ได้ไม่คุ้มเสีย

วันที่ 21 ตค. พ.ศ.2559

ได้ไม่คุ้มเสีย,ที่นี่มีคำตอบ ฉบับมินิ เล่ม 4 รักนี้สีอะไร,บทความประจำวัน
 
ได้ไม่คุ้มเสีย
 
เหตุการณ์ในชีวิตของข้าพเจ้าตอนนี้ เป็นเวลาที่ข้าพเจ้ายังไม่มีน้องชายคนรอง ซึ่งอายุอ่อนกว่าถึง ๘ ปี ทั้งยังไม่ได้จากบ้านไปเรียนต่อในชั้นมัธยม ดังนั้นอายุของตนเองเวลานั้นคงราว ๗ ขวบ แม่ชอบทําขนม ให้ข้าพเจ้าและพ่อกินบ่อยๆ ขนมที่เราสองพ่อลูกชอบที่สุดคือข้าวหมากหวาน วิธีทําก็นําข้าวเหนียวมาแช่น้ำไว้สักพัก แล้วนึ่งให้สุก ตักแบไว้ในภาชนะแบนๆ ผึ่งให้เย็น นําลูกแป้งข้าวหมากหวานมาบดให้ละเอียดเป็นผง แล้วนํามาคลุกเคล้าให้ทั่ว นําไปใส่ภาชนะเคลือบปิดฝาหรือห่อด้วยใบตอง (ปัจจุบันใส่กล่องพลาสติกใสปิดฝาให้สนิท) ทิ้งไว้ ๒-๓ วัน ข้าวเหนียวจะมีน้ำหวานออกมาเยิ้ม เมล็ดข้าวก็อ่อนนิ่ม เวลาตักใส่ปาก น้ำหวานเจี๊ยบจะออกจากเนื้อข้าวมาเต็มปาก ทําให้เคี้ยวกินหวานอร่อยชื่นใจ คนสูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่กินหมากชอบกินกันมาก

ข้าพเจ้าแม้เป็นเด็กแต่ก็ชอบกิน กินครั้งหนึ่งๆ มากด้วย คือไม่ใช่กินเหมือนเป็นขนมแต่กินเอาอิ่มทีเดียว บางครั้งกินเสร็จรู้สึกง่วงๆ มึนๆ นอนหลับไปถึงค่อนวัน แต่พ่อกับแม่กลับตกใจกันใหญ่ ท่านไม่ว่าข้าพเจ้าง่วง ท่านว่าข้าพเจ้าเมา ท่านว่าตัวข้าพเจ้าแดงก่ำทั้งตัว หลับตัวอ่อนกะพับกะพ้อย ปลุกเท่าไรก็ไม่ยอมตื่น เมื่อได้ฟังท่านเล่าอย่างนั้น ในครั้งหลังๆ เมื่อแม่ทําข้าวหมากหวานอีก ข้าพเจ้าไม่กินมาก จะกินแต่พอประมาณและไม่ยอมนอนหลับ เกรงพ่อแม่จะตกใจเหมือนครั้งนั้น

แล้ววันหนึ่ง พ่อกับแม่สั่งข้าพเจ้าว่า

“เดี๋ยวหนูเอาข่าที่พ่อขุดไว้ทั้งกระจาดนี่ไปล้างที่แม่น้ำ เอาขี้ดินออกให้เกลี้ยงนะลูก เสร็จแล้วเอามีดบางเล่มเล็กไปตัดใบมะเขือขื่นที่ริมตลิ่งมาให้เต็มกระจาดใบนี้ด้วย สั่งพร้อมกับหยิบกระจาดอีกใบหนึ่งให้ ข้าพเจ้าจึงถามว่า

“เอาตั้งกระจาด เอามาทําอะไรกันเยอะแยะเลย เดี๋ยวหนามมันตํานิ้วมือหนู”

แม่ก้มลงกระซิบที่ข้างหูข้าพเจ้าว่า “อย่าเอ็ดไปลูก หนูอย่าบอกใครนะว่าเรากําลังทําอะไร ใครถามก็บอกว่าไม่รู้ แม่จะให้พ่อเอาไปต้มยามั้ง”

ข้าพเจ้าเห็นอาการกระซิบกระซาบของแม่ยิ่งรู้สึกสงสัย กระซิบถามบ้าง “แล้วแม่จะเอามันไปทำอะไร”

“เอามันมาผสมกับแป้งทําลูกข้าวหมากจ้ะ แต่เราบอกใครไม่ได้นะลูก ถ้าคนที่เกลียดเราเค้ารู้เรื่อง เค้าไปบอกตํารวจให้มาจับเราได้จ้ะ”

แม่กระซิบอธิบาย ข้าพเจ้ายิ่งงงหนักขึ้นไปอีก คิดในใจว่า

“อะไรกัน ตํารวจนี่จะมากไปหน่อยแล้ว ทําลูกแป้งสําหรับทำขนมข้าวหมากกินก็ต้องจับด้วยรึ แล้วทีแม่ค้าเขาเดินหาบขายทั้งลูกข้าวหมาก ทั้งขนมข้าวหมากหวาน ทําไมไม่จับ มาจับคนทําทําไม”

ข้าพเจ้าได้แต่คิดสงสัยในใจ แต่ไม่ได้ซักถามอะไร ลงไปล้างข่าที่ท่าน้ำตามคําสั่ง ใบมะเขือขื่นมันมีหนามทุกใบตรงสันใบ เวลาตัดมือเล็กๆ ของเด็กจับไม่ถูกที่นัก มักถูกหนามทิ่มนิ้วเจ็บมือไปหมด กว่าข้าพเจ้าจะตัดได้ทั้งกระจาดก็เจ็บนิ้วแทบทุกนิ้ว เมื่อนํามาให้พ่อกับแม่ เห็นท่านสองคนหั่นใบไม้ชนิดอื่นๆ อีกหลายอย่าง ท่านบอกให้ข้าพเจ้าไปปิดประตูรั้วหน้าบ้าน ใครมาเรียกให้เงียบเสียงไว้อย่าส่งเสียงตอบ ให้เขาเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่

“แล้วหนูมาช่วยแม่กับพ่อปอกกระเทียมให้หมดนี่เลยลูก”

เมื่อท่านเห็นข้าพเจ้าทําตาโต ท่านก็หัวเราะ

“ไม่ใช่ปอกเหมือนตําน้ำพริกแกงหรอกจ๊ะ ปอกเอาเปลือกนอกออกแค่นี้เอง” อธิบายแล้วท่านก็ทําให้ดู

เราสามคนพ่อแม่ลูกช่วยกันหั่น ช่วยกันปอกอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง เสร็จแล้วพ่อกับแม่ก็นําของเหล่านั้นใส่ลงในครกกระเดื่องที่ฝังอยู่ในดินครึ่งหนึ่ง โผล่ขึ้นมาบนดินครึ่งหนึ่ง

ครกกระเดื่องนี้เวลาตําไม่ใช้มือ ใช้เท้าเหยียบที่ปลายไม้ท่อนใหญ่ ซึ่งอีกปลายหนึ่งมีสากติดอยู่ ตรงกลางท่อนมีคานสอด พอเราเหยียบท่อนไม้จะกระดกขึ้น เมื่อเราปล่อยเท้าสากก็จะหล่นลง นอกจากของหลายอย่างพวกนั้นแล้ว มีข้าวสารตําปนอยู่ด้วย ข้าพเจ้ากับพ่อช่วยกันเหยียบหางกระเดื่อง แม่เป็นคนคอยเอามือตะล่อมที่ปากครกไม่ให้ของหกหล่นออกมา

เหยียบครกกระเดื่องตําอยู่เป็นพักใหญ่จนแหลกละเอียดดีแล้ว พ่อกับแม่ก็ขนใส่กระถางใบใหญ่ขึ้นบ้าน เอาน้ำผสมลงนวดไปมา แล้วให้ข้าพเจ้าไปนํากระด้งมาหลายใบ กระด้งนี้มีรูปร่างเหมือนถาดแบนๆ ใบ ใหญ่สานด้วยไม้ไผ่ แม่ให้เอาแกลบเกลี่ยลงจนทั่วทุกใบวางเรียงกันต่อ จากนั้นเราก็ช่วยกันปั้นลูกแป้งเหมือนปั้นลูกกระสุนที่ทําด้วยดินเป็นลูกกลมๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ แล้วกดเป็นแบนๆ ลงหน่อย วางเรียงลงบนกระด้ง ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดๆ คลุมชั้นแรก แล้วใช้กระสอบข้าวหนาๆ คลุมทับข้างบนแล้วนําไปไว้ในห้องมืดๆ

ดูเหมือนประมาณ ๓-๔ วัน ก็ไปนําออกมา จะเห็นเหมือนมีใยบางๆ ขึ้นเต็มบนเม็ดลูกแป้ง เราช่วยกันเก็บออกจากกระด้ง ไม่ให้แกลบติด แม่จะนํามาวางผึ่งต่ออีกเป็นวันๆ จนแห้งสนิท แล้วนําใส่ถุงกระดาษไว้ถุงละหนึ่งร้อยลูก พร้อมทั้งบอกพ่อว่าควรทดลองทําดูก่อนว่า ลูกแป้งที่ทํานี่จะ เป็น หรือไม่ คือได้ผลหรือไม่ แล้วข้าพเจ้าก็เห็นพ่อกับแม่ทําเหมือนกับที่เคยทําข้าวหมากหวาน เพียงแต่ผิดสังเกตตรงที่ท่านไม่ใส่ข้าวเหนียวที่คลุกลูกแป้งไว้ในหม้อเคลือบที่เคยทํา แต่ใส่ไว้ในไหที่ทําด้วยดินเผา และไม่เอาไว้ในบ้าน พ่อแบกไหไปซ่อนไว้ในที่รกๆ ในป่าไผ่หลังบ้าน

“เอ๊ะ ทําไมพ่อกับแม่ต้องทํายังงั้นด้วยนะ เอาไปซ่อนในป่ายังงั้น เราก็อดคอยดูว่าเมื่อไรกินได้น่ะซี

ข้าพเจ้าคิดสงสัยไปตามเรื่อง แต่ไม่ได้ซัก จนกระทั่งวันครบกําหนด ข้าพเจ้ายิ่งสงสัยหนักยิ่งขึ้น เพราะหลังจากหุงข้าวทํากับข้าวตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว แม่กลับมีหม้อใบประหลาดๆ และอุปกรณ์อีกหลายชิ้นมาวางที่หน้าเตาไฟในครัว แล้วพ่อก็ไปนําไหข้าวหมากจากในป่าไผ่ มาเทลงไปในหม้อ พ่อไม่เรียกให้ข้าพเจ้ากิน เมื่อข้าพเจ้าไปนำชามกับช้อนมาขอท่านจะกิน แม่หัวเราะ ท่านกลับบอกให้ข้าพเจ้าไปปิดประตูรั้ว ประตูบ้าน ปิดจนกระทั่งหน้าต่างทุกบาน ให้ทําเหมือนตอนตําลูกแป้งอีกแล้ว

เมื่อกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง พ่อกับแม่กําลังต้มข้าวหมาก (คงจะมาจากคําว่า ข้าวหมัก) เคี่ยวอยู่บนเตา ข้าพเจ้าถามแม่ว่า ท่านตักไว้ให้ข้าพเจ้ากินหรือเปล่า และข้าวหมากหวานคราวนี้ทําไมจึงต้องมีการ ต้มเคี่ยว ด้วยไฟ แม่ดึงตัวข้าพเจ้าไปกอด นั่งอยู่หน้าเตาไฟ แม่พูดว่า

“นี่ไม่ใช่ข้าวหมากหวานหรอกลูก มันเป็นข้าวหมากเมาจ้ะ ที่กําลังต้มอยู่นี้ เดี๋ยวไอมันจะออกจากปากหม้อ แล้วไหลมาทางนี้ ไหลผ่านน้ำเย็นตรงนี้ ไอของมันจะกลายเป็นน้ำหยดๆ ออกมาทางนี้” แม่อธิบายด้วยชี้ให้ข้าพเจ้าดูด้วย

“น้ำที่หยดออกมานี่ไม่ใช่น้ำธรรมดา อย่างไอน้ำที่ฝาหม้อข้าวนะลูก มันเป็น เหล้า น่ะ

ข้าพเจ้าฟังตามอย่างเข้าใจ พอแม่บอกว่าเป็นเหล้า ข้าพเจ้าก็นึกเห็นภาพพวกคนขี้เมาในหมู่บ้านได้หลายคน ตาแป๊ะเอย ตายองเอย ตาหยุดเอย ตาอยู่เอย ตาเล็กหอย (คือหน้าเหมือนลิง) น้ำนี่เองที่กินเข้าไปแล้ว คนพวกนี้มีกิริยาท่าทางประหลาดๆ ไม่เหมือนปกติ ล้วนแต่เป็นอาการน่ารังเกียจ เดินเซไปเซมา ส่งเสียงพูดอ้อแอ้ไม่รู้ว่าพูดอะไรสลับกับเสียงด่าโว้กเว้กออกมาดังๆ เป็นคนละคนกับตอนที่ยังไม่ได้กินเหล้า ข้าพเจ้ามองน้ำเหล้าที่หยดติ๋งๆ ถี่ๆ ออกจากปลายท่อ เอามือรองแล้วมาแตะลิ้นชิมดู ไม่อร่อยเลย ไม่หวาน มันขื่นๆ ซ่าๆ ไม่เห็นน่ากิน ทําไมคนจึงชอบกิน

ขณะที่แม่คอยเปลี่ยนน้ำเย็นอยู่เรื่อยๆ แม่ก็สอนให้ข้าพเจ้าทํา แม่บอกว่าน้ำตรงนี้ต้องระวังอย่าให้ร้อน เดี๋ยวไอเหล้าจากหม้อมันจะไม่กลายเป็นหยดเหล้า ข้าพเจ้าพูดกับแม่ว่า

“หนูไม่ชอบพวกคนขี้เมาเลย ทําไมเราต้องต้มเหล้าไปขายให้คนกิน ทําให้เค้าต้องเมากัน”

แม่บอกว่า “เราไม่ได้ต้มเหล้าขายหรอกจ๊ะ พ่อกับแม่จะทดลองลูกแป้งที่เราทํากันนั้นน่ะ ว่าหมักเป็นข้าวหมากแล้ว ต้มออกเป็นเหล้า ได้น้ำเหล้ามากมั้ย”

“หนูนึกว่าเราทําลูกแป้งข้าวหมากหวานเสียอีก ทําไมแม่ต้องทําลูกแป้งข้าวหมากเมาพวกนี้ด้วยจ๊ะ”

“คนทางหมู่บ้านที่มีกองทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่น่ะลูก (สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒) เค้าต้มเหล้าเถื่อนขายให้ทหารญี่ปุ่นด้วย ขายคนในหมู่บ้านด้วย เขาทําลูกแป้งไม่เป็น เขาสั่งซื้อมาที่บ้านป้าห่วงกับลุงเหมือนน่ะ แต่บ้านป้าเค้าก็ทําไม่ทันขาย เค้าเลยบอกวิธีทําให้พ่อกับแม่ช่วยกันทําขาย มีรายได้ดีกว่าเงินเดือนของพ่อตั้ง ๔-๕ เท่าตัว”

ป้าห่วงกับลุงเหมือนเป็นคนมีฐานะคนหนึ่งในหมู่บ้านของเรา ข้าพเจ้าเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นว่าเขาทําอาชีพอะไร เห็นเจ้าสมลูกของเขาซึ่งเป็นเพื่อนเล่นของข้าพเจ้ามีเงินซื้อขนมทีละมากๆ พ่อแม่ของมันรวยอย่างนี้เอง หัวสมองเล็กๆ ของข้าพเจ้าคิดไม่ออกว่าทําไมพ่อกับแม่จะต้องหารายได้เพิ่ม ในเมื่อเงินเดือนของท่านทั้งสองคนก็ทําให้ครอบครัวของเราอยู่อย่างสบายกันแล้ว ทําไมต้องหารายได้ด้วยการกระทําที่ทําให้คนอื่นไม่สบาย คือกลายเป็นคนขี้เมา ถึงแม่จะบอกว่าเอาไปขายให้คนอื่น คนนั้นนําไปต้มเหล้าให้ทหารญี่ปุ่นที่บ้านกล้วยกินก็เถอะ ข้าพเจ้าเคยเห็นทหารญี่ปุ่นที่เดินมาเที่ยว เขาก็เป็นคนเหมือนเรา ทําไมต้องให้เขากินของเลวๆ ที่ทําให้เขาไม่สบายด้วย แค่เราเอาของกินไปขายราคาแพงๆ กว่าธรรมดา ให้พวกเขาก็น่าสงสารอยู่แล้ว ยังเอาเหล้าไปขายให้เขาเป็นทหารขี้เมากันอีก น่าสงสารเสียจริง

“แม่จ๋า แล้วทําไมเวลาต้มเหล้าหรือทําลูกแป้ง เราต้องปิดประตู ทําเหมือนไม่มีใครอยู่ล่ะจ๊ะ”

ข้าพเจ้าถาม แม่จึงอธิบายว่า สิ่งที่เราทําอยู่ผิดกฎหมาย ตํารวจรู้เข้าเขาจะมาจับ ส่วนที่ขายกันอยู่ที่ร้านเจ๊กหงนั่นเป็นเหล้ารัฐบาล ขายได้ตำรวจไม่จับ ข้าพเจ้ายิ่งงงไปกันใหญ่ในเวลานั้น

อือ... ของอย่างเดียวกัน ชาวบ้านขายเป็นความผิด รัฐบาลขายไม่ผิด ทั้งที่เป็นของเลว คนกินแล้วไม่สบาย ทําไมรัฐบาลเอามาขาย รัฐบาลนี่เป็นใครกันนะ ทําไมมีอํานาจมากกว่าตํารวจ ขายของชั่วๆ ก็ได้ สงสัยมันคงเป็นยักษ์... ข้าพเจ้านึกไปโน่น พลอยให้เกลียดกลัวรัฐบาลจนไม่กล้าคิดถึง... ไปคิดเกลียดมัน เดี๋ยวมันรู้เข้ามันก็จะมาจับตัวเราไปติดคุก มันมีอํานาจมาก ต้มเหล้าขาย ตํารวจไม่กล้าจับ... ความรู้สึกรังเกียจรัฐบาลมีมาตั้งแต่ยังเล็กๆ

ต่อมาไปเที่ยวที่หมู่บ้านชื่อ ท่าฝาง กับพ่อไปเห็นโรงยาฝิ่น เห็นคนเนื้อตัวผอมแห้งเหมือนผีเพราะติดฝิ่น เดินไม่มีเรี่ยวแรง นั่งทําตาลอยๆ ไม่ทํางานทําการ ถามพ่อดูพ่อก็ว่าโรงฝิ่นเป็นของรัฐบาลอีก ข้าพเจ้าจึงคิดในทางไม่ดีกับรัฐบาลมากขึ้นไปอีกหลายเท่า

“ไอ้รัฐบาลนี่ มันเป็นยิ่งกว่ายักษ์อีก มันเป็นผีด้วย เอาฝิ่นมาขายให้ชาวบ้านสูบ ทําให้ชาวบ้านกลายเป็นผีไปหมด จะได้ไปอยู่กับพวกมันกระมัง รัฐบาลนี่น่ากลัวจริงๆ”

ทีนี้เวลาที่ข้าพเจ้าต้องช่วยพ่อแม่ต้มเหล้า ข้าพเจ้าไม่ชอบภาพเหตุการณ์ในขณะนั้นเลย การต้องปิดหน้าต่างในครัวหมดทุกบานเพื่อไม่ให้กลิ่นเหล้าคลุ้งออกไปถึงทางเดินสาธารณะด้วย ให้คนที่ต้องการมาหาเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่บ้านด้วย ทําให้รู้สึกร้อนและอึดอัด ยังเหม็นกลิ่นน้ำข้าวหมากที่เดือดพลุ่งออกมา ส่วนที่เล็ดลอดลอยออกมาได้ก็ส่งกลิ่น จนทําให้มึนศีรษะ ยังเปลวไฟที่ต้องใส่ฟืนให้ลุกโพลง เปลวไฟสีแดง สีแสดปนกับควันไฟสีดําเทาแก่เทาอ่อน ไฟแลบเลียก้นหม้อไปมา ภาพเหล่านี้ข้าพเจ้านึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน ที่ดูทั้งน่าเกลียดน่ากลัวอย่างนี้ (นี่คือภาพจําลองโดยย่อของไฟในขุมนรกที่เคยเห็นในอดีตชาติ) สรุปแล้วไม่ชอบการกระทําอย่างนี้

ครั้งเมื่อได้น้ำเหล้าออกมาแล้ว พ่อก็ใช้วิธีไปซื้อเหล้ารัฐบาลมาจํานวนหนึ่ง ทําเป็นบอกขายให้บรรดานักเลงสุราทั้งหลาย เป็นการบังหน้า ที่แท้คือแอบขายเหล้าที่ต้มเองปนไปด้วย ปรากฏว่าพวกนักเลงเหล้าชมเชยว่าเหล้าเถื่อนมีรสชาติดีกว่า จึงพากันมาซื้อกิน แรกๆ ก็ซื้อไปกินกันที่บ้านของเขา ต่อมาซื้อแล้วก็กินกันอยู่บริเวณหน้าบ้านข้าพเจ้านั่นเอง ข้าพเจ้าจําเป็นต้องช่วยพ่อแม่ตักขาย ข้าพเจ้าขายด้วยความไม่เต็มใจ จึงมีใบหน้าบูดบึ้ง พวกนักเลงสุราก็ยิ่งล้อเลียนข้าพเจ้าสนุกสนาน ข้าพเจ้าก็ยิ่งทําหน้างอหนักขึ้นไปอีก พลอยเกลียดชังพวกขี้เมาหมดทุกคน

ลูกแป้งของพ่อกับแม่ขายดีมาก ลูกค้าเก่าของป้าห่วงกับลุงเหมือนก็พากันมาซื้อ ข้าพเจ้าเบื่อการกระทําเหล่านี้จริงๆ ไม่เข้าใจว่า ทําไมคนเราต้องทําร้ายกันเพียงเพื่ออยากได้กระดาษที่มีรูปพระเจ้าแผ่นดินบ้าง เหรียญเงินเหรียญทองแดงบ้าง เอาไปทําไมกัน ไม่ต้องมีเหรียญมีกระดาษพวกนี้เราก็มีชีวิตอยู่กันได้อย่างมีความสุข ทํานาก็มีข้าวกิน ปลูกผักที่หน้าท่า (ชายน้ำ) ใครอยากกินกุ้ง หอย ปู ปลา ก็จับเอาในน้ำ อยากกินไข่ ก็เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่เอา ไม่ต้องทําเรื่องน่ารังเกียจอย่างนี้ ยิ่งเป็นพ่อกับแม่ด้วยแล้ว มีอาชีพเป็นครู ทําไมจึงขายเหล้าให้ลูกศิษย์เก่าๆ กินเสียเองเล่า

เมื่อไม่เต็มใจทํา ก็ครุ่นคิดไปมาตามประสาเด็ก จะทําอย่างไรดีพ่อกับแม่จึงจะเลิกทําลูกแป้งและเลิกต้มเหล้าได้

วันหนึ่งอากาศร้อนจัดและเป็นวันที่จะต้องช่วยแม่แกะลูกแป้งออกจากกระด้งข้าวเปลือก ข้าพเจ้าแอบเอาผ้าห่มมาห่มตัวเองไว้ให้ร้อนอบอ้าวจนเหงื่อไหลออกมาพลั่กๆ พอแม่ขึ้นบันไดบ้านมา ข้าพเจ้ารีบเก็บผ้าห่มซ่อน แล้วแกล้งทําเป็นนั่งเอามือกุมศีรษะ ซุกหน้าลงกับเข่า ร้องคราง ฮือ ฮือ

แม่ตรงเข้ามาถาม “เป็นอะไรไปลูก”

ข้าพเจ้าไม่กล้าสบตาแม่ คงก้มหน้าครางต่อ พูดว่า

“มันปวดหัวแล้วก็อึดอัดในหน้าอก อยากเป็นบ้าน่ะ แม่จ๋าหนูอยากเป็นบ้า !”

“ตายจริง ! อะไรกันลูก” แม่เข้ามาจับตัวข้าพเจ้า แล้วร้องอุทานเสียงดัง

“ตัวร้อนจี๋เชียว ปวดหัวเป็นไข้มั้งเนี่ย”

“ไม่ใช่จ้ะ มันอยากเป็นบ้า!”

ข้าพเจ้ายังยืนยัน ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทําไมจึงไม่สวมรอยว่าเป็นไข้ คิดแต่ว่าอาการของคนไข้ต้องนอนนิ่งเงียบๆ แต่อาการของคนบ้าร้องเอะอะโวยวายเสียงดังๆ ได้ ข้าพเจ้าเข้าใจเช่นนั้น จึงเลือกเอาอาการป่วยชนิดหลัง ได้ยินเสียงแม่ถาม

“อาการมันเป็นยังไง ลูกถึงว่าลูกอยากเป็นบ้า ทําใจดีๆ ซีลูก บอกแม่หน่อย”

พอเห็นแม่ตกหลุมพรางเชื่อ ข้าพเจ้าก็บอกว่า

“ในอกของหนูมันแน่น มันอยากระเบิด มันอยากร้องออกมาให้ดังๆ มันร้องไม่ได้มันจึงแน่นอยู่ข้างใน มันจึงอยากบ้าจ้ะ”

“ทําไมมันร้องไม่ออกล่ะลูก มันแน่นในคอหรือลูก”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่ คําที่อยากร้อง มันเป็นคําไม่ดี มันร้องไม่ได้ มันเลยแน่น”

ข้าพเจ้าปฏิเสธพร้อมชี้แจง แม่จึงถามว่า อยากพูดคําว่าอะไรที่เรียกว่าไม่ดี ข้าพเจ้ารีบเน้นถ้อยคําตอนนี้เต็มที่

“หนูอยากตะโกนว่า ตํารวจ ตํารวจ มานี่หน่อยเร็ว บ้านนี้ทําของไม่ดีขาย ทําลูกแป้งเมา แล้วก็ต้มเหล้าด้วย มันอยากตะโกนยังงี้แม่ มันตะโกนไม่ได้ มันเลยแน่นในหน้าอก”

พอระบายบอกแม่ออกมาได้ ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนยกภูเขาที่ทับอกอยู่ออกจริงๆ มันโล่งเบาหวิวไปทีเดียว แต่เนื่องจากไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกระทําอยู่นั้นเป็นเรื่องผิดหรือถูก น้ำตามันก็ถูกยกออกมาจากลูกนัยน์ตาด้วย ร้องไห้เสียใหญ่โต ทีนี้ร้องจริงๆ ไม่ใช่แกล้งร้อง ยิ่งแม่ดึงตัวไปกอดไว้ ข้าพเจ้าก็ยิ่งสะอึกสะอื้น นึกถึงตอนเย็นๆ ต้องรินเหล้าขายให้พวกขี้เมา ซึ่งล้วนแต่เคยเป็นลูกศิษย์พ่อกับแม่ทั้งนั้น พวกนี้ชอบล้อเลียนข้าพเจ้า

“เอ้า แม่ค้าหน้าหงิก เอ้าแม่ค้าหน้างอ ขอซื้อก๊งนึง สองก๊ง หน้าหงิกๆ งอๆ ยังนี้ทํามาหากินอารายก็ม่ายจาเริน...”แล้วก็ร้องเฮฮากันไป ยิ่งเห็นข้าพเจ้าโกรธไล่ไปให้พ้น ไม่ขายให้ก็ชอบใจหนักขึ้น พ่อกับแม่ก็ไม่ช่วยห้ามปราม ปล่อยให้ล้อกันสนุก นึกดังนี้ข้าพเจ้าเลยร้องไห้หนักขึ้นอีก

แม่ปลอบข้าพเจ้าอยู่นาน ข้าพเจ้าร้องจนเหนื่อย จึงหยุดร้องแล้วหลับไป หลับไปนานเท่าใดไม่รู้ มารู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงพ่อกลับมาจากไปธุระนอกบ้าน (คือเอาลูกแป้งไปส่งลูกค้า) ข้าพเจ้าแกล้งหลับตา ฟังเสียงแม่กับพ่อคุยกัน แม่พูดว่า

“พี่ๆ ความจริงเราทําลูกแป้งขายนี่กําไรมันก็มากจังนะ แต่ฉันอยากชวนเลิกแล้วละจ้ะ”

“อ้าวทําไมล่ะ พี่ห่วงกับพี่เหมือนเค้าว่าเราแย่งลูกค้าเค้ารึ”

“ไม่ใช่ เค้าไม่รู้เรื่องนั้นหรอก แต่ลูกเราซิพี่ ลูกเราจะเป็นบ้า”

“ฮ้า ! พูดอะไรนั่น ลูกจะเป็นบ้ายังไง” พ่อส่งเสียงดัง

แม่เล่ารายละเอียดอาการของข้าพเจ้าให้พ่อฟัง พร้อมทั้งพูดเสริมต่อว่า

“ฉันชักกลัวนะพี่ เราก็มีลูกเพียงคนเดียว ลูกก็น่ารักเฉลียวฉลาด ญาติพี่น้อง ใครๆ ก็รักแก ถ้าบ้าเหมือนลูกพี่ห่วงกับพี่เหมือนละก็แย่จริงๆ ลูกของเค้าบ้าบ้าง บ๊องๆ บวมๆ บ้าง ตั้ง ๓ คน เหลืออีก ๓ คน คนนึงก็พูดพล่าม อีกคนก็เค็มเป็นเกลือ กะพ่อกะแม่ก็ไม่ยอมเสียเปรียบ คนเล็กที่เป็นเพื่อนลูกเราก็ไม่ฉลาด ปากจัดด่าไฟแลบเลย มันอาจจะเป็นบาปกรรม ที่เค้าทําของมึนเมานี่ขายก็ได้นะ เค้าขายมาเป็นสิบปีแล้วนี่พี่ขายตั้งแต่ลูกคนโตยังเล็กๆ แน่ะ เอาเงินที่ได้มาซื้อกินซื้ออยู่เลี้ยงลูก เงินไม่ดีเลยได้แต่ลูกไม่ดี ลูกที่ดีอยู่ก็พลอยเสียไปด้วย เราเลิกเถอะนะพี่นะ

ข้าพเจ้ารีบแอบซุกหน้าอมยิ้ม ในใจลิงโลด “เพี้ยง ขอให้พ่ออย่าขัดแม่เลย เพี้ยง”

เสียงพ่อพูดว่า “เลิกก็น่าเสียดายจัง ทําไอ้นี่ขายไม่ถึง ๒ เดือนเลย มีเงินหลายชั่ง ดูจะมากกว่าเงินเดือนเราสองคนรวมกันทั้งปี แต่เอาเถอะ เธออยากให้เลิกก็เลิก ตามใจ ดีเหมือนกัน ไอ้กํานันมันยิ่งจะหาเรื่องจับพี่อยู่ด้วย มันระแวงเรื่องที่เรารู้ว่ามันให้ลูกเขยมันเอาพวกไปปล้นบ้านยายแดง”

พ่อคงไม่รู้ว่า การที่ท่านมองเรื่องต่างๆ ให้เป็นประโยชน์ตนเองเสียดังนี้ ทางธรรมเรียกว่า โยนิโสมนสิการ การรู้จักคิดด้วยอุบายที่แยบคาย เรื่องได้ คิดให้เป็นเรื่องเสียเสียบ้าง เรื่องเสีย คิดให้เป็นเรื่องได้เสียบ้าง ใจก็จะไม่มียินดียินร้าย เป็นอุเบกขา ทําให้มีสภาพเป็นปกติ ไม่หวั่นไหวใจมีพลัง
พ่อกับแม่ไม่ได้ค่อยๆ เลิก แต่ท่านเลิกในวันนั้นทีเดียว เอาเหล้าไปคืนที่ร้านเจ๊กหง ลูกแป้งไม่ทํา เมื่อคนซื้อมาหา ท่านก็ให้ไปซื้อที่บ้านป้าห่วงตามเดิม ข้าพเจ้ามีความสุขมากนับแต่วันนั้นมา พร้อมทั้งภาคภูมิใจในความรักของพ่อแม่ที่มีต่อข้าพเจ้า ท่านเห็นลูกสําคัญมากกว่าเงิน ยอมมีเงินแต่เพียงพอใช้พอกิน ไม่ยอมให้มีอํานาจเหนือ เมื่อรู้ว่าลูกไม่ชอบ ถ้าฝืนทําต่อไปลูกไม่สบายใจ ท่านก็ไม่ปรารถนาเงินเหล่านั้น
 
 
ชื่อเรื่องเดิม ต้มเหล้าเถื่อน
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม2
 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0014780839284261 Mins