอายุประมาณ ๔๐ ปี เดินโงนเงนมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องทํางานข้าพเจ้า ยกมือไหว้ข้าพเจ้าพร้อมกับทักทายว่า
“สวัสดีครับอาจารย์ ผมเป็นพ่อของราตรี”
สําเนียงนั้นไม่ชัดเจน ลักษณะยังสะลึมสะลือไม่สร่างเมา มีกลิ่นเหล้าฟุ้งออกจากปาก เวลาหุบปาก กลิ่นเหล้าก็ระเหยออกจากตัวของเขา ข้าพเจ้ากับเขาอยู่ห่างกันหลายเมตร ยังได้กลิ่นฉุนกึก เรียกว่า กลิ่นสุราระเหยออกมาจากทุกขุมขนทีเดียว
“นี่ขนาดยังไม่ได้กินนะ เพียงแต่เป็นของค้างตั้งแต่วันวาน แล้วนี่จะพูดกันรู้เรื่องรึเนี่ย” ข้าพเจ้านึกในใจ ไม่ทราบจะเอ่ยปากทักทายว่าอย่างไร รับไหว้ว่า “สวัสดีค่ะ” แล้วก็นิ่งอยู่ดูท่าที
ต่อจากนั้นข้าพเจ้าไม่ต้องไต่ถามอะไรเลย คนที่อ้างว่าเป็นพ่อของเด็กรําพันฟ้องข้าพเจ้าจนหมด พอสรุปความได้ว่า
เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของเขา เป็นลูกของหญิงขอทานตาบอดที่วัดดอน เขากับภรรยาแต่งงานกันมาหลายปีไม่มีลูกด้วยกัน เห็นหญิงขอทานมีลูก พ่อเด็กไม่มีจึงรู้สึกสงสาร ได้ขอเด็กมาเลี้ยง ในปีนั้น ลูกของตนเองก็เกิดขึ้น เขาและภรรยาก็เลี้ยงเด็กทั้งคู่มาด้วยกัน รักไม่แตกต่างกัน เมื่อปีที่แล้วนี้เอง เด็กพาน้องไปเดินเที่ยวเล่นแล้วกลับมา บอกว่าน้องหายพลัดกัน ตอนเย็นมีคนนํามาส่ง อยู่ต่อมาอีกไม่นานก็เกิดเรื่องทํานองเดียวกันอีก ตอนนี้น้องหายไปเลย เขาเข้าใจว่าเด็กคนนี้จะเป็นคนเอาน้องไปฆ่า เช่น ไปผลักให้ตกน้ำหรืออย่างอื่น แล้วบอกว่าพลัดหลงกันไป
ภรรยาของชายคนนี้ทนต่อความทุกข์ที่ลูกจริงหายไปไม่ไหวเพราะเด็กกําลังน่ารักมาก นางจึงผูกคอตาย เมื่อสูญเสียทั้งลูกจริงและภรรยา โลกทั้งโลกของผู้เป็นพ่อก็ดับวูบลง
“อีเด็กคนนี้ มันมาทําให้ครอบครัวผมเดือดร้อนทุกข์ยากที่สุด ชีวิตครอบครัวผมพินาศเพราะมัน มันเป็นตัวกาลี” คร่ำครวญไป ด่าว่าเด็กไป แล้วต่อท้ายด้วยคําว่า
“ครูจะเอามันไปไหน ก็เอาไปเถอะครับ ผมเต็มใจทูนหัวให้ ให้มันพ้นหูพ้นตาไปเร็วๆ ได้ยิ่งดี ผมเกลียดมันจับใจ เห็นหน้าเข้ามันก็มีแต่คิดแค้น ผมอยากให้มันตายไปซะให้พ้นๆ”
ข้าพเจ้าไม่รู้จะพูดปลอบชายคนนี้ว่าอย่างไร ปลอบไปเขาก็คงไม่รู้เรื่อง ยังเมาไม่สร่าง ข้าพเจ้าพูดได้เพียง
“ดิชั้นเห็นใจคุณมากจริงๆ แต่เรื่องก็ผ่านไปแล้ว คุณต้องหักห้ามใจบ้าง อายุคุณยังไม่มาก ยังตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ ส่วนเรื่องเด็กคนนี้ดิชั้นจะเป็นธุระจัดการหาคนดูแลแกต่อไปเอง”
ข้าพเจ้าให้เขาลงชื่อมอบเด็กให้อยู่ในความปกครองของข้าพเจ้า พูดดีๆ กับเขาอีกเล็กน้อย พร้อมทั้งขอทะเบียนบ้านของเด็กได้รับคําตอบว่า
“ไม่มีครับ ไม่มี ผมไม่ได้แจ้งอะไรทั้งนั้น ครูไปจัดการเองได้เลย”
ข้าพเจ้าให้เด็กมาพักในโรงเรียน ได้กินดีอยู่ดี ครูที่ทราบประวัติชีวิตเด็กพากันสงสาร คอยพูดคุยด้วย เด็กดูมีเนื้อมีหนังขึ้นบ้าง แต่ไม่รวดเร็วนัก ข้าพเจ้าให้นายแพทย์ที่มาเยี่ยมโรงเรียนสั่งยาบํารุงให้ด้วย เมื่อได้ใกล้ชิดเด็กมากเท่าใดก็ยิ่งมั่นใจว่า เด็กไม่ได้มีการกระทําเรื่องเลวร้ายอย่างที่บิดาบุญธรรมเข้าใจ ไม่ได้มีการวางแผนฆ่าน้องเพราะแรงริษยาอาฆาตว่าพ่อแม่รักน้องกว่าตน เพราะดูไปแล้วแกเป็นเด็กค่อนข้างโง่ เหมือนกับมันสมองต่ำกว่าอายุประมาณ ๒-๓ ปี ไม่มีสติปัญญาลึกซึ้งวางแผนการเหี้ยมโหดอย่างที่ผู้เป็นพ่อคิดแน่นอน แต่ต้องเป็นเพราะความป้ำเป๋อของเด็ก เดินเที่ยวเล่นมีคนมากๆ ก็มองอะไรต่อมิอะไรเพลินไป ไม่ระวังดูแลน้อง ทําให้พลัดหลงกันไป น้องเพียง ๔-๕ ขวบ คงบอกอะไรไม่ได้มาก ใครคงเอาไปเลี้ยงที่อื่นต่อ เพราะไม่รู้จะนําไปคืนที่ไหน ไม่เหมือนพลัดหลงครั้งแรกมีคนรู้จักพบเข้าพามาส่งบ้านได้
เมื่อมีการประชุมมูลนิธิของโรงเรียน ข้าพเจ้าได้นําเรื่องนี้เสนอเข้าที่ประชุมด้วย ที่ประชุมลงมติส่งเด็กไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กไร้ที่พึ่ง (ที่เดียวกับลูกของครูฉลอม ในศีลข้อ ๓)
เรื่องการกินเหล้าแก้ทุกข์ ไม่ใช่วิธีแก้ความทุกข์ที่ถูก เป็นเพียงหายกลุ้มใจชั่วครั้งชั่วคราว แล้วก็เกิดทุกข์ชนิดใหม่จากสุรามาแทน ทั้งเรื่องสุขภาพร่างกาย จิตใจ และปัญหาเศรษฐกิจ ดังรายพ่อของเด็กคนนี้ ไม่เข้าใจว่าทุกสิ่งที่เกิดไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆ ทําให้เขา แต่เป็นกรรมของเขาเองที่สร้างไว้ในอดีต ชาติใดชาติหนึ่ง
ไม่ใช่แต่ผู้ชายคนนี้ แม้ผู้คนในโลกคนอื่นๆ ที่ไม่มีความรู้ความสนใจในหลักธรรมของศาสนาก็จะแก้ปัญหาด้วยสุรา กลายเป็นการเอาขี้หมามาล้างขี้ไก่ หมดจากกลิ่นหนึ่งก็ต้องเหม็นอีกกลิ่นหนึ่ง ต้องใช้น้ำสะอาดคือ ธรรมโอสถ ล้าง ชีวิตจึงจะคลายทุกข์ลง
ถ้าเพียงแต่จะคิดตื้นๆ ที่เห็นได้ง่ายเพียงว่า เมื่อเรามาเกิดในโลกนี้ใหม่ๆ เรามาเพียงลําพังตัวคนเดียว ไม่มีใครเลย และไม่มีสมบัติอะไรสักนิดเดียว เสื้อสักตัว ผ้านุ่งสักผืนก็ไม่มีติดมา เรื่องต่างๆ ที่มามีขึ้น จึงเป็นของได้มาใหม่ทั้งสิ้น จะเป็นลูกก็ตาม ภรรยาสามีก็ตาม ทรัพย์สมบัติก็ตาม มารู้จักเกี่ยวข้องกันภายหลังทั้งสิ้น เมื่อมีขึ้นแล้วย่อมหายไปเมื่อใดก็ได้ ซึ่งไม่อยู่ในอํานาจบังคับบัญชาของใคร นอกจากอํานาจของกรรมเพียงอย่างเดียว ให้เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนเกินของชีวิต ต้นทุนเรามีเพียงตัวเราคนเดียว ส่วนเกินจะขาดหายไปเมื่อใดก็ไม่จําเป็นต้องเศร้าเสียใจอะไร คิดอย่างนี้ได้ก็ยังพอทําให้ทุกข์ลดลง คนเรามีทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ ทุกข์เพราะคิดกันทั้งสิ้น
ความคิดที่เกิดขึ้นในใจเป็นของฟรี ใครจะคิดในทางดีก็ได้ คิดในทางร้ายก็ได้ ไม่มีใครมีสิทธิ์มาสั่งให้ทํา เราสามารถกระทําของเราได้เอง และเรื่องราวในโลกทุกเรื่องสามารถมองได้ทั้งสองแง่ คือทั้งดี ทั้งร้าย ทําไมเราจึงไม่เอาแง่ดีมามอง
อย่างกรณีชายที่เป็นพ่อบุญธรรมของเด็กหญิงราตรี เมื่อลูกเมียตายหมด ไม่เต็มใจเลี้ยงเด็กที่ขอมาเลี้ยง ก็ควรนําไปให้กรมประชาสงเคราะห์ ไม่ใช่มาคิดทรมานให้เด็กตายตามภรรยาและลูกของตน เอาชีวิตที่เหลือว่างเปล่าไปใช้ประโยชน์สร้างบารมีให้เต็มที่ เช่น การศึกษาและปฏิบัติธรรม การช่วยงานสาธารณกุศลต่างๆ ก็จะได้บุญเป็นเครื่องตอบแทน ดีกว่าทําตัวเองให้เป็น ไอ้ขี้เมา ไร้ค่าดังนี้
หรืออย่างในกรณีมีปัญหาคู่ครองนอกใจ ควรหาทางคิดให้รัดกุมได้ประโยชน์ ไม่ใช่เสียใจมาก ต้องกินเหล้าปลอบใจให้ลืมคิด ลืมกลุ้มไปวันหนึ่งๆ เช่นคิดว่า เราเคยรักเขาเพราะเห็นความดีงามของเขา เมื่อความดีของเขาหมดลง ก็ควรเลิกรักเสียที หันมารักตนเอง ทําคุณงามความดีต่างๆ ใส่ตน จะทําให้มีบุญกุศลติดตัวไปมากๆ คนมีบุญมาก บุญจะป้องกันมิให้ต้องพบกับคนไม่ดีไปเอง เมื่อเขายังดีต่อเราอยู่ เราไม่มีทางเป็นอิสระ ต้องคอยเป็นทาสเอาใจรับใช้ เมื่อมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น เราจะได้ถือโอกาสเลิกสนใจปรนนิบัติดูแล คนเราต่างคนต่างมา เป็นลูกคนละพ่อคนละแม่กัน มาพบกันตอนโตๆ นี่เอง พบแล้วก็มายึดถือตั้งสมมติเกี่ยวข้องกันว่า เธอเป็นอะไรกับฉัน ฉันเป็นอะไรกับเธอ สมมติแล้วก็ยึดเอาเป็นเรื่องจริงจัง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วมิได้เป็นอะไรกันเลย เมื่อเขาอยากคืนกลับสู่สภาพความจริง คือความเป็นคนอื่น ก็ควรปล่อยเขาไปซี จึงนับว่าเป็นเรื่องถูกต้อง
หรืออุบายในการคิดอีกประการหนึ่งคือ ให้มองดูการกระทําที่เกิดขึ้นว่าเป็นความผิดของใคร ใครเป็นคนทําผิด คนนั้นควรได้รับผลกรรม ควรต้องเป็นฝ่ายเสียใจเป็นทุกข์เดือดร้อน เมื่อเรามิใช่ฝ่ายทําผิด แต่เรากลับทําหน้าที่เป็นทุกข์เศร้าโศก นับว่าเราเป็นคนขาดสติขาดปัญญาโดยแท้ น่าจะเรียกว่าเป็นทั้งคนโง่ คนเซ่อ และน่าจะถึงขั้นเป็นคนบ้าเอาเสียด้วย รู้จักคิดสั่งสอนตนเองให้เผ็ดร้อน เรียกว่า ด่า ตนเองให้เจ็บๆ ความทุกข์ร้อนก็จะค่อยจางคลายไปได้ในที่สุด หรือจะนึกว่าเรื่องของกรรมเก่าในอดีตชาติก็ได้ เคยทํากับเขาไว้
นี่เรียกว่ารู้จักใช้ธรรมโอสถรักษาจิตใจ ไม่ใช่ใช้สุราย้อมใจ
ชื่อเรื่องเดิม นึกว่าผีหลอก
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม2