มารยาหญิง
ชายหญิงคู่นี้เป็นครูในโรงเรียนที่ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าสถานศึกษาทั้งคู่ ยังไม่ถึงขั้นผิดศีลชนิดครบองค์กรรมบถ ฝ่ายชายเป็นครูสอนวิชาช่างไม้ ยังเป็นหนุ่มโสด แต่มีอายุค่อนข้างมาก ฝ่ายหญิงย้ายมาจากจังหวัดเพชรบูรณ์ มีสามีแล้ว มีลูกชายเล็กๆ คนหนึ่ง
ตอนสายวันหนึ่ง ครูหัวหน้าหมวดวิชาหัตถศึกษา (สมัยนั้น) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นต้นของครูฝ่ายชายเข้ามารายงานข้าพเจ้า
“อาจารย์คะ ครูเกษรา (ชื่อสมมุติ) กับครูพิชิต (ใกล้เคียงชื่อจริง) สองคนนี่หนูว่าเค้าสนิทสนมกันผิดปกติไปหน่อยค่ะอาจารย์ ผู้หญิงไม่ยอมทํางานที่ห้องพักของตน แต่กลับไปนั่งทํางานในห้องช่างไม้เป็น ประจํา อาจารย์ว่าผิดสังเกตมั้ยคะ”
“คุณสังเกตเห็นเหมือนกันหรือ พี่ว่าจะบอกคุณอยู่พอดี ฝ่ายชายเป็นลูกน้องคุณนี่ ไม่ลองถามดูหน่อยล่ะ พี่ชักเบื่อเรื่องพรรค์นี้จัง นี่หลายรายเต็มที่” ข้าพเจ้าตอบ
“หนูถามฝ่ายชายแล้ว เค้าบอกไม่มีอะไร เค้าก็เบื่อที่ฝ่ายหญิงมายุ่งกะเค้าทุกวันนี้ หนูไม่รู้จะบอกฝ่ายหญิงยังไง เค้าไม่ใช่ลูกน้องหนู แล้วเราก็อายุพอๆ กัน คงจะเตือนกันยากน่ะค่ะ”
ข้าพเจ้าจึงรับปากจะถามฝ่ายหญิงดู ได้รับคําตอบว่า
“เราสองคนไม่มีอะไรกันหรอกค่ะอาจารย์” เธอพร้อมหัวเราะอย่างขบขัน และพูดต่อ
“หนูนับถือพี่พิชิตเหมือนพี่ชายจริงๆ ค่ะอาจารย์”
“แล้วทําไมต้องเจาะจงนับถือเฉพาะครูพิชิตล่ะ คนอื่นที่นิสัยดีๆ ก็มีอีกหลายคนที่น่านับถือกว่าน่ะ”
ถูกคําถามรุกตั้งตัวไม่ทัน ครูเกษราถึงกับนิ่งหน้าซีดอย่างสังเกตได้ชัด ข้าพเจ้าจ้องหน้าคาดคั้นเอาคําตอบ เธอก้มหน้าลงหลบสายตา กล่าวอ้อมแอ้มแผ่วเบาว่า
“หนูบอกความจริงให้อาจารย์ทราบแล้ว อาจารย์อย่าตําหนิหนูนะคะ”
“บอกไปเถอะ พี่ไม่ว่าอะไรง่ายๆ หรอก มีอะไรหรือ”
“ตอนหนูอยู่ต่างจังหวัดน่ะค่ะ หนูมีคนรักเดิมอยู่คนหนึ่ง แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ชอบเพราะจนมาก ท่านขอร้องให้หนูแต่งงานกับสามีของหนู คนรักของหนูเค้าเห็นว่าเค้าไม่มีอะไรเท่าเทียมสามีของหนูเลย เค้าก็ขอให้หนูลืมเค้า แล้วเค้าก็หนีจากหนูไป พอหนูย้ายมาที่นี่เห็นพี่พิชิตเข้าเป็นครั้งแรก หนูตกใจพูดไม่ออกเลยค่ะ เหมือนกันมาก เห็นแล้วแทบช็อกน่ะค่ะ หนูเลยรู้สึกผูกพัน แต่ก็ไม่ได้คิดนอกเหนือไปจากนั้นนะคะ เพราะสามีของหนูเป็นคนดีมาก ไม่มีที่ตําหนิเลย หนูจะคิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไงคะ”
“พี่รู้ ได้พบกันไม่กี่ครั้ง พี่ยังว่าผู้ชายอย่างพ่อบ้านหนูเป็นคนหาได้ยากมาก จะมีบกพร่องอยู่ก็ตรงที่งานของเค้าต้องเดินทางออกต่างจังหวัดบ่อย หนูอาจเงียบเหงาไปบ้าง แต่ก็มีลูกอยู่ด้วยนี่นะ”
“ไม่เหงาหรอกค่ะ บ้านของหนูอยู่ไม่ไกลจากบ้านคุณพ่อคุณแม่ของสามี พี่สาวของเค้าก็เป็นสาวโสด ทุกคนเอ็นดูรักใคร่หนูกับลูกมาก เวลาสามีไม่อยู่ หนูกับลูกจะไปอยู่ที่บ้านคุณปู่คุณย่าเป็นประจํา”
ข้าพเจ้าพูดให้สติตักเตือนอีกเล็กน้อย อนุญาตให้เคารพนับถือกันได้ แต่ไม่ควรจะอยู่ใกล้ชิด จะถูกครหานินทา เกษรารับคํา
เกษราทําตามคําขอร้องของข้าพเจ้า ไม่ไปนั่งประจําอยู่ในห้องทํางานของครูพิชิต เพียงแต่ซื้ออาหารไปรับประทานด้วยกันในตอนกลางวัน และชอบซื้อหรือทําอาหารอร่อยๆ แปลกๆ เป็นพิเศษมาฝากฝ่ายชาย โดยอ้างเหตุบอกใครๆ ว่า
“สงสารพี่พิชิตเค้า ไม่มีแม่บ้าน เอะอะก็ซื้อกับข้าวสําเร็จที่ตลาดกิน ไม่อร่อยไม่สะอาดแล้วก็ซ้ำซากเราพอมีฝีมือเรื่องอาหารอยู่มั่ง เลยทํามาให้ลองกิน แหมเอามาฝากที่ไรกินเกลี้ยงทุกที”
เพื่อนครูจึงมักแอบนินทาลับหลังว่า “จะไม่เกลี้ยงยังไง ของฟรี แล้วก็ของดีๆ ทั้งนั้น”
เวลาผ่านไป ไม่มีใครสนใจนัก เพราะเกษราจะพูดจาอ่อนหวานกับใครๆ อยู่ทั่วไป จึงทําให้เพื่อนครูทุกคนรักใคร่ ไม่มีใครคอยจับผิด นอกจากนั้นเมื่อสามีของเกษรากลับมาจากต่างจังหวัด ระยะที่พักอยู่ที่บ้าน จะพาลูกชายมารับมาส่งภรรยาอยู่เป็นประจํา เกษราเองก็พาสามีมารู้จักกับครูพิชิต พูดคุยกันเหมือนญาติสนิท ทําให้ข้าพเจ้าค่อยสบายใจไปด้วย
อย่างไรก็ดี เวลานั้นข้าพเจ้าได้ไปศึกษาธรรมปฏิบัติกับคุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และพระเดชพระคุณหลวงพ่อ (เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย) แล้ว แม้ยังปฏิบัติธรรมไม่ได้ผลอะไรเลย แต่ก็ได้ยินได้ฟังข้อธรรมคําสั่งสอนที่ลุ่มลึกต่างๆ ทําให้มีความปรารถนาดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา เวลามีการประชุมทุกครั้งก่อนเลิก ข้าพเจ้าจะต้องกล่าวอบรมตักเตือนพวกเขาเสมอ ใครที่พอมีปัญญามีบุญเก่ามามาก ฟังแล้วก็จะชื่นอกชื่นใจ ด้วยธรรมโอสถที่ข้าพเจ้านําจากคุณยายและพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาฝาก ใครที่บาปหนาปัญญาทรามก็จะกล่าวประชดประชันลับหลัง เช่น ไปสอนคนในบ้านซะก่อนไป๊ สอนให้คนในบ้านทําให้ได้ซะก่อน แล้วค่อยมาสอนพวกเรา แล้วก็จะหัวเราะเย้ยหยันกันไปตามวิสัยของคนอันธพาลและลักษณะของเดนครูที่ถูกโรงเรียนเดิมไล่ส่งมา
แรกๆ เมื่อข้าพเจ้าทราบปฏิกิริยาเหล่านี้ เคยนึกเสียใจว่า ทําดีด้วยกลับไม่เห็นความหวังดี แต่ต่อมาข้าพเจ้าก็ปลอบใจตนเองได้ว่า พระพุทธองค์ยังทรงกล่าวว่าคนมี ๔ จําพวก เหมือนดอกบัวสี่เหล่า ไอ้พวกถูกผีเจาะปากมาให้พูดพวกนี้มันพวกปทปรมะ บัวเต่าปลากิน ไม่มีทางโผล่พ้นผิวน้ำ ปล่อยไปตามเรื่อง อยากไปอยู่นรกขุมไหนก็ช่างมัน เราก็พูดให้พวกคนที่มีกิเลสเบาบางฟังก็แล้วกัน
อีกประการที่ข้าพเจ้าใช้อุบายคิดสอนตนเองก็คือ เรากินเงินเดือนของทางราชการ เค้าจ้างให้เรามาคอยดูแลการทํางานของครูทั้งหลายที่อยู่ในปกครอง เราต้องอบรมสั่งสอนให้เต็มกําลังของเรา จึงเรียกว่าทํางานให้เขาครบถ้วนตามหน้าที่ที่รับมอบมาไม่ใช่โกงราชการกินเอาเงินเดือนมากๆ แต่งานไม่ทํา เมื่อเราทําหน้าที่ของเราเต็มที่ดีที่สุดแล้ว ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่หวังผล ให้พอใจเพียงว่าทํางานสมเงินเดือนหรือเกินเงินเดือนแล้วก็แล้วกัน อย่าหวังว่าผลจะออกมายังงั้นยังงี้
ด้วยอุบายปลอบใจดังนี้ ข้าพเจ้าจึงพออดพอทนอยู่ในโรงเรียนที่มีครูด้อยคุณภาพมากๆ เหล่านั้น
ระยะนั้นครูเกษรามาขอบอกบุญต่อเพื่อนๆ อ้างว่าญาติผู้ใหญ่มีศักดิ์เป็นป้าให้เธอช่วยเช่าพระพุทธรูปองค์ใหญ่จะนําไปเป็นพระประธานในศาลาวัดแห่งหนึ่ง ให้เงินเธอมาหนึ่งหมื่นห้าพันบาท เธอไปดูจากร้านหล่อพระหลายแห่ง ถ้าเพิ่มเงินอีกเพียงไม่กี่พันบาท จะได้พระพุทธรูปองค์งามกว่ากันมากข้าพเจ้าอนุญาต และบอกว่าควรนําพระพุทธรูปที่เช่านั้นมาตั้งฉลองที่โรงเรียนด้วย ข้าพเจ้าจะกล่าวนําถวายวัดให้ เพื่อนครู และนักเรียนที่ร่วมกันทําบุญจะได้ชื่นอกชื่นใจ ใครไม่ได้ทําก็จะพลอยอนุโมทนาด้วยกัน
ในการเดินทางไปดูพระพุทธรูป เธอมาขออนุญาตให้ครูพิชิตไปเป็นเพื่อนด้วย เพราะเป็นครูช่าง และเธอเป็นครูผู้หญิงขับรถคนเดียว ตระเวนไปที่โน่นที่นี่อาจไม่ปลอดภัย ข้าพเจ้าให้เกษราตกลงกับครูพิชิตเอง ทั้งคู่ไปดําเนินงานบุญเรื่องดังกล่าวจนเสร็จสิ้นเรียบร้อยทุกขั้นตอน ข้าพเจ้าก็ทําพิธีต่างๆ ให้ตามที่เห็นสมควร
หลังจากนั้นราว ๒ สัปดาห์ ครูเกษราก็ลาป่วยหลายวัน ข้าพเจ้าไม่สงสัยสิ่งใด เพราะคิดว่าเธอคงตรากตรําขับรถตระเวนเป็นสัปดาห์ตากแดดบ้างฝนบ้าง ก็อาจเป็นไข้หวัดใหญ่ที่กําลังระบาดแพร่หลายอยู่ มาผิดสังเกตตอนที่เกษรามาทํางาน เคยพูดจาเล่นหัวกับเพื่อนฝูง มีอารมณ์ร่าเริงสนุกสนาน กลับเก็บตัวเงียบ เวลาใครพูดด้วยก็ตื่นตระหนกตกใจง่าย ใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนมีความผิดติดตัว คอยหลบๆ ซ่อนๆ ท้ายที่สุดวันหนึ่งเธอมาขอพูดคุยกับข้าพเจ้า
ฟังคําพูดของเกษราแล้ว ข้าพเจ้าจับความไม่ได้ว่าเธอต้องการให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือเรื่องอะไร พูดจาวกวน ซ้ำไปซ้ำมา เรียกภาษาชาวบ้าน คือเหมือน “คนบ้า” แต่เรียกภาษาราชการคือ “มีอาการทาง ประสาท” จับได้อยู่ประโยคเดียวคือ
“อาจารย์คะ หนูกับพี่พิชิตไม่มีอะไรกันนะคะ แต่พี่พิชิตใจร้าย เป็นคนใจร้าย !”
เธอจะพูดซ้ำว่า “พิชิตใจร้าย” หลายๆ ครั้ง แล้วก็ร้องไห้ พอถูกซักว่าใจร้ายยังไง ก็จะบอกว่าไม่มีอะไร ไม่มีอะไรกันจริงๆ นั่งคุยเป็นชั่วโมง ไม่ยอมจากข้าพเจ้าไปไหน ข้าพเจ้าต้องแอบบอกให้เพื่อนครูผู้อื่นมาชวนออกไปจากห้องที่ทํางานของข้าพเจ้า
แต่เธอก็จะยอมไปนั่งอยู่แค่ห้องผู้ช่วยของข้าพเจ้าเท่านั้น ไม่พูดอะไรกับใคร บอกแต่ว่า
“ขออยู่ใกล้ๆ ท่านผู้อํานวยการฯ เพราะรู้สึกสบายใจดี” เธอไม่ยอมสอนนักเรียน ไม่ยอมทําอะไรทั้งสิ้น
พอมีแขกมาพบข้าพเจ้า ส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครองนักเรียนบ้าง เป็นผู้นําเงินมาบริจาคเป็นทุนนักเรียนยากจนบ้าง เธอก็จะส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น พอแขกไปแล้วเธอก็จะโวยวายต่อว่าข้าพเจ้า
“อาจารย์เล่าเรื่องของหนูให้คนโน้นคนนี้ฟังทําไม ฮือๆ เล่าทําไม อาจารย์ไม่รักหนูแล้ว ฮือ...”
ข้าพเจ้าก็จะชี้แจงว่าข้าพเจ้าพูดกับแขกเรื่องอะไร ไม่ได้พูดเรื่องของเธอ เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเธอมีเรื่องอะไร
“เอ้า พี่สาบานเลย เอ้า ไม่ได้พูดเรื่องของหนูจริงๆ”
ว่าแล้วก็ต้องสาบานให้เธอฟัง เธอจึงเลิกทําอาการร้องไห้โวยวาย ไปนั่งนิ่งเงียบทําตาคว่ำตาขวางอยู่ในห้องผู้ช่วยฯ ต่อ ข้าพเจ้าให้คนงานไปเชิญครูพิชิตมาพบ ความจริงจึงได้กระจ่างออกมา
“อาจารย์ครับ ผมขอพูดกับอาจารย์อย่างลูกผู้ชาย แล้วแต่อาจารย์จะตัดสินใจอย่างไร ผมยอมรับผิดทุกอย่าง ระยะเวลาที่เกษราชวนผมไปดูพระพุทธรูปตามที่ต่างๆ เธอให้ความสนิทสนมต่อผมมาก ผมก็นึกเหมือนเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง เหมือนที่ผมรู้สึกกับครูเด็กๆ ในโรงเรียนของเราทุกคนแหละครับ ก็อาจารย์พูดกับพวกเราอยู่เสมอว่า เรากินข้าวหม้อเดียวกัน (หมายถึงอาหารกลางวัน ถ้าใครไม่เอามาจากบ้านก็ต้องรับประทานอาหารของโรงเรียน) ควรรักกันเหมือนพี่เหมือนน้อง”
“ผมก็รู้สึกต่อเกษราเหมือนน้องสาวของผมจริงๆ หลังจากเรื่องพระพุทธรูปเสร็จสิ้นไปแล้ว ผมก็คิดว่าเรื่องไปไหนด้วยกันก็คงจบลง แต่ว่ามันไม่จบครับ ตอนเย็นเมื่อโรงเรียนเลิกแล้ว เค้าก็หาเรื่องชวนผมแทบทุกวัน ไปซื้อโน่น ไปเป็นเพื่อนที่นี่ แล้วถือโอกาสไปส่งผมที่บ้านพัก ส่งแล้วก็ไม่ยอมกลับง่ายๆ ไล่ให้กลับก็ร้องไห้ว่าผมรังเกียจ เค้าเหงามาก สามีไม่อยู่ อยากมีเพื่อนคุยบ้าง ผมก็ต้องให้เค้าคุยไปจนดึกๆ จึงกลับไป น้องๆ ของผมรําคาญเค้าทุกคน”
“เค้าไม่ห่วงลูกมั่งเลยรึ” ข้าพเจ้าถามขัดขึ้น
“เค้าว่าป้าของเด็กขอเอาไปเลี้ยงไว้บ้านคุณปู่คุณย่าครับ ไม่ต้องห่วง ป้ารักเด็กมาก”
“แล้วไง เล่าต่อไป” ข้าพเจ้าเตือน
“วันเกิดเหตุนั้น เค้าบอกว่ารู้สึกไม่สบาย ให้ผมไปส่งที่บ้านของเค้าหน่อย แล้วจะให้รีบกลับก่อนรถเมล์หมด หรือมิฉะนั้นจะเรียกแท็กซี่ให้ ผมก็หลงกลตามไปส่งที่บ้านเค้า ในบ้านพักของเค้าไม่มีคนอยู่เลยครับ เค้าก็ทําเป็นไม่สบายเวียนศีรษะเดินไม่ได้จะเซล้ม ให้ผมประคองไปส่งที่ห้องนอน พอถึงห้องนอน เค้าเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่มีอาการป่วยเลย กลับกอดผมไว้แน่น สารภาพว่ารักผมมานานแล้วตั้งแต่เห็นครั้งแรกเพราะผมมีรูปร่างหน้าตา การพูดจา นิสัยอะไร เหมือนคนรักเก่า ผมห้ามไม่ให้ทำอย่างนั้น ห้ามเท่าไรไม่มีฟัง เธอปิดห้องนอนไม่ให้ผมออก อ้อนวอน ขอร้องผม ผมรู้สึกสติสัมปชัญญะหายไปหมด เผลอสติตามแต่เธอจะจูงไปทางไหน ผมเดินตามเธอต้อยๆ ไปที่เตียงนอน”
“เล่าต่อไปซิ” ข้าพเจ้าบอกพิชิต
“ในวินาทีก่อนที่ผมจะทําอะไรลงไป ผมได้ยินเสียงเรียกของอาจารย์ เสียงดังชัดเจนเลยครับ ติดหูอยู่จนทุกวันนี้ อาจารย์เรียกผมว่า
“พิชิต พิชิต หยุดนะ คุณกําลังจะผิดศีลข้อสาม พิชิต พิชิต”
เป็นเสียงอาจารย์ชัดเลยครับ ผมตกใจมากไม่ทันดูว่าอาจารย์อยู่ตรงไหน คว้าเสื้อผ้าได้ก็รีบวิ่งออกมาจากห้อง ขณะกําลังหยิบรองเท้าจะวิ่งออกนอกบริเวณบ้าน ผมได้ยินเสียงเกษราร้องเสียงดังกรี๊ด กริ๊ด ติดต่อกันหลายครั้ง แต่ผมกลัวอาจารย์มาก แล้วมีสติคืนมา ผมก็กลัวเกษรามากอีกด้วย เลยวิ่งเผ่นออกมาทั้งที่หิ้วรองเท้ายังงั้นละครับ” เล่าจบลงก็ถอนหายใจยาวราวระบายความอึดอัดที่คับแน่นในอกออกได้หมด
“อ้อ พี่พอเดาเรื่องออก ทีนี้พอมาโรงเรียน เกษรามาหาคุณเหมือนที่เค้าเคยทํา คุณก็กลัวลนลานคอยหนีหน้าเค้าซีเนี่ย เพื่อนเลยบ้าไปเลย” ข้าพเจ้าเดา อีกฝ่ายยิ้มแห้งๆ ตอบว่า
“ครับ ผมก็หนีไปอยู่ห้องคนอื่น เค้าคงเสียใจเลยครองสติไม่อยู่”
“ความจริงเค้าเสียสติตั้งแต่คุณวิ่งหนีออกมาจากห้องนอนนั่นแล้ว อารมณ์ทางเพศของเค้าขึ้นถึงขีดสุด เพราะหลอกคุณจนครบขั้นตอนแล้ว เหลือรายการสุดท้ายก็มองเห็นอยู่ว่าสําเร็จแน่ เค้าเลยปล่อยออกมาเต็มที่ไม่มียับยั้ง พอไม่ได้รับการสนองตอบจากคุณกะทันหันอย่างนั้น สติเค้าต้องขาดผึงทันที ไม่งั้นเค้าจะไม่ร้องกรี๊ด กรี๊ด อย่างที่คุณได้ยินนั่นหรอก” ข้าพเจ้าวิจารณ์ให้อีกฝ่ายฟัง
“นี่เค้าแกล้งลาป่วยเป็นอาทิตย์ คุณก็ไม่ไปเยี่ยม มาโรงเรียนคุณก็หลบหน้า มันยุ่งกันใหญ่”
“วันนั้นอาจารย์ไปเรียกผมได้ยังไงครับ” พิชิตถามเพราะอดสงสัยไม่ได้
“พี่ไม่ได้ไปส่งเสียงเรียกคุณหรอก ที่พี่ทําอยู่นี่คือตั้งใจแผ่เมตตาจิตให้พวกเราอยู่เสมอให้อยู่ในศีลธรรม พี่ชอบอธิษฐานว่าใครได้พบเห็นพูดคุยรู้จักข้าพเจ้าแล้ว ให้คนเหล่านั้นอยู่ในศีลธรรมให้หมดทุกคนน่ะ เสียงที่คุณได้ยินนั้น คือเสียงของกายในกายของคุณนั่นแหละ อาจจะเป็นกายมนุษย์ละเอียดก็ได้ เค้าเตือนคุณ ถ้าภาษาวิชาการอาจเรียกว่าเป็นเสียงของจิตใต้สํานึก หรือ มโนธรรมในตัวคุณนั่นเอง พี่ขอแสดงความดีใจด้วย ที่คุณเอาชนะความชั่วได้ ไม่ว่าอะไรคุณเลย นี่ถ้าคุณพลาดพลั้งไป ไม่เสียใจแค่คุณสองคนเท่านั้น แต่จะเสียใจต่อเนื่องกันหลายคนนัก ไหนจะสามีเค้า ญาติทางสามี ญาติทางฝ่ายหญิง ไหนจะพี่และเพื่อนๆ ที่โรงเรียน โอ๊ย...ไม่อยากนึกถึงเลย หวาดเสียวจริงๆ”
ข้าพเจ้าทําอาการให้ดูน่าหวาดหวั่นใจ ชี้แจงให้เห็นโทษต่างๆ หากเขาพลาดท่าเสียทีลงไป ทําให้ครูพิชิตรู้สึกดีใจภูมิใจที่เขาบังคับใจให้รอดพ้นบาปหนักอันนั้นมาได้ ก่อนให้กลับไปทํางานตามหน้าที่ ข้าพเจ้าขอคํายืนยันจากครูพิชิตว่า
“คุณพิชิต พี่เชื่อว่าเรื่องที่คุณเล่าเป็นความจริง แต่ถ้าหากสามีของเกษรามาพบพี่ คุณกล้ายืนยันเรื่องนี้มั้ย ว่าเรายังไม่ถึงขั้นประพฤติผิดอะไรกับเมียเค้า พูดกันอย่างลูกผู้ชายน่ะ”
“ได้ครับ ต่อหน้าอาจารย์ด้วยนะครับ” ครูพิชิตรับคําอย่างหนักแน่น
ข้าพเจ้าทราบรายละเอียดชัดเจนดังนั้นแล้วก็เรียกเกษรามาพบ พูดคุยปลอบใจอีกครั้ง แต่เธอพูดไม่รู้เรื่องเสียแล้ว ดวงตาขวางเหม่อลอย ร้องไห้ปนหัวเราะ เป็นอาการของคนบ้าชัดๆ ข้าพเจ้าจึงโทรศัพท์ไปยังบ้านบิดามารดาของสามีเกษรา พอดีสามีของเธอกลับมาจากต่างจังหวัด ทราบว่าภรรยาป่วยแต่ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง เพียงแต่พี่สาวบอกว่าใครเข้าไปหาจะถูกด่าอย่างหยาบคายจนตกใจกันไปหมด เพราะเกษราไม่เคยเป็นคนอย่างนี้ มีแต่กิริยาวาจาอ่อนหวานน่ารักอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทุกคนจึงลงมติกันว่า เกษราเป็นบ้าแต่ไม่ทราบสาเหตุ
ข้าพเจ้าตัดสินใจให้สามีของเกษรามาพบเป็นการส่วนตัว พูดคุยให้เขาเห็นใจภรรยาเรื่องที่ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลําพัง และเล่ารายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด สามีของเกษราเป็นคนดีมากจริงๆ เขารับผิดและเห็นใจเธอทุกอย่าง ไม่มีความโกรธความผิดหวังใดๆ ครูพิชิตขออนุญาตข้าพเจ้าเข้าพบกับสามีเกษรา ต่อหน้าข้าพเจ้า เขาได้กราบขอขมาโทษ ซึ่งอีกฝ่ายก็เข้าใจเห็นใจและให้อภัย พร้อมทั้งขอบคุณมากมาย เขากล่าวว่า
“ถ้าเป็นผู้ชายอื่น คงจะหักห้ามใจไม่ได้ขนาดนี้ ผมต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายขอบคุณครูพิชิต”
กําลังรู้สึกโล่งใจอยู่นั้นเอง เกษราก็วิ่งพรวดพราดเข้ามาในอาการของคนวิกลจริต เธอปราดเข้ามาทุบตีครูพิชิต พร้อมกับร้องไม่เป็นสำเนียงมนุษย์ สามีเข้าช่วยห้ามปรามปลอบใจ แต่เธออยู่ในอาการไม่รู้สึกตัวเสียแล้ว ข้าพเจ้าจึงให้คําแนะนําว่าควรพาไปโรงพยาบาลสําหรับคนวิกลจริตทางฝั่งธนบุรีทันที ทางโรงพยาบาลตรวจอาการแล้วรับเป็นคนไข้ภายใน และขอร้องไม่ให้เพื่อนฝูงไปเยี่ยม นายแพทย์แจ้งว่าอาการลักษณะนี้ ต้องใช้เวลารักษาประมาณ ๑ เดือน เมื่อหายดีแล้วไม่ควรไห้พบเห็นผู้ที่เป็นสาเหตุอีก เพราะอาการอาจกําเริบได้ใหม่
ผลสุดท้ายข้าพเจ้าต้องจัดการย้ายครูพิชิตโดยด่วน กลายเป็นต้องย้ายครูดีหนีครูบ้า แล้วอย่างนี้สภาพครูในโรงเรียนที่ข้าพเจ้าบริหารงานอยู่จะเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านก็คงจะนึกออก และคงจะหมดความสงสัยว่า เหตุใดข้าพเจ้าจึงเบื่อผู้คนมากมายนัก หลบได้หลบ หลีกได้หลีก ออกจากงานเพื่อดูแลบิดาผู้ชราภาพ สิ้นท่านไปแล้วก็ใคร่อยู่สงบตามลําพังให้สบายใจ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมคําสอนของพระบรมศาสดาไปตามลําพัง ไม่ต้องยุ่งกับใครๆ คงมีความสุขที่เกิดจากทั้งกายวิเวกและจิตวิเวก
ไม่พ้นจนได้ ด้วยต้องการตอบแทนพระคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย คือรับใช้งานตามที่ท่านสั่งนึกไม่ถึงว่าต้องทํางานเดิม คือท่านให้ช่วยสั่งสอนผู้คนให้ละความชั่ว ประกอบคุณงามความดีและแนะนําธรรมปฏิบัติ คือหัดให้เขาทําจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลส ข้าพเจ้าจึงตกอยู่ในสภาพหนีไม่พ้น เพียงแต่ผู้คนที่มาพบข้าพเจ้าในเวลานี้เป็นคนมีปัญหาที่มีปัญญา คือคิดจะแก้ปัญหา แก้ความทุกข์ยากของตน จึงยินดีรับธรรมโอสถไปรักษาตัว ไม่เหมือนเดนครูของข้าพเจ้า เขาไม่รู้ตัวว่ามีปัญหา นอกจากไม่ยอมแก้ไขแล้ว ยังทําปัญหาเพิ่มให้ข้าพเจ้า ดังที่เล่าๆ ให้ฟังพอเป็นตัวอย่างดังที่กล่าวแล้ว
รายครูพิชิตกับครูเกษรา ที่ข้าพเจ้าเล่าจบลงไป บางท่านอาจนึกเถียงว่า อะไรกัน เค้ายังไม่ได้ผิดศีลสักหน่อย การทําบาปครบองค์กรรมบถในศีลข้อที่สามนี้ ต้องประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๑. เป็นวัตถุที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง
๒. มีจิตคิดจะเสพในวัตถุนั้น
๓. มีความพยายามเสพ
๔ มีความพอใจในการประกอบมรรคซึ่งกันและกัน
ก็นี่เค้าสองคนยังไม่ได้ลงมือประกอบมรรค (คือร่วมสังวาส) ซึ่งกันและกัน ทําไมต้องได้รับกรรมเดือดร้อนขนาดเป็นบ้ากันทีเดียวหรือ
ข้าพเจ้าใคร่ขอชี้แจงเพิ่มเติม ความจริงมันเป็นการทําบาป ทำกรรมชั่วตั้งแต่คิดด้วยใจแล้ว คือเป็นมโนทุจริต สําหรับฝ่ายหญิง กระทํามโนทุจริตนานมากตามที่สารภาพกับฝ่ายชายว่ารักมาตั้งแต่แรกเห็นนั่น ก็คิดนอกใจสามีแล้ว กุลสตรีที่ดีเมื่อมีสามีแล้วจะต้องไม่คิดรักชายอื่นอีกเลย แม้ด้วยใจก็คิดไม่ได้ นี่ครูเกษราคิดและต้องไม่ใช่คิดครั้งเดียว กระแสจิตที่วนเวียนคิดเรื่องรักครูพิชิตนี่ จะต้องเกิดวนเวียนซ้ำซากนับวิถีจิตไม่ได้ว่ากี่แสนกี่ล้านครั้ง ใจเกาะแน่นอยู่ในอกุศลจิต ยังมีการวางแผนให้ฝ่ายชายหลงกลด้วยอุบายมารยาหญิง ใจก็ยิ่งใช้ความพยายามแรงกล้า องค์กรรมบถ ๓ ข้อแรกฝ่ายหญิงกระทําเป็นประจํา กรรมที่ตนมีมโนทุจริตนี้รุนแรงอยู่แล้ว ยังทํากับคนดีมีคุณธรรม คือสามีเป็นคนดีมากจริงๆ ใครก็ตามทําผิดทําชั่วให้เกิดเสียหายแก่คนดีมีคุณธรรม มักต้องรับโทษทันตาเห็น อย่างเช่นเป็นบ้าเหมือนเรื่องนี้
เรื่องกรรมชั่วทั้งหลาย ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทําเสียเลยเป็นดีที่สุด