ตายทั้งเป็น (ผีพนัน)
ข้าพเจ้าได้เล่าถึงผีจริงๆ มาหลายเรื่องแล้ว จึงใคร่จะเล่าถึงเรื่องที่ตนเองเข้าใจว่าเป็นเรื่องผีเหมือนกันตามความคิดในสมัยเด็กๆ นั่นคือเรื่อง “ผีพนัน”
เวลานั้นข้าพเจ้าคงมีอายุราว ๔-๕ ขวบ คงไม่มากกว่านั้น เพราะยังเป็นเวลาที่มารดาและป้าของข้าพเจ้าอุ้มข้าพเจ้า “เข้าสะเอว” ไปไหนมาไหนไหว แสดงว่าตัวยังไม่โตมากนัก วันหนึ่งหลังจากวิ่งเล่นกับเด็กๆ เพื่อนบ้านมาจนเหนื่อย กลับมาเห็นพ่อนั่งผ่าฟืนอยู่ที่ข้างบันไดบ้าน พ่อถามว่า
“เล่นเหนื่อยแล้วรึลูก หรือว่าเจ้าเลี้ยงเจ้าสมเขาบอกเลิกเล่น”
“สองคนเค้าไม่อยากเลิกเล่นหรอกพ่อ แต่ลุงเจ้าเลี้ยงเค้ามาตามเจ้าเลี้ยงกลับบ้าน แล้วยายเจ้าสมเค้าก็มาตามเจ้าสมกลับ เค้าว่าเย็นแล้วให้ลงไปอาบน้ำกันที่ตีนท่า หนูก็จะมาชวนพ่อไปอาบน้ำมั่ง”
“หนูรอพ่อเดี๋ยวเดียว ฟืนเหลืออีก ๒-๓ ดุ้น เสร็จแล้วเราจะได้ไปอาบน้ำด้วยกัน” ฟังพ่อตอบแล้ว ข้าพเจ้าก็นั่งคอยนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามพ่อว่า
“พ่อจ๋า เพื่อนๆ ของหนูทุกคนเขามีปู่ย่าตายาย พวกลุงป้าน้าอาเค้าก็มีกัน ทําไมหนูไม่มีเหมือนพวกเค้า หนูมีแต่พ่อกับแม่สองคนเท่านั้นเอง”
พ่อหัวเราะเบาๆ แล้วเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พ่อกับแม่มาตั้งครอบครัวกันใหม่อยู่ที่หมู่บ้านนี้ เพราะเห็นว่าเป็นถิ่นกลางอยู่ระหว่างหมู่บ้านเดิมของพ่อและแม่ ญาติพี่น้องของพ่ออยู่ทุ่งฟากตะวันออก ส่วนของแม่ อยู่ทุ่งฟากตะวันตก ที่นั่นไม่มีโรงเรียนสอนเด็ก พ่อกับแม่มีอาชีพเป็นครูทั้งสองคน ต้องมาสอนที่โรงเรียนในหมู่บ้านนี้ เลยตกลงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นี่
“ทําไมพ่อต้องเป็นครูล่ะ ทําไมไม่ทํานากินเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ เค้าล่ะ” ข้าพเจ้าถามไปตามประสาเด็ก
พ่อจึงเล่าประวัติตระกูลของพ่อให้ข้าพเจ้าฟังอย่างละเอียด สมองเล็กๆ ในวัยเด็กของข้าพเจ้าจํารายละเอียดเหล่านั้นไม่ไหว รู้สึกว่าเรื่องมันช่างยืดยาว มีชื่อคนต่างๆ มากมายก่ายกอง มีที่จําได้แม่นยําอยู่เพียง ๒-๓ ตอนว่า ปู่ของพ่อเป็นชาวจีน ชื่อ “บ้วนซ้ง” เดินทางมาจากเมืองจีน เวลาทางราชการให้ขอตั้งนามสกุลในสมัยรัชกาลที่ ๖ เจ้าหน้าที่ทางอําเภอจึงตั้งให้เป็นคําไทยว่า “บุญทรง” ข้อความที่ข้าพเจ้าจําได้แม่นเป็นพิเศษคือพ่อเล่าว่า
“ในสมัยทวด บ้วนซ้ง ของหนู ตระกูลของเราร่ำรวยมากที่สุด ใน ๓-๔ ตําบลนี้ ท่านจับจองที่นาไว้ทั้งท้องทุ่งตั้งหลายพันไร่ มีเรือขนข้าวเปลือก ๒๐ กว่าลำ มีข้าทาสบริวารนับเป็นร้อยๆ คน”
“แล้วมันหายไปไหนหมดล่ะ เดี๋ยวนี้พ่อจึงต้องมาเป็นครู ไม่มีนาจะทํากินเหมือนชาวบ้านเขา” ข้าพเจ้าย้อนถาม ก็ได้รับคําตอบว่า
“นายังพอเหลืออยู่บ้างนะลูก ตอนนี้ย่าของหนูทําอยู่ เหลือไม่กี่สิบไร่ ที่มันหายไปมากมายนั่นเพราะพอทวดบ้วนซ้งตายแล้ว ผีพนันมันเข้าสิงพวกลูกๆ ของทวด พากันเล่นถั่ว เล่นโป ตีไก่ สมบัติที่ทวดให้ไว้จึงหมดไป”
พ่อไม่รู้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวจับใจที่เกิดขึ้นในดวงใจเล็กๆ ของลูกเมื่อได้ยินคําว่า “ผีพนัน” พ่อพูดเป็นความเปรียบเทียบ แต่ความเข้าใจตามประสาเด็กข้าพเจ้าเข้าใจว่ามันมีผีชนิดหนึ่งอยู่ประจําการพนันทุกชนิด เหมือนเรามีผีชนิดต่างๆ เช่น ผีน้ำ ผีทะเล ผีฟ้า ผีป่า ผีทุ่ง ผีตายโหง ผีกองกอย ฯลฯ ผีพนันนี่เองมันคงสิงอยู่ที่เครื่องเล่นการพนัน พอใครไปเล่นมันเข้ามันก็ออกมาสิงตัวคนเล่น ทําให้คนนั้นเสียสติหลงใหลฟั่นเฟือน ไม่อยากทํางานอื่นๆ จะต้องคอยไปเล่นการพนัน แล้วผีก็จะทําให้คนนั้นล่มจม ทรัพย์สมบัติพินาศเสียอนาคตไปหมด ข้าพเจ้าเชื่อมันด้วยหัวใจน้อยๆ แน่นแฟ้นจริงจังตั้งแต่วินาทีที่ได้ยินคําว่า “ผีพนัน” ออกจากปากพ่อในเวลาอายุ ๔-๕ ขวบนั่นเอง คิดรังเกียจการพนันทุกชนิดขึ้นมาจับใจ เคยเกลียดกลัวผีมากแค่ไหนก็รู้สึกอย่างนั้นต่อการพนันทุกชนิด นึกถึงแต่ว่า ผีพนัน นี่เองทําให้ตระกูลเศรษฐีของเราพินาศไป
มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นเทศกาลสงกรานต์ในชนบทบ้านนอกมักมีการละเล่นต่างๆ กันถึง ๗ วัน รวมทั้งมีการพนันต่างๆ เล่นกันอย่างเปิดเผยโดยทางการมักจะผ่อนผันให้ แม่พาข้าพเจ้าไปเยี่ยมป้าที่บ้านทุ่งฟากตะวันตก ที่นั่นมีบ่อนน้ำเต้าตั้งขึ้นหลายวง การพนันชนิดนี้เจ้ามือเขาจะมีภาพวาดในผ้าหรือกระดาษเป็นรูปสิ่งของต่างๆ เช่น รูปน้ำเต้า กุ้ง ปู ปลา ฯลฯ มีเลขแต้มกํากับ และมีลูกเต๋าจํานวนหนึ่ง พอเจ้ามือจับลูกเต๋าใส่ภาชนะปิดฝาแล้วเขย่าๆ เททอดลงไปหรือเปิดฝาออกมา เลขแต้มออกมาตรงกับภาพอะไร คนที่แทงภาพนั้นก็จะถูกได้รางวัลไป แม่อุ้มข้าพเจ้าไปที่วงการพนันนั้น ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เห็น คิดว่าแม่พาไปเที่ยว ก็ไม่แสดงอาการขัดขืน แต่พอเข้าไปใกล้ ปัญญาของเด็กก็พอดูออกว่าเป็นการพนัน ข้าพเจ้านึกกลัวผีพนันขึ้นมาจับใจ จึงร้องไห้เสียงดังลั่น ดิ้นรนหลุดจากเอวแม่ ฉุดมือท่านดึงกลับให้ออกไปจากบ่อน ข้าพเจ้าจําได้ว่า ข้าพเจ้าดึงมือของแม่จนสุดกําลังเท่าที่เด็กวัยนั้นจะกระทําได้ ร้องไห้ตัวสั่นจนพวกผู้ใหญ่ที่อยู่แถวนั้นตกใจกันทุกคน ถามข้าพเจ้าวุ่นไปหมดว่าเป็นอะไรไป
ข้าพเจ้าไม่กล้าตอบว่า ข้าพเจ้ากลัว “ผีพนัน” เพราะเกรงว่าเดี๋ยวผีมันจะได้ยินเข้า มันจะวิ่งมาสิงข้าพเจ้ากับแม่ จึงใช้วิธีร้องไห้ดังๆ อย่างเดียว จนแม่ต้องอุ้มเอาตัวข้าพเจ้ากลับบ้าน
บางครั้งข้าพเจ้าตามพ่อไปเยี่ยมย่าซึ่งอยู่บ้านทางฟากทุ่งตะวันออก พอดีเป็นฤดูว่างจากการทํานา ย่าชอบทําขนมหลายชนิด หาบไปขายตามบ้านผู้คน ข้าพเจ้าชอบวิ่งตามได้ช่วยท่านบ้าง ได้ไปเห็นครอบครัวของหมู่ญาติพี่น้องอื่นๆ บ้าง เมื่อพวกญาติผู้ใหญ่เห็นข้าพเจ้า เขาก็จะพากันเข้ามารุมล้อมแสดงความดีอกดีใจพูดคุยซักถาม ทําให้ข้าพเจ้าอบอุ่นใจว่าตนเองก็มีญาติไม่น้อยหน้าเพื่อนๆ คนอื่นเหมือนกัน เพียงแต่ญาติอยู่ห่างกันหน่อยเท่านั้นเอง
มีหลายครั้งที่ย่าชอบหาบขนมเข้าไปขายในบ่อนโป เพราะมีคนไปชุมนุมกันอยู่มาก คนใดที่เล่นได้ก็จะพากันมาซื้อขนมของย่า สําหรับความรู้สึกของข้าพเจ้า ไม่เคยลืมคําว่าผีพนันเลยเมื่ออ้อนวอนให้ย่าหาบขนมไปขายที่อื่นต่อไม่ได้ ก็จะบอกท่านว่า
“ย่า ย่า หนูอยากกลับบ้าน ย่าขายต่อไปคนเดียวนะ หนูขอกลับก่อน”
แล้วข้าพเจ้าก็จะวิ่งตื๋อกลับบ้านทันที ไม่ยอมฟังเสียงห้ามปรามจากท่าน แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ข้าพเจ้าไม่เคยนึกห่วงว่าผีพนันจะสิงย่าเหมือนที่เคยห่วงแม่ เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าย่าของข้าพเจ้าเป็นคนเข้มแข็ง ผีชนิดไหนๆ ก็ต้องกลัวย่า
เมื่อข้าพเจ้าเกิดและพอรู้ความ เวลานั้นย่าของข้าพเจ้าอายุ ๕๐ ปี ครั้นปู่ถึงแก่กรรมแล้วย่าก็โกนศีรษะโล้น พร้อมทั้งถือศีล ๕ เป็นปกติตั้งแต่นั้นมา และเลิกรับประทานอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิด ใส่บาตรทุกวัน ใส่เสื้อผ้าอยู่แบบเดียวคือนุ่งผ้าโจงกระเบน ใส่เสื้อแขนยาว สีกรมท่าบ้าง ดําบ้าง บางทีเขียวคล้ำ เป็นสีเดียวเรียบๆ ไม่มีดอกดวงใดๆ ท่านไม่เคยหวั่นเกรงว่า ใครจะหาว่าท่านเพี้ยน ท่านพอใจกระทําดังนั้นท่านก็ทํา ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกว่าย่าของตนเองผิดปกติ กลับภาคภูมิใจในความเข้มแข็งของย่าที่ทําในสิ่งที่คนอื่นทําไม่ได้และก็เป็นการทําความดี
เมื่อข้าพเจ้าเติบโตขึ้นอีกหน่อยก็พอรู้ว่า ไม่มีผีจริงๆ สิงอยู่ในเครื่องเล่นการพนันเหล่านั้น มีแต่ความโลภมากอยากรวยของคนที่ไปเล่น แต่กระนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถถอนความหวาดกลัวให้หมดไปจากใจได้ ประกอบกับได้มาเห็นโทษภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อกับคนใกล้ชิดที่รู้จักดี จึงได้เพิ่มความรู้สึกอีกชนิดหนึ่งขึ้นมา นั่นคือความเกลียดชังการพนัน และยังรู้สึกเกินเลยไปกระทั่งพาลเกลียดชังแม้คนเล่นการพนันไปเสียอีกด้วย
“นี่ หนู... ทําไมไม่ยอมพูดกับอา โกรธอาเรื่องอะไรกัน”
อาถามข้าพเจ้า ท่านเป็นน้องชายคนเดียวของพ่อ ย่าของข้าพเจ้ามีลูกเพียง ๒ คน เป็นชายทั้งคู่ อามักจะน้อยใจข้าพเจ้าอยู่เสมอๆ ในวัยเด็กข้าพเจ้าเป็นเด็กช่างพูด พูดชนิดที่เรียกกันว่า “ต่อยหอย” ใครถามอะไรหรือคุยอะไรก็จะคุยโต้ตอบเป็นที่ชอบใจของพวกผู้ใหญ่เสมอ เพราะพูดคําที่มีความหมายต่างๆ ได้เกินวัย แต่กับอาของตนเองแล้วข้าพเจ้ามักปิดปากนิ่งเงียบ และจะรีบเดินหรือวิ่งหนีไปเสียจนไกล อาจึงมักบ่นน้อยใจข้าพเจ้าให้ใครๆ ฟัง
ข้าพเจ้าเกลียดชังอาของตนเอง เพราะอาชอบเล่นการพนันมาก โดยเฉพาะที่เรียกว่า “เล่นโป” ไม่ยอมทํามาหากินด้วยอาชีพใดๆ เลย ได้แต่ไปเล่นโปที่บ่อนโน้นบ่อนนี้ ได้บ้างเสียบ้าง เมื่อใดเสียจนหมดตัว ก็จะกลับมาขอเงินจากย่าไปเล่นใหม่ ถ้าย่าไม่ยอมให้ อาก็ใช้วาจาด่าย่า ด้วยถ้อยคําหยาบคาย ครั้นพอย่าไม่อยู่บ้าน อาก็จะงัดประตูห้องเข้าไปรื้อค้นเอาเงินที่ย่าเก็บไว้ไปจนหมด บางครั้งย่าอุตส่าห์ปีนขึ้นไปซ่อนเงินไว้บนขื่อบ้าน อาก็จะค้นจนพบและเอาไปจนหมดอีกเหมือนกัน
ข้าพเจ้าได้พบเหตุการณ์เหล่านี้แทบทุกครั้งที่พ่อพาไปเยี่ยมย่า ข้าพเจ้าเห็นพ่อพูดกับย่าด้วยถ้อยคําดีๆ ให้เงินบ้าง ซื้อของฝากบ้าง แต่กลับเห็นการกระทําของอาตรงข้ามกับพ่อ ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนก็เป็นลูกของย่าเหมือนกัน ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าที่เป็นดังนี้เพราะโทษของการเล่นการพนันนั่นเอง
วันหนึ่ง ย่าเดินทางมาบ้านข้าพเจ้าแต่เช้าตรู่ ตามตัวท่านมีรอยช้ำเขียวอยู่หลายแห่ง ย่าพูดกับพ่อว่า
“ไอ้ทิดเอ๊ย เมื่อวานนี้มัน (หมายถึงอาของข้าพเจ้า) ทุบตีแม่เสียสะบักสะบอม เพราะแม่ไม่ให้เงินมัน เดี๋ยวนี้แม่ไม่กล้าซ่อนเงินไว้ที่อื่น แม่ใส่กระเป๋าเสื้อติดอยู่กับตัว มันจึงใช้วิธีทุบตีแย่งเอา มันเรียกแม่ว่า “อีหมาขี้เรื้อน” ด้วย”
ข้าพเจ้าเห็นพ่อร้องไห้ พูดอ้อนวอนย่าให้มาอยู่ที่บ้านของเรา แต่ย่าก็อ้างว่าเป็นห่วงบ้านและไร่นาที่มีอยู่ทุ่งโน้น เมื่อพักผ่อนสบายใจดีแล้ว ย่าก็กลับบ้านของท่านอีก
วันเวลาผ่านไปจากเดือนเป็นปีและหลายๆ ปี ข้าพเจ้าเติบโตขึ้น ต้องออกจากบ้านไปเรียนที่ตัวจังหวัดบ้าง เรียนที่กรุงเทพฯ บ้าง ไม่ใคร่ได้ไปพักอยู่กับย่าเหมือนในวัยเด็กอีก แต่ก็ได้ทราบข่าวของอาจากพ่ออยู่เสมอ ชีวิตของอายังหมกมุ่นอยู่ในการพนันไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันด้วยรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างดี ทําให้หลอกลวงผู้หญิงเป็นภรรยาได้ถึง ๔ ราย มีลูกด้วยกัน ๗ คน ซึ่งอาไม่เคยรับผิดชอบเลย ปล่อยให้ฝ่ายหญิงเลี้ยงลูกกันไปตามบุญตามกรรม ย่าเองยังรับมาเลี้ยงไว้ให้ ๒ คน
ท้ายที่สุดที่ทําให้ย่าตรอมใจมาก คือย่าต้องการมอบไร่นาที่มีอยู่จํานวนครึ่งหนึ่งให้ข้าพเจ้า อีกครึ่งหนึ่งให้ลูกชายของอาที่ย่าเลี้ยงเอาไว้เพราะเป็นคําสั่งก่อนตายของปู่สั่งไว้ ดังนั้น อาได้ใช้อุบายหลอกลวงย่าให้พิมพ์นิ้วมือลงในใบมอบอํานาจ เขาจะเป็นผู้นําไปแจ้งต่อทางหอทะเบียนที่ดินของจังหวัดให้เปลี่ยนเป็นชื่อข้าพเจ้าเอง ย่าไม่รู้หนังสือและไม่รู้กฎหมายจึงหลงเชื่อ อาได้โกงทรัพย์นั้นเป็นของตนและนําไปจํานอง นําเงินไปเล่นการพนันจนหมด
“ถ้าไม่นึกถึงว่ามันเป็นน้องคลานตามกันออกมา พ่อจะฆ่ามันเสีย มันทําความเจ็บช้ำน้ำใจให้ย่ามากมายนัก!” พ่อพูดกับข้าพเจ้า
“อย่าไปคิดแค้นอะไรกับคนอย่างนั้นเลยพ่อ ถ้าเราฆ่าเค้าตาย ย่าก็จะเสียใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทั้งพ่อทั้งอาก็เป็นลูกของย่า ย่าคงไม่อยากเห็นพี่ฆ่าน้อง แล้วหนูก็ไม่เดือดร้อนอะไร พ่อส่งหนูเรียน หนูมีความรู้ หนูมีงานทําแน่ๆ ยังไงก็คงไม่ได้กลับมาทํานาแน่นอน” ข้าพเจ้าต้องปลอบพ่อเสียเอง
ด้วยต้องการปลอบใจย่า พ่อได้ไปขอกู้เงินจากเพื่อนของท่านมาไถ่ถอนที่นาคืน ทําให้ย่าค่อยมีกําลังใจดีขึ้น อีกหลายปีต่อมา ข้าพเจ้าได้ทํางานมีตําแหน่งสูง มีรายได้ดี เป็นที่พึ่งของญาติพี่น้อง ได้เอื้ออารีต่อวงศาคณาญาติตามวิสัยและความสามารถอยู่เสมอๆ ยกเว้นครอบครัวของอา ข้าพเจ้าไม่เคยไปมาหาสู่ บางครั้งไปเยี่ยมญาติพี่น้องแม้บ้านจะติดกับบ้านของอา ข้าพเจ้าก็ไม่เคยไปเยี่ยม ใจยังคิดรังเกียจคนที่เล่นการพนัน แก้ไขอย่างไรก็ไม่หาย
เมื่อย่าของข้าพเจ้าตายไปได้ ๒ ปี อาสะใภ้คนหนึ่งได้มาพบพ่อของข้าพเจ้า แจ้งข่าวว่าอาป่วยหนัก อาขอให้มาตามพ่อและข้าพเจ้าไปเยี่ยมสักหน่อย อาเจ็บคราวนี้คงไม่รอด เพราะอาเจียนเป็นเลือดสดๆ หลายครั้ง กินข้าวไม่ได้มาหลายวัน อะไรที่เป็นของเหลวๆ ก็กินไม่ได้ อาเจียนหมด
“หนูจะไปเยี่ยมอามั้ยลูก” พ่อถามข้าพเจ้า
“พ่อไปคนเดียวเถอะค่ะ เพราะแม่ก็ไม่ค่อยสบาย หนูต้องคอยดูแม่ พ่อบอกอาก็แล้วกันว่า เรื่องทั้งหมดที่อาทําไว้ส่วนที่เกี่ยวกับหนู หนูไม่ถือโทษอะไรๆ หรอก ที่มาไม่ได้เพราะต้องอยู่เฝ้าแม่” ข้าพเจ้าตอบพ่อดังนี้ เพราะระยะนั้นมารดาของข้าพเจ้ากําลังป่วยหนักเหมือนกัน
เป็นตามที่ข้าพเจ้าคาดคะเนจริงๆ อารู้ตัวว่ากําลังใกล้จะตาย เกิดสํานึกผิดในบาปกรรมของตน จึงร่ำร้องอยากพบคนโน้นคนนี้ที่ตนเคยทําผิดล่วงเกินไว้ เมื่อบิดาข้าพเจ้าไปเยี่ยมเยียนพูดปลอบใจแล้ว วันรุ่งขึ้นอาก็ถึงแก่กรรม
เวลานั้นข้าพเจ้าคงมีอายุราว ๔-๕ ขวบ คงไม่มากกว่านั้น เพราะยังเป็นเวลาที่มารดาและป้าของข้าพเจ้าอุ้มข้าพเจ้า “เข้าสะเอว” ไปไหนมาไหนไหว แสดงว่าตัวยังไม่โตมากนัก วันหนึ่งหลังจากวิ่งเล่นกับเด็กๆ เพื่อนบ้านมาจนเหนื่อย กลับมาเห็นพ่อนั่งผ่าฟืนอยู่ที่ข้างบันไดบ้าน พ่อถามว่า
“เล่นเหนื่อยแล้วรึลูก หรือว่าเจ้าเลี้ยงเจ้าสมเขาบอกเลิกเล่น”
“สองคนเค้าไม่อยากเลิกเล่นหรอกพ่อ แต่ลุงเจ้าเลี้ยงเค้ามาตามเจ้าเลี้ยงกลับบ้าน แล้วยายเจ้าสมเค้าก็มาตามเจ้าสมกลับ เค้าว่าเย็นแล้วให้ลงไปอาบน้ำกันที่ตีนท่า หนูก็จะมาชวนพ่อไปอาบน้ำมั่ง”
“หนูรอพ่อเดี๋ยวเดียว ฟืนเหลืออีก ๒-๓ ดุ้น เสร็จแล้วเราจะได้ไปอาบน้ำด้วยกัน” ฟังพ่อตอบแล้ว ข้าพเจ้าก็นั่งคอยนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามพ่อว่า
“พ่อจ๋า เพื่อนๆ ของหนูทุกคนเขามีปู่ย่าตายาย พวกลุงป้าน้าอาเค้าก็มีกัน ทําไมหนูไม่มีเหมือนพวกเค้า หนูมีแต่พ่อกับแม่สองคนเท่านั้นเอง”
พ่อหัวเราะเบาๆ แล้วเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พ่อกับแม่มาตั้งครอบครัวกันใหม่อยู่ที่หมู่บ้านนี้ เพราะเห็นว่าเป็นถิ่นกลางอยู่ระหว่างหมู่บ้านเดิมของพ่อและแม่ ญาติพี่น้องของพ่ออยู่ทุ่งฟากตะวันออก ส่วนของแม่ อยู่ทุ่งฟากตะวันตก ที่นั่นไม่มีโรงเรียนสอนเด็ก พ่อกับแม่มีอาชีพเป็นครูทั้งสองคน ต้องมาสอนที่โรงเรียนในหมู่บ้านนี้ เลยตกลงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นี่
“ทําไมพ่อต้องเป็นครูล่ะ ทําไมไม่ทํานากินเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ เค้าล่ะ” ข้าพเจ้าถามไปตามประสาเด็ก
พ่อจึงเล่าประวัติตระกูลของพ่อให้ข้าพเจ้าฟังอย่างละเอียด สมองเล็กๆ ในวัยเด็กของข้าพเจ้าจํารายละเอียดเหล่านั้นไม่ไหว รู้สึกว่าเรื่องมันช่างยืดยาว มีชื่อคนต่างๆ มากมายก่ายกอง มีที่จําได้แม่นยําอยู่เพียง ๒-๓ ตอนว่า ปู่ของพ่อเป็นชาวจีน ชื่อ “บ้วนซ้ง” เดินทางมาจากเมืองจีน เวลาทางราชการให้ขอตั้งนามสกุลในสมัยรัชกาลที่ ๖ เจ้าหน้าที่ทางอําเภอจึงตั้งให้เป็นคําไทยว่า “บุญทรง” ข้อความที่ข้าพเจ้าจําได้แม่นเป็นพิเศษคือพ่อเล่าว่า
“ในสมัยทวด บ้วนซ้ง ของหนู ตระกูลของเราร่ำรวยมากที่สุด ใน ๓-๔ ตําบลนี้ ท่านจับจองที่นาไว้ทั้งท้องทุ่งตั้งหลายพันไร่ มีเรือขนข้าวเปลือก ๒๐ กว่าลำ มีข้าทาสบริวารนับเป็นร้อยๆ คน”
“แล้วมันหายไปไหนหมดล่ะ เดี๋ยวนี้พ่อจึงต้องมาเป็นครู ไม่มีนาจะทํากินเหมือนชาวบ้านเขา” ข้าพเจ้าย้อนถาม ก็ได้รับคําตอบว่า
“นายังพอเหลืออยู่บ้างนะลูก ตอนนี้ย่าของหนูทําอยู่ เหลือไม่กี่สิบไร่ ที่มันหายไปมากมายนั่นเพราะพอทวดบ้วนซ้งตายแล้ว ผีพนันมันเข้าสิงพวกลูกๆ ของทวด พากันเล่นถั่ว เล่นโป ตีไก่ สมบัติที่ทวดให้ไว้จึงหมดไป”
พ่อไม่รู้ถึงความรู้สึกหวาดกลัวจับใจที่เกิดขึ้นในดวงใจเล็กๆ ของลูกเมื่อได้ยินคําว่า “ผีพนัน” พ่อพูดเป็นความเปรียบเทียบ แต่ความเข้าใจตามประสาเด็กข้าพเจ้าเข้าใจว่ามันมีผีชนิดหนึ่งอยู่ประจําการพนันทุกชนิด เหมือนเรามีผีชนิดต่างๆ เช่น ผีน้ำ ผีทะเล ผีฟ้า ผีป่า ผีทุ่ง ผีตายโหง ผีกองกอย ฯลฯ ผีพนันนี่เองมันคงสิงอยู่ที่เครื่องเล่นการพนัน พอใครไปเล่นมันเข้ามันก็ออกมาสิงตัวคนเล่น ทําให้คนนั้นเสียสติหลงใหลฟั่นเฟือน ไม่อยากทํางานอื่นๆ จะต้องคอยไปเล่นการพนัน แล้วผีก็จะทําให้คนนั้นล่มจม ทรัพย์สมบัติพินาศเสียอนาคตไปหมด ข้าพเจ้าเชื่อมันด้วยหัวใจน้อยๆ แน่นแฟ้นจริงจังตั้งแต่วินาทีที่ได้ยินคําว่า “ผีพนัน” ออกจากปากพ่อในเวลาอายุ ๔-๕ ขวบนั่นเอง คิดรังเกียจการพนันทุกชนิดขึ้นมาจับใจ เคยเกลียดกลัวผีมากแค่ไหนก็รู้สึกอย่างนั้นต่อการพนันทุกชนิด นึกถึงแต่ว่า ผีพนัน นี่เองทําให้ตระกูลเศรษฐีของเราพินาศไป
มีอยู่ครั้งหนึ่งเป็นเทศกาลสงกรานต์ในชนบทบ้านนอกมักมีการละเล่นต่างๆ กันถึง ๗ วัน รวมทั้งมีการพนันต่างๆ เล่นกันอย่างเปิดเผยโดยทางการมักจะผ่อนผันให้ แม่พาข้าพเจ้าไปเยี่ยมป้าที่บ้านทุ่งฟากตะวันตก ที่นั่นมีบ่อนน้ำเต้าตั้งขึ้นหลายวง การพนันชนิดนี้เจ้ามือเขาจะมีภาพวาดในผ้าหรือกระดาษเป็นรูปสิ่งของต่างๆ เช่น รูปน้ำเต้า กุ้ง ปู ปลา ฯลฯ มีเลขแต้มกํากับ และมีลูกเต๋าจํานวนหนึ่ง พอเจ้ามือจับลูกเต๋าใส่ภาชนะปิดฝาแล้วเขย่าๆ เททอดลงไปหรือเปิดฝาออกมา เลขแต้มออกมาตรงกับภาพอะไร คนที่แทงภาพนั้นก็จะถูกได้รางวัลไป แม่อุ้มข้าพเจ้าไปที่วงการพนันนั้น ตอนแรกข้าพเจ้าไม่เห็น คิดว่าแม่พาไปเที่ยว ก็ไม่แสดงอาการขัดขืน แต่พอเข้าไปใกล้ ปัญญาของเด็กก็พอดูออกว่าเป็นการพนัน ข้าพเจ้านึกกลัวผีพนันขึ้นมาจับใจ จึงร้องไห้เสียงดังลั่น ดิ้นรนหลุดจากเอวแม่ ฉุดมือท่านดึงกลับให้ออกไปจากบ่อน ข้าพเจ้าจําได้ว่า ข้าพเจ้าดึงมือของแม่จนสุดกําลังเท่าที่เด็กวัยนั้นจะกระทําได้ ร้องไห้ตัวสั่นจนพวกผู้ใหญ่ที่อยู่แถวนั้นตกใจกันทุกคน ถามข้าพเจ้าวุ่นไปหมดว่าเป็นอะไรไป
ข้าพเจ้าไม่กล้าตอบว่า ข้าพเจ้ากลัว “ผีพนัน” เพราะเกรงว่าเดี๋ยวผีมันจะได้ยินเข้า มันจะวิ่งมาสิงข้าพเจ้ากับแม่ จึงใช้วิธีร้องไห้ดังๆ อย่างเดียว จนแม่ต้องอุ้มเอาตัวข้าพเจ้ากลับบ้าน
บางครั้งข้าพเจ้าตามพ่อไปเยี่ยมย่าซึ่งอยู่บ้านทางฟากทุ่งตะวันออก พอดีเป็นฤดูว่างจากการทํานา ย่าชอบทําขนมหลายชนิด หาบไปขายตามบ้านผู้คน ข้าพเจ้าชอบวิ่งตามได้ช่วยท่านบ้าง ได้ไปเห็นครอบครัวของหมู่ญาติพี่น้องอื่นๆ บ้าง เมื่อพวกญาติผู้ใหญ่เห็นข้าพเจ้า เขาก็จะพากันเข้ามารุมล้อมแสดงความดีอกดีใจพูดคุยซักถาม ทําให้ข้าพเจ้าอบอุ่นใจว่าตนเองก็มีญาติไม่น้อยหน้าเพื่อนๆ คนอื่นเหมือนกัน เพียงแต่ญาติอยู่ห่างกันหน่อยเท่านั้นเอง
มีหลายครั้งที่ย่าชอบหาบขนมเข้าไปขายในบ่อนโป เพราะมีคนไปชุมนุมกันอยู่มาก คนใดที่เล่นได้ก็จะพากันมาซื้อขนมของย่า สําหรับความรู้สึกของข้าพเจ้า ไม่เคยลืมคําว่าผีพนันเลยเมื่ออ้อนวอนให้ย่าหาบขนมไปขายที่อื่นต่อไม่ได้ ก็จะบอกท่านว่า
“ย่า ย่า หนูอยากกลับบ้าน ย่าขายต่อไปคนเดียวนะ หนูขอกลับก่อน”
แล้วข้าพเจ้าก็จะวิ่งตื๋อกลับบ้านทันที ไม่ยอมฟังเสียงห้ามปรามจากท่าน แต่ก็เป็นเรื่องแปลก ข้าพเจ้าไม่เคยนึกห่วงว่าผีพนันจะสิงย่าเหมือนที่เคยห่วงแม่ เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าย่าของข้าพเจ้าเป็นคนเข้มแข็ง ผีชนิดไหนๆ ก็ต้องกลัวย่า
เมื่อข้าพเจ้าเกิดและพอรู้ความ เวลานั้นย่าของข้าพเจ้าอายุ ๕๐ ปี ครั้นปู่ถึงแก่กรรมแล้วย่าก็โกนศีรษะโล้น พร้อมทั้งถือศีล ๕ เป็นปกติตั้งแต่นั้นมา และเลิกรับประทานอาหารเนื้อสัตว์ทุกชนิด ใส่บาตรทุกวัน ใส่เสื้อผ้าอยู่แบบเดียวคือนุ่งผ้าโจงกระเบน ใส่เสื้อแขนยาว สีกรมท่าบ้าง ดําบ้าง บางทีเขียวคล้ำ เป็นสีเดียวเรียบๆ ไม่มีดอกดวงใดๆ ท่านไม่เคยหวั่นเกรงว่า ใครจะหาว่าท่านเพี้ยน ท่านพอใจกระทําดังนั้นท่านก็ทํา ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกว่าย่าของตนเองผิดปกติ กลับภาคภูมิใจในความเข้มแข็งของย่าที่ทําในสิ่งที่คนอื่นทําไม่ได้และก็เป็นการทําความดี
เมื่อข้าพเจ้าเติบโตขึ้นอีกหน่อยก็พอรู้ว่า ไม่มีผีจริงๆ สิงอยู่ในเครื่องเล่นการพนันเหล่านั้น มีแต่ความโลภมากอยากรวยของคนที่ไปเล่น แต่กระนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถถอนความหวาดกลัวให้หมดไปจากใจได้ ประกอบกับได้มาเห็นโทษภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อกับคนใกล้ชิดที่รู้จักดี จึงได้เพิ่มความรู้สึกอีกชนิดหนึ่งขึ้นมา นั่นคือความเกลียดชังการพนัน และยังรู้สึกเกินเลยไปกระทั่งพาลเกลียดชังแม้คนเล่นการพนันไปเสียอีกด้วย
“นี่ หนู... ทําไมไม่ยอมพูดกับอา โกรธอาเรื่องอะไรกัน”
อาถามข้าพเจ้า ท่านเป็นน้องชายคนเดียวของพ่อ ย่าของข้าพเจ้ามีลูกเพียง ๒ คน เป็นชายทั้งคู่ อามักจะน้อยใจข้าพเจ้าอยู่เสมอๆ ในวัยเด็กข้าพเจ้าเป็นเด็กช่างพูด พูดชนิดที่เรียกกันว่า “ต่อยหอย” ใครถามอะไรหรือคุยอะไรก็จะคุยโต้ตอบเป็นที่ชอบใจของพวกผู้ใหญ่เสมอ เพราะพูดคําที่มีความหมายต่างๆ ได้เกินวัย แต่กับอาของตนเองแล้วข้าพเจ้ามักปิดปากนิ่งเงียบ และจะรีบเดินหรือวิ่งหนีไปเสียจนไกล อาจึงมักบ่นน้อยใจข้าพเจ้าให้ใครๆ ฟัง
ข้าพเจ้าเกลียดชังอาของตนเอง เพราะอาชอบเล่นการพนันมาก โดยเฉพาะที่เรียกว่า “เล่นโป” ไม่ยอมทํามาหากินด้วยอาชีพใดๆ เลย ได้แต่ไปเล่นโปที่บ่อนโน้นบ่อนนี้ ได้บ้างเสียบ้าง เมื่อใดเสียจนหมดตัว ก็จะกลับมาขอเงินจากย่าไปเล่นใหม่ ถ้าย่าไม่ยอมให้ อาก็ใช้วาจาด่าย่า ด้วยถ้อยคําหยาบคาย ครั้นพอย่าไม่อยู่บ้าน อาก็จะงัดประตูห้องเข้าไปรื้อค้นเอาเงินที่ย่าเก็บไว้ไปจนหมด บางครั้งย่าอุตส่าห์ปีนขึ้นไปซ่อนเงินไว้บนขื่อบ้าน อาก็จะค้นจนพบและเอาไปจนหมดอีกเหมือนกัน
ข้าพเจ้าได้พบเหตุการณ์เหล่านี้แทบทุกครั้งที่พ่อพาไปเยี่ยมย่า ข้าพเจ้าเห็นพ่อพูดกับย่าด้วยถ้อยคําดีๆ ให้เงินบ้าง ซื้อของฝากบ้าง แต่กลับเห็นการกระทําของอาตรงข้ามกับพ่อ ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนก็เป็นลูกของย่าเหมือนกัน ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าที่เป็นดังนี้เพราะโทษของการเล่นการพนันนั่นเอง
วันหนึ่ง ย่าเดินทางมาบ้านข้าพเจ้าแต่เช้าตรู่ ตามตัวท่านมีรอยช้ำเขียวอยู่หลายแห่ง ย่าพูดกับพ่อว่า
“ไอ้ทิดเอ๊ย เมื่อวานนี้มัน (หมายถึงอาของข้าพเจ้า) ทุบตีแม่เสียสะบักสะบอม เพราะแม่ไม่ให้เงินมัน เดี๋ยวนี้แม่ไม่กล้าซ่อนเงินไว้ที่อื่น แม่ใส่กระเป๋าเสื้อติดอยู่กับตัว มันจึงใช้วิธีทุบตีแย่งเอา มันเรียกแม่ว่า “อีหมาขี้เรื้อน” ด้วย”
ข้าพเจ้าเห็นพ่อร้องไห้ พูดอ้อนวอนย่าให้มาอยู่ที่บ้านของเรา แต่ย่าก็อ้างว่าเป็นห่วงบ้านและไร่นาที่มีอยู่ทุ่งโน้น เมื่อพักผ่อนสบายใจดีแล้ว ย่าก็กลับบ้านของท่านอีก
วันเวลาผ่านไปจากเดือนเป็นปีและหลายๆ ปี ข้าพเจ้าเติบโตขึ้น ต้องออกจากบ้านไปเรียนที่ตัวจังหวัดบ้าง เรียนที่กรุงเทพฯ บ้าง ไม่ใคร่ได้ไปพักอยู่กับย่าเหมือนในวัยเด็กอีก แต่ก็ได้ทราบข่าวของอาจากพ่ออยู่เสมอ ชีวิตของอายังหมกมุ่นอยู่ในการพนันไม่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันด้วยรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างดี ทําให้หลอกลวงผู้หญิงเป็นภรรยาได้ถึง ๔ ราย มีลูกด้วยกัน ๗ คน ซึ่งอาไม่เคยรับผิดชอบเลย ปล่อยให้ฝ่ายหญิงเลี้ยงลูกกันไปตามบุญตามกรรม ย่าเองยังรับมาเลี้ยงไว้ให้ ๒ คน
ท้ายที่สุดที่ทําให้ย่าตรอมใจมาก คือย่าต้องการมอบไร่นาที่มีอยู่จํานวนครึ่งหนึ่งให้ข้าพเจ้า อีกครึ่งหนึ่งให้ลูกชายของอาที่ย่าเลี้ยงเอาไว้เพราะเป็นคําสั่งก่อนตายของปู่สั่งไว้ ดังนั้น อาได้ใช้อุบายหลอกลวงย่าให้พิมพ์นิ้วมือลงในใบมอบอํานาจ เขาจะเป็นผู้นําไปแจ้งต่อทางหอทะเบียนที่ดินของจังหวัดให้เปลี่ยนเป็นชื่อข้าพเจ้าเอง ย่าไม่รู้หนังสือและไม่รู้กฎหมายจึงหลงเชื่อ อาได้โกงทรัพย์นั้นเป็นของตนและนําไปจํานอง นําเงินไปเล่นการพนันจนหมด
“ถ้าไม่นึกถึงว่ามันเป็นน้องคลานตามกันออกมา พ่อจะฆ่ามันเสีย มันทําความเจ็บช้ำน้ำใจให้ย่ามากมายนัก!” พ่อพูดกับข้าพเจ้า
“อย่าไปคิดแค้นอะไรกับคนอย่างนั้นเลยพ่อ ถ้าเราฆ่าเค้าตาย ย่าก็จะเสียใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะทั้งพ่อทั้งอาก็เป็นลูกของย่า ย่าคงไม่อยากเห็นพี่ฆ่าน้อง แล้วหนูก็ไม่เดือดร้อนอะไร พ่อส่งหนูเรียน หนูมีความรู้ หนูมีงานทําแน่ๆ ยังไงก็คงไม่ได้กลับมาทํานาแน่นอน” ข้าพเจ้าต้องปลอบพ่อเสียเอง
ด้วยต้องการปลอบใจย่า พ่อได้ไปขอกู้เงินจากเพื่อนของท่านมาไถ่ถอนที่นาคืน ทําให้ย่าค่อยมีกําลังใจดีขึ้น อีกหลายปีต่อมา ข้าพเจ้าได้ทํางานมีตําแหน่งสูง มีรายได้ดี เป็นที่พึ่งของญาติพี่น้อง ได้เอื้ออารีต่อวงศาคณาญาติตามวิสัยและความสามารถอยู่เสมอๆ ยกเว้นครอบครัวของอา ข้าพเจ้าไม่เคยไปมาหาสู่ บางครั้งไปเยี่ยมญาติพี่น้องแม้บ้านจะติดกับบ้านของอา ข้าพเจ้าก็ไม่เคยไปเยี่ยม ใจยังคิดรังเกียจคนที่เล่นการพนัน แก้ไขอย่างไรก็ไม่หาย
เมื่อย่าของข้าพเจ้าตายไปได้ ๒ ปี อาสะใภ้คนหนึ่งได้มาพบพ่อของข้าพเจ้า แจ้งข่าวว่าอาป่วยหนัก อาขอให้มาตามพ่อและข้าพเจ้าไปเยี่ยมสักหน่อย อาเจ็บคราวนี้คงไม่รอด เพราะอาเจียนเป็นเลือดสดๆ หลายครั้ง กินข้าวไม่ได้มาหลายวัน อะไรที่เป็นของเหลวๆ ก็กินไม่ได้ อาเจียนหมด
“หนูจะไปเยี่ยมอามั้ยลูก” พ่อถามข้าพเจ้า
“พ่อไปคนเดียวเถอะค่ะ เพราะแม่ก็ไม่ค่อยสบาย หนูต้องคอยดูแม่ พ่อบอกอาก็แล้วกันว่า เรื่องทั้งหมดที่อาทําไว้ส่วนที่เกี่ยวกับหนู หนูไม่ถือโทษอะไรๆ หรอก ที่มาไม่ได้เพราะต้องอยู่เฝ้าแม่” ข้าพเจ้าตอบพ่อดังนี้ เพราะระยะนั้นมารดาของข้าพเจ้ากําลังป่วยหนักเหมือนกัน
เป็นตามที่ข้าพเจ้าคาดคะเนจริงๆ อารู้ตัวว่ากําลังใกล้จะตาย เกิดสํานึกผิดในบาปกรรมของตน จึงร่ำร้องอยากพบคนโน้นคนนี้ที่ตนเคยทําผิดล่วงเกินไว้ เมื่อบิดาข้าพเจ้าไปเยี่ยมเยียนพูดปลอบใจแล้ว วันรุ่งขึ้นอาก็ถึงแก่กรรม
ชื่อเรื่องเดิม ผีพนัน
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม1