ทาสน้ำเมา
ลูกศิษย์รายหนึ่งของพ่อกับแม่ชื่อ ตาแป๊ะ เมื่อตาแป๊ะเรียนจบชั้นประถมปีที่ ๔ จากโรงเรียนแล้วก็ไม่ทําการงานสิ่งใด ถือว่าครอบครัวของตนมีอันจะกิน ในบ้านมีบ่าวไพร่ทําไร่ไถนาแทนอยู่แล้ว จึงคบเพื่อน เสเพลด้วยกัน หัดกินกะแช่ก่อน กะแช่ทําด้วยน้ำตาลดิบ คือน้ำตาลที่ไหลออกจากงวงดอกของต้นตาลหรือจากจั่น (ดอก) ของต้นมะพร้าว เมื่อเอามีดปาดจะมีน้ำหวานไหลออกมา เอาน้ำหวานนี้ไปเคี่ยวจนแห้งจะเป็นน้ำตาลปี๊บ ตอนที่รองออกมาจากงวงหรือจั่น เรียกน้ำตาลสด ใช้น้ำตาลสดผสมกับรากไม้ ใบไม้บางอย่าง หมักทิ้งไว้วันสองวัน จะมีรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ขึ้นและซ่าๆ กินแล้วมึนเมา
ต่อจากกะแช่ ตาแป๊ะก็เลื่อนชั้นเป็นกินเหล้า แรกๆ ก็กินเฮฮากับเพื่อนฝูงเฉพาะตอนเย็น ครั้นนานวันนานปีเข้าก็กลายเป็นสร่างเมา เมื่อใดเป็นกินซ้ำ เข้าทํานอง เช้าฮา เย็นเฮ ค่ำเซ ดึกสร่าง สว่างซ้ำ ไม่เคยมีใครเห็นตาแป๊ะอยู่ในกิริยาอาการที่เป็นปกติเหมือนคนทั้งหลาย อาศัยกินข้าวของพ่อแม่ตนเองไปวันหนึ่งๆ แล้วก็ขอเงินแม่ซื้อเหล้ากิน ขอไม่ให้ก็จะแอบลักขโมยเอา
คนขี้เมานั้น เมื่อสร่างเมา ใช่ว่าจะแข็งแรง ร่างกายจะยิ่งปวดเมื่อยกว่าคนธรรมดา ไม่มีเรี่ยวแรง ดังนั้นแม้แม่ของตาแป๊ะจะเคี่ยวเข็ญให้ลูกชายไปทํางานพร้อมกับพี่น้องคนอื่นสักเพียงใด ตาแป๊ะก็จะทําทีเป็นออกจากบ้าน แต่ไปไม่เคยถึงไร่นา ไปแวะนอนเสียตามแคร่ใต้ต้นไม้บ้านใครๆ เสีย ท้ายที่สุด จนอายุย่างเข้าวัยหนุ่ม ตาแป๊ะไม่เคยมีความประพฤติดีขึ้น ในตอนหลังแม่ของตาแป๊ะส่งตาแป๊ะไปอยู่กับญาติทางปักษ์ใต้หลายปี กระทั่งได้ผู้หญิงใบ้เป็นภรรยามีลูกด้วยกัน ก็ยังไม่คิดทํามาหากิน หาเงินซื้อเหล้ากินเองไม่ได้ ก็บีบคั้นเอาจากภรรยา ญาติทางฝ่ายภรรยาพากันรังเกียจ จึงช่วยกันขับไล่
ตาแป๊ะกลับมาบ้านเดิม มาอาศัยกินกับมารดา เวลาข้าพเจ้ากลับไปเยี่ยมบิดามารดา ตาแป๊ะพบจะต้องรีบเข้ามาหาขอเงินซื้อเหล้า ไม่ให้ก็ไม่ยอมไป พูดตื้ออยู่ ครั้นให้ไปก็เคยตัว รีบไปซื้อเหล้ากินแล้วจะรีบกลับมาขอใหม่ ไม่มีจบสิ้น จนใครๆ พากันเข็ดขยาด ถ้าเป็นผู้หญิงจะใช้วิธีหนีหน้า ถ้าเป็นผู้ชายเขาก็จะทุบตีเอา ตาแป๊ะจึงจะยอมเดินหนีไป
ระยะท้าย ตาแป๊ะลงทุนปีนหลังคาบ้านมารดา รื้อกระเบื้องหลังคาออก ปีนลงในห้องที่เก็บทรัพย์สินมีค่า ขโมยเงินบ้าง ของมีค่าบ้าง เอาไปขายซื้อเหล้า มารดารู้เข้าถึงกับเป็นลมสิ้นสติ จึงไล่ตาแป๊ะออกจากบ้าน ตาแป๊ะไปอาศัยวัดอยู่ กินข้าวพร้อมลูกศิษย์วัด เด็กๆ ก็พากันรังเกียจ เพราะไม่ยอมช่วยทํางานสิ่งใดให้ทางวัดเลย ไม่ว่าจะเป็นล้างชาม เทกระโถน กวาดลานวัด ไม่ยอมทําทั้งสิ้น
ที่ข้าพเจ้าได้พบอาการน่ารังเกียจประการหนึ่งคือ ขณะที่พระภิกษุแสดงพระธรรมเทศนา ตาแป๊ะจะส่งเสียงว่าพระภิกษุ
“เฮ้ อย่าพูดมากนักซี พูดอยู่ได้องค์เดียว ให้องค์อื่นเค้าพูดมั่ง” ตาแป๊ะจะแผดเสียงดังให้กลบเสียงของพระภิกษุ พูดซ้ำๆ ในทํานองนี้ จนฟังธรรมกันไม่รู้เรื่อง เมื่อเหลืออดเหลือทนกันมากเข้า อุบาสกบางคนก็จะออกมาถือไม้ท่อนใหญ่ทําทีท่าขับไล่ ตาแป๊ะก็จะรีบหนีไปครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็จะกลับมาอีก ทําอาการอย่างเดิม เป็นที่เอือมระอายิ่งนัก
ในที่สุดชาวบ้านที่ไปทําบุญฟังเทศน์ก็ช่วยกันขับไล่ ไม่มีใครยอมให้อะไรๆ กิน ตาแป๊ะจึงกลับไปหาลูกและภรรยาใบ้ทางปักษ์ใต้อีกครั้ง ได้รับข่าวครั้งสุดท้ายว่าถูกญาติทางฝ่ายภรรยายิงตาย ขณะนี้ตายไปได้ประมาณ ๗ ปีแล้ว
นี่เป็นตัวอย่างรายที่หนึ่ง ในชีวิตตาแป๊ะเท่ากับเสียชาติเกิดไปชาติหนึ่ง เกิดมาเป็นคนชาตินี้ขาดทุนไปสิ้นเชิง ข้าพเจ้าเห็นมีความดีอยู่เล็กน้อยตรงที่แม้จะเมาแค่ไหน ตาแป๊ะไม่เคยลบหลู่บุญคุณของพ่อแม่ ข้าพเจ้าซึ่งเป็นครูของเขา พบข้าพเจ้าครั้งใดก็จะรําพันว่า
“ผมมันไม่ดี ครูผู้หญิงกับครูผู้ชายสอนอะไรก็ไม่เชื่อ ไม่ทําตาม นี่หนูหวินรู้มั้ย ครูผู้ชายนะตีผมเจ็บ เจ็บ ตีทีไรเนื้องี้แตกเลย แต่มันก็ทําตามที่ท่านสอนไม่ได้ซักที กลายเป็นไอ้ขี้เมายังงี้ หิวข้าวจังเลย ขอผมซักบาทสองบาทซี” รําพันแล้วลงท้ายขอเงินทุกที
ครั้งใดที่เห็นพ่อของข้าพเจ้า ตาแป๊ะจะกลัวรีบหนีไปห่างๆ ไม่เคยโต้เถียงหรือต่อสู้ ถ้าหนีไม่ทันถูกพ่อข้าพเจ้าเอาไม้ตีก็จะยอมให้ตี แล้วก็ร้องไห้เหมือนเป็นเด็กๆ
“ครูครับ กลัวแล้วครับ ทีนี้ผมจะเป็นคนดีแล้วครับ ไม่กินเหล้าแล้วครับ ฮือ ฮือ ฮือ” ร้องไห้ไป ยกมือป้ายน้ำตาแล้วเดินหนีไป พ่อของข้าพเจ้าก็จะส่งเสียงดุว่าตามหลัง
“ไอ้ลูกศิษย์เกเร สอนไม่เชื่อไม่ฟัง ไปให้พ้น อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ ไอ้แป๊ะไปให้พ้นเชียว”
นี่เป็นความดีเพียงอย่างเดียวของตาแป๊ะ ถ้าคิดสู้ครู เพียงผลักเบาๆ บิดาข้าพเจ้าก็จะต้องถึงหกล้มแน่นอน เพราะท่านชรามากแล้ว ในเวลานั้นเมื่อปี ๒๕๒๔ อันเป็นปีสุดท้ายในชีวิตของครูและศิษย์
อีกรายหนึ่งที่ตกเป็นทาสน้ำเมาอย่างน่าทุเรศยิ่งกว่ารายตาแป๊ะ แต่คนนี้เป็นหญิงชื่อ นางเวียน นางเวียนเป็นสาวสวยทีเดียว กิริยามารยาท การพูดการจาก็เรียบร้อย เป็นคนตําบลอื่นย้ายตามสามีมาอยู่หมู่บ้านเดียวกับข้าพเจ้า สามีเป็นคนหน้าตาดีเช่นกัน ข้าพเจ้าแม้ยังเด็กก็รู้สึกชื่นชมสามีภรรยาคู่นี้อยู่ในใจ
เนื่องจากสามีได้รับมรดกจากป้าเป็นจํานวนมาก ชีวิตในวัยหนุ่มสาวของสามีภรรยาคู่นี้จึงอยู่กันอย่างสุขสมบูรณ์ ไม่ต้องทํามาหากิน มีรายได้จากค่าเช่าดงพุทรา และค่าเช่านาพอกินพอใช้ ทั้งคู่ไม่เพียงซื้ออาหารการกินอย่างธรรมดาๆ แต่กลับซื้อของพิเศษกินกันเป็นประจํานั่นคือ สุรา แรกๆ ก็ดูเหมือนจะกินพอให้เฮฮามีความสุข แต่ท้ายที่สุดยายเวียนก็ติดสุราเป็นอาจิณ มีลูกหลายคนเข้า การงานไม่ได้กระทําเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ใช้วิธีเปิดบ่อนไพ่ในบ้าน เพื่อเก็บค่า ต๋ง เมื่อถูกตํารวจจับหลายครั้งหลายหนก็ต้องเลิก
ต่อจากกะแช่ ตาแป๊ะก็เลื่อนชั้นเป็นกินเหล้า แรกๆ ก็กินเฮฮากับเพื่อนฝูงเฉพาะตอนเย็น ครั้นนานวันนานปีเข้าก็กลายเป็นสร่างเมา เมื่อใดเป็นกินซ้ำ เข้าทํานอง เช้าฮา เย็นเฮ ค่ำเซ ดึกสร่าง สว่างซ้ำ ไม่เคยมีใครเห็นตาแป๊ะอยู่ในกิริยาอาการที่เป็นปกติเหมือนคนทั้งหลาย อาศัยกินข้าวของพ่อแม่ตนเองไปวันหนึ่งๆ แล้วก็ขอเงินแม่ซื้อเหล้ากิน ขอไม่ให้ก็จะแอบลักขโมยเอา
คนขี้เมานั้น เมื่อสร่างเมา ใช่ว่าจะแข็งแรง ร่างกายจะยิ่งปวดเมื่อยกว่าคนธรรมดา ไม่มีเรี่ยวแรง ดังนั้นแม้แม่ของตาแป๊ะจะเคี่ยวเข็ญให้ลูกชายไปทํางานพร้อมกับพี่น้องคนอื่นสักเพียงใด ตาแป๊ะก็จะทําทีเป็นออกจากบ้าน แต่ไปไม่เคยถึงไร่นา ไปแวะนอนเสียตามแคร่ใต้ต้นไม้บ้านใครๆ เสีย ท้ายที่สุด จนอายุย่างเข้าวัยหนุ่ม ตาแป๊ะไม่เคยมีความประพฤติดีขึ้น ในตอนหลังแม่ของตาแป๊ะส่งตาแป๊ะไปอยู่กับญาติทางปักษ์ใต้หลายปี กระทั่งได้ผู้หญิงใบ้เป็นภรรยามีลูกด้วยกัน ก็ยังไม่คิดทํามาหากิน หาเงินซื้อเหล้ากินเองไม่ได้ ก็บีบคั้นเอาจากภรรยา ญาติทางฝ่ายภรรยาพากันรังเกียจ จึงช่วยกันขับไล่
ตาแป๊ะกลับมาบ้านเดิม มาอาศัยกินกับมารดา เวลาข้าพเจ้ากลับไปเยี่ยมบิดามารดา ตาแป๊ะพบจะต้องรีบเข้ามาหาขอเงินซื้อเหล้า ไม่ให้ก็ไม่ยอมไป พูดตื้ออยู่ ครั้นให้ไปก็เคยตัว รีบไปซื้อเหล้ากินแล้วจะรีบกลับมาขอใหม่ ไม่มีจบสิ้น จนใครๆ พากันเข็ดขยาด ถ้าเป็นผู้หญิงจะใช้วิธีหนีหน้า ถ้าเป็นผู้ชายเขาก็จะทุบตีเอา ตาแป๊ะจึงจะยอมเดินหนีไป
ระยะท้าย ตาแป๊ะลงทุนปีนหลังคาบ้านมารดา รื้อกระเบื้องหลังคาออก ปีนลงในห้องที่เก็บทรัพย์สินมีค่า ขโมยเงินบ้าง ของมีค่าบ้าง เอาไปขายซื้อเหล้า มารดารู้เข้าถึงกับเป็นลมสิ้นสติ จึงไล่ตาแป๊ะออกจากบ้าน ตาแป๊ะไปอาศัยวัดอยู่ กินข้าวพร้อมลูกศิษย์วัด เด็กๆ ก็พากันรังเกียจ เพราะไม่ยอมช่วยทํางานสิ่งใดให้ทางวัดเลย ไม่ว่าจะเป็นล้างชาม เทกระโถน กวาดลานวัด ไม่ยอมทําทั้งสิ้น
ที่ข้าพเจ้าได้พบอาการน่ารังเกียจประการหนึ่งคือ ขณะที่พระภิกษุแสดงพระธรรมเทศนา ตาแป๊ะจะส่งเสียงว่าพระภิกษุ
“เฮ้ อย่าพูดมากนักซี พูดอยู่ได้องค์เดียว ให้องค์อื่นเค้าพูดมั่ง” ตาแป๊ะจะแผดเสียงดังให้กลบเสียงของพระภิกษุ พูดซ้ำๆ ในทํานองนี้ จนฟังธรรมกันไม่รู้เรื่อง เมื่อเหลืออดเหลือทนกันมากเข้า อุบาสกบางคนก็จะออกมาถือไม้ท่อนใหญ่ทําทีท่าขับไล่ ตาแป๊ะก็จะรีบหนีไปครู่หนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็จะกลับมาอีก ทําอาการอย่างเดิม เป็นที่เอือมระอายิ่งนัก
ในที่สุดชาวบ้านที่ไปทําบุญฟังเทศน์ก็ช่วยกันขับไล่ ไม่มีใครยอมให้อะไรๆ กิน ตาแป๊ะจึงกลับไปหาลูกและภรรยาใบ้ทางปักษ์ใต้อีกครั้ง ได้รับข่าวครั้งสุดท้ายว่าถูกญาติทางฝ่ายภรรยายิงตาย ขณะนี้ตายไปได้ประมาณ ๗ ปีแล้ว
นี่เป็นตัวอย่างรายที่หนึ่ง ในชีวิตตาแป๊ะเท่ากับเสียชาติเกิดไปชาติหนึ่ง เกิดมาเป็นคนชาตินี้ขาดทุนไปสิ้นเชิง ข้าพเจ้าเห็นมีความดีอยู่เล็กน้อยตรงที่แม้จะเมาแค่ไหน ตาแป๊ะไม่เคยลบหลู่บุญคุณของพ่อแม่ ข้าพเจ้าซึ่งเป็นครูของเขา พบข้าพเจ้าครั้งใดก็จะรําพันว่า
“ผมมันไม่ดี ครูผู้หญิงกับครูผู้ชายสอนอะไรก็ไม่เชื่อ ไม่ทําตาม นี่หนูหวินรู้มั้ย ครูผู้ชายนะตีผมเจ็บ เจ็บ ตีทีไรเนื้องี้แตกเลย แต่มันก็ทําตามที่ท่านสอนไม่ได้ซักที กลายเป็นไอ้ขี้เมายังงี้ หิวข้าวจังเลย ขอผมซักบาทสองบาทซี” รําพันแล้วลงท้ายขอเงินทุกที
ครั้งใดที่เห็นพ่อของข้าพเจ้า ตาแป๊ะจะกลัวรีบหนีไปห่างๆ ไม่เคยโต้เถียงหรือต่อสู้ ถ้าหนีไม่ทันถูกพ่อข้าพเจ้าเอาไม้ตีก็จะยอมให้ตี แล้วก็ร้องไห้เหมือนเป็นเด็กๆ
“ครูครับ กลัวแล้วครับ ทีนี้ผมจะเป็นคนดีแล้วครับ ไม่กินเหล้าแล้วครับ ฮือ ฮือ ฮือ” ร้องไห้ไป ยกมือป้ายน้ำตาแล้วเดินหนีไป พ่อของข้าพเจ้าก็จะส่งเสียงดุว่าตามหลัง
“ไอ้ลูกศิษย์เกเร สอนไม่เชื่อไม่ฟัง ไปให้พ้น อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ ไอ้แป๊ะไปให้พ้นเชียว”
นี่เป็นความดีเพียงอย่างเดียวของตาแป๊ะ ถ้าคิดสู้ครู เพียงผลักเบาๆ บิดาข้าพเจ้าก็จะต้องถึงหกล้มแน่นอน เพราะท่านชรามากแล้ว ในเวลานั้นเมื่อปี ๒๕๒๔ อันเป็นปีสุดท้ายในชีวิตของครูและศิษย์
อีกรายหนึ่งที่ตกเป็นทาสน้ำเมาอย่างน่าทุเรศยิ่งกว่ารายตาแป๊ะ แต่คนนี้เป็นหญิงชื่อ นางเวียน นางเวียนเป็นสาวสวยทีเดียว กิริยามารยาท การพูดการจาก็เรียบร้อย เป็นคนตําบลอื่นย้ายตามสามีมาอยู่หมู่บ้านเดียวกับข้าพเจ้า สามีเป็นคนหน้าตาดีเช่นกัน ข้าพเจ้าแม้ยังเด็กก็รู้สึกชื่นชมสามีภรรยาคู่นี้อยู่ในใจ
เนื่องจากสามีได้รับมรดกจากป้าเป็นจํานวนมาก ชีวิตในวัยหนุ่มสาวของสามีภรรยาคู่นี้จึงอยู่กันอย่างสุขสมบูรณ์ ไม่ต้องทํามาหากิน มีรายได้จากค่าเช่าดงพุทรา และค่าเช่านาพอกินพอใช้ ทั้งคู่ไม่เพียงซื้ออาหารการกินอย่างธรรมดาๆ แต่กลับซื้อของพิเศษกินกันเป็นประจํานั่นคือ สุรา แรกๆ ก็ดูเหมือนจะกินพอให้เฮฮามีความสุข แต่ท้ายที่สุดยายเวียนก็ติดสุราเป็นอาจิณ มีลูกหลายคนเข้า การงานไม่ได้กระทําเป็นชิ้นเป็นอัน ก็ใช้วิธีเปิดบ่อนไพ่ในบ้าน เพื่อเก็บค่า ต๋ง เมื่อถูกตํารวจจับหลายครั้งหลายหนก็ต้องเลิก
นี่คือความจริงอย่างหนึ่ง ถ้าเริ่มด้วยอบายมุขแล้ว เรื่องที่ตามมาก็จะหนีไม่พ้นเรื่องเดียวกัน คือเรื่องบาปๆ ทั้งนั้น ไม่มีสติปัญญาจะคิดถึงเรื่องดีๆ ยิ่งลูกเติบโตขึ้นต้องเล่าเรียน รายจ่ายก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ต้องแบ่งไร่นาขาย แบ่งขายจนกระทั่งบ้าน เคยมีเรือนไทยฝากระดานหลายหลังก็ขายเสียจนเหลือเพียงหลังเดียว ยังดีที่สามีแม้จะชอบกินเหล้าก็ยังไม่ติดงอมแงมเหมือนภรรยา ยังพอทํานาบ้าง ทําไร่อ้อยบ้าง ในนาแปลงเล็กๆ ที่เหลืออยู่
ถึงจะมีลูกแล้วหลายคนทั้งหญิงและชาย ยายเวียนก็ไม่เลิกดื่มสุรา จะไปรับจ้างได้เงินมามากน้อยเพียงใด ก็จะใช้ซื้อสุรากินจนหมด กินเมาแล้วก็จะหมดความละอาย ถึงกับชักชวนชายอื่นให้ร่วมหลับนอนกับตน นับเป็นเรื่องประหลาด คนขี้เมาส่วนใหญ่เมามากเข้ามักไม่สนใจเรื่องทางเพศ แต่รายนี้เหมือนมีเวรกรรมเก่ากําเริบ ถ้าเมาได้ที่ครั้งใดจะหมดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ถึงกับนอนตามพื้นดินข้างถนนหนทาง มีอาการต้องการเรื่องเพศอย่างรุนแรง จึงมีคนเลวทรามไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทํากรรมกาเมสุมิจฉาจารกับยายเวียนอยู่เสมอๆ
ข้าพเจ้าเห็นหน้าแกครั้งใดก็รู้สึกสลดใจ ใบหน้านี้เมื่อก่อนใครๆ ก็นิยมชมชื่นว่างดงาม ปัจจุบันผิวคล้ำแห้ง ในดวงตามีความหิวไม่รู้จบ
ครั้งที่บิดาข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ และข้าพเจ้าไปปรนนิบัติดูแลท่าน มีสุนัขข้างบ้านตัวหนึ่ง เราเรียกชื่อมันว่า ไอ้ตี๊ใส่เสื้อ ตั้งชื่อตามคุณสมบัติของมัน คือสุนัขตัวนี้ถ้าใครแต่งตัวสวยงามเรียบร้อยมันจะไม่เห่าและ ไม่กัด แต่ถ้าใครไม่ใส่เสื้อหรือแต่งกายมอมแมม มันจะทั้งเห่าและกัดจริงๆ เป็นแผลเหวอะหวะทีเดียว
วันหนึ่งเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ เจ้าตี๊ใส่เสื้อมันลากผ้านุ่งผู้หญิงมาด้วยผืนหนึ่ง เอาปากขย้ำฟัดไปเหวี่ยงมา คํารามเสียฮื่อๆ แฮ่ๆ พร้อมกันไป ข้าพเจ้าและเจ้าของมันเดินออกไปดู เห็นเป็นผ้าถุงยังดีอยู่ ไม่ใช่ผ้าขี้ริ้ว และไม่ใช่ผ้าในบ้านพวกเรา เจ้าของสุนัขจึงร้องอุทานว่า
“ตายจริง ไอ้ตี๊ใส่เสื้อมันไปเอาผ้านุ่งใครมา ต้องเอามาจากตัวคนนุ่งแน่ๆ มันไม่เคยเอาผ้าตามราวมากัดเล่น ต้องเป็นผ้าที่มีกลิ่นคน ผ้าที่ตากตามราวเป็นผ้าซักแล้ว มีกลิ่นผงซักฟอก มันไม่สนใจ”
ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “พี่ลองเดินออกไปถามๆ ใครทางหมู่บ้านล่างซิ คงจะรู้ว่าเป็นผ้านุ่งของใคร”
เจ้าของเจ้าตี๊ฯ หายไปครู่หนึ่งกลับมานั่งหัวเราะขันเป็นการใหญ่ ไม่เป็นอันเล่าให้ข้าพเจ้ารู้เรื่อง สัก
ถึงจะมีลูกแล้วหลายคนทั้งหญิงและชาย ยายเวียนก็ไม่เลิกดื่มสุรา จะไปรับจ้างได้เงินมามากน้อยเพียงใด ก็จะใช้ซื้อสุรากินจนหมด กินเมาแล้วก็จะหมดความละอาย ถึงกับชักชวนชายอื่นให้ร่วมหลับนอนกับตน นับเป็นเรื่องประหลาด คนขี้เมาส่วนใหญ่เมามากเข้ามักไม่สนใจเรื่องทางเพศ แต่รายนี้เหมือนมีเวรกรรมเก่ากําเริบ ถ้าเมาได้ที่ครั้งใดจะหมดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ถึงกับนอนตามพื้นดินข้างถนนหนทาง มีอาการต้องการเรื่องเพศอย่างรุนแรง จึงมีคนเลวทรามไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ทํากรรมกาเมสุมิจฉาจารกับยายเวียนอยู่เสมอๆ
ข้าพเจ้าเห็นหน้าแกครั้งใดก็รู้สึกสลดใจ ใบหน้านี้เมื่อก่อนใครๆ ก็นิยมชมชื่นว่างดงาม ปัจจุบันผิวคล้ำแห้ง ในดวงตามีความหิวไม่รู้จบ
ครั้งที่บิดาข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ และข้าพเจ้าไปปรนนิบัติดูแลท่าน มีสุนัขข้างบ้านตัวหนึ่ง เราเรียกชื่อมันว่า ไอ้ตี๊ใส่เสื้อ ตั้งชื่อตามคุณสมบัติของมัน คือสุนัขตัวนี้ถ้าใครแต่งตัวสวยงามเรียบร้อยมันจะไม่เห่าและ ไม่กัด แต่ถ้าใครไม่ใส่เสื้อหรือแต่งกายมอมแมม มันจะทั้งเห่าและกัดจริงๆ เป็นแผลเหวอะหวะทีเดียว
วันหนึ่งเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ เจ้าตี๊ใส่เสื้อมันลากผ้านุ่งผู้หญิงมาด้วยผืนหนึ่ง เอาปากขย้ำฟัดไปเหวี่ยงมา คํารามเสียฮื่อๆ แฮ่ๆ พร้อมกันไป ข้าพเจ้าและเจ้าของมันเดินออกไปดู เห็นเป็นผ้าถุงยังดีอยู่ ไม่ใช่ผ้าขี้ริ้ว และไม่ใช่ผ้าในบ้านพวกเรา เจ้าของสุนัขจึงร้องอุทานว่า
“ตายจริง ไอ้ตี๊ใส่เสื้อมันไปเอาผ้านุ่งใครมา ต้องเอามาจากตัวคนนุ่งแน่ๆ มันไม่เคยเอาผ้าตามราวมากัดเล่น ต้องเป็นผ้าที่มีกลิ่นคน ผ้าที่ตากตามราวเป็นผ้าซักแล้ว มีกลิ่นผงซักฟอก มันไม่สนใจ”
ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “พี่ลองเดินออกไปถามๆ ใครทางหมู่บ้านล่างซิ คงจะรู้ว่าเป็นผ้านุ่งของใคร”
เจ้าของเจ้าตี๊ฯ หายไปครู่หนึ่งกลับมานั่งหัวเราะขันเป็นการใหญ่ ไม่เป็นอันเล่าให้ข้าพเจ้ารู้เรื่อง สัก
พักจึงพอเล่าไปหัวเราะไปว่า
“หนูหวิน ผ้านุ่งอีเวียนมัน มันกินเหล้าเมา ไอ้ตี๊ฯ มันเกลียดคนขี้เมานัก มันจึงวิ่งกวดไล่กัด งับเอาชายผ้านุ่งนังเวียนมันเข้า นางเวียนมันกลัวหมา ไม่รู้จะทํายังไง มันเลยแก้ผ้าออกให้ไอ้ตี๊คาบเอาไป มันก็เดินแก้ผ้าสบายใจเฉิบกลับบ้าน ใครๆ เห็น มันไม่มีอาย คนเห็นนั้นแหละต้องอายมัน มันเที่ยวเดินแก้ผ้าอวดคนเค้าไปทั่วว่า หมาแย่งผ้านุ่งมัน”
นี่เมาเสียลืมอาย เห็นการเปลือยกายเป็นของโก้เก๋
ลูกๆ ของนางเวียนมีหน้าตาแปลกๆ กันไป ไม่ใคร่เหมือนพ่อ เหมือนแม่ แต่กลับไปเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ทําให้ชาวบ้านดูออกว่าผู้ชายคนไหนประกอบกรรมกาเมฯ กับแกบ้าง สามีของยายเวียนแรกๆ ก็เป็นโกรธเป็นแค้นเวลาลูกมามีหน้าตาเหมือนชายอื่น ไม่ยอมช่วยเลี้ยงดู ไม่หยิบจับอุ้มชู แต่เมื่อเด็กโตขึ้นเรียก “พ่อ” ทั้งพวกชายชู้เหล่านั้นก็ไม่มีใครยอมรับเป็นพ่อ สามียายเวียนก็เกิดเมตตาเลี้ยงเป็นลูกของตนต่อไป
มีอยู่ครั้งหนึ่ง แกเห็นภรรยาไปเมานอนตามข้างถนน แกโกรธมากถึงกับใช้เท้ากระทืบจนกระทั่งกระเพาะปัสสาวะนางเวียนแตก ต้องนำไปส่งโรงพยาบาลรักษากันเป็นเดือน กลับมาก็เป็นขี้เมาตามเดิม
คนขี้เมา ไม่มีศักดิ์ศรี สุนัขมันยังไม่ให้เกียรติ รายนี้ข้าพเจ้าคงไม่ต้องแจกแจงให้ท่านฟังกระมังว่าโทษของการติดสิ่งเสพติดในชีวิตปัจจุบันก็เป็นถึงขนาดนี้ ขาดความละอาย สามารถทําความชั่วอื่นๆ ตามมาได้หลายอย่างหลายประการ คนไม่อายก็ไม่ต้องกลัวบาปขาด หิริโอตตัปปะ จะทํากรรมลามกอย่างใดก็ได้ ไม่อับอายเฉพาะตนเองเท่านั้น แต่พลอยให้ต้องอายไปถึงคนในครอบครัวด้วย
ข้าพเจ้าเห็นหน้าลูกสาวยายเวียนแล้วรู้สึกสงสารแกจริงๆ เป็นเด็กหน้าตาสวยงามมาก มีเค้าความงามของแม่เมื่อสาวๆ รวมกับเค้าของชายชู้ซึ่งเป็นคนหน้าตาดี นี่ก็เป็นสาวเต็มตัวแล้ว ยังไม่มีใครกล้ามารักหรือมาสู่ขอ คงจะไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่เห็นแม่เป็นคนอย่างนี้
ดูเถิด ชีวิตของคนที่ตกเป็นทาสน้ำเมา เกิดมาแล้วล้างผลาญ ทําลายตนเอง ขาดทุนชีวิตแท้ๆ เวลาที่มีอยู่ก็อยู่อย่างยากแค้น อดอยาก ไม่มีอนาคต เป็นที่ดูถูกดูหมิ่นของคนทั้งหลาย...อย่าว่าแต่คนเลย แม้สุนัขมันยังไม่ให้เกียรติ!
ใครก็ตามที่รู้ตัวว่าตัวเองตกเป็นทาสน้ำเมา ขอให้เลิกเสียเถอะตัดอกตัดใจ ใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตสร้างความดี สร้างบุญบารมีติดตัวไว้เป็นเสบียงในวัฏสงสารดีกว่า
แต่ว่า...ตกเป็นทาสสุราเสียแล้ว จะมีกําลังใจพอที่จะเลิกหรือเปล่านะซี !
“หนูหวิน ผ้านุ่งอีเวียนมัน มันกินเหล้าเมา ไอ้ตี๊ฯ มันเกลียดคนขี้เมานัก มันจึงวิ่งกวดไล่กัด งับเอาชายผ้านุ่งนังเวียนมันเข้า นางเวียนมันกลัวหมา ไม่รู้จะทํายังไง มันเลยแก้ผ้าออกให้ไอ้ตี๊คาบเอาไป มันก็เดินแก้ผ้าสบายใจเฉิบกลับบ้าน ใครๆ เห็น มันไม่มีอาย คนเห็นนั้นแหละต้องอายมัน มันเที่ยวเดินแก้ผ้าอวดคนเค้าไปทั่วว่า หมาแย่งผ้านุ่งมัน”
นี่เมาเสียลืมอาย เห็นการเปลือยกายเป็นของโก้เก๋
ลูกๆ ของนางเวียนมีหน้าตาแปลกๆ กันไป ไม่ใคร่เหมือนพ่อ เหมือนแม่ แต่กลับไปเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ทําให้ชาวบ้านดูออกว่าผู้ชายคนไหนประกอบกรรมกาเมฯ กับแกบ้าง สามีของยายเวียนแรกๆ ก็เป็นโกรธเป็นแค้นเวลาลูกมามีหน้าตาเหมือนชายอื่น ไม่ยอมช่วยเลี้ยงดู ไม่หยิบจับอุ้มชู แต่เมื่อเด็กโตขึ้นเรียก “พ่อ” ทั้งพวกชายชู้เหล่านั้นก็ไม่มีใครยอมรับเป็นพ่อ สามียายเวียนก็เกิดเมตตาเลี้ยงเป็นลูกของตนต่อไป
มีอยู่ครั้งหนึ่ง แกเห็นภรรยาไปเมานอนตามข้างถนน แกโกรธมากถึงกับใช้เท้ากระทืบจนกระทั่งกระเพาะปัสสาวะนางเวียนแตก ต้องนำไปส่งโรงพยาบาลรักษากันเป็นเดือน กลับมาก็เป็นขี้เมาตามเดิม
คนขี้เมา ไม่มีศักดิ์ศรี สุนัขมันยังไม่ให้เกียรติ รายนี้ข้าพเจ้าคงไม่ต้องแจกแจงให้ท่านฟังกระมังว่าโทษของการติดสิ่งเสพติดในชีวิตปัจจุบันก็เป็นถึงขนาดนี้ ขาดความละอาย สามารถทําความชั่วอื่นๆ ตามมาได้หลายอย่างหลายประการ คนไม่อายก็ไม่ต้องกลัวบาปขาด หิริโอตตัปปะ จะทํากรรมลามกอย่างใดก็ได้ ไม่อับอายเฉพาะตนเองเท่านั้น แต่พลอยให้ต้องอายไปถึงคนในครอบครัวด้วย
ข้าพเจ้าเห็นหน้าลูกสาวยายเวียนแล้วรู้สึกสงสารแกจริงๆ เป็นเด็กหน้าตาสวยงามมาก มีเค้าความงามของแม่เมื่อสาวๆ รวมกับเค้าของชายชู้ซึ่งเป็นคนหน้าตาดี นี่ก็เป็นสาวเต็มตัวแล้ว ยังไม่มีใครกล้ามารักหรือมาสู่ขอ คงจะไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่เห็นแม่เป็นคนอย่างนี้
ดูเถิด ชีวิตของคนที่ตกเป็นทาสน้ำเมา เกิดมาแล้วล้างผลาญ ทําลายตนเอง ขาดทุนชีวิตแท้ๆ เวลาที่มีอยู่ก็อยู่อย่างยากแค้น อดอยาก ไม่มีอนาคต เป็นที่ดูถูกดูหมิ่นของคนทั้งหลาย...อย่าว่าแต่คนเลย แม้สุนัขมันยังไม่ให้เกียรติ!
ใครก็ตามที่รู้ตัวว่าตัวเองตกเป็นทาสน้ำเมา ขอให้เลิกเสียเถอะตัดอกตัดใจ ใช้เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตสร้างความดี สร้างบุญบารมีติดตัวไว้เป็นเสบียงในวัฏสงสารดีกว่า
แต่ว่า...ตกเป็นทาสสุราเสียแล้ว จะมีกําลังใจพอที่จะเลิกหรือเปล่านะซี !
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม2