จิตตานุภาพ
สมัยที่ข้าพเจ้าเป็นผู้อํานวยการโรงเรียนอยู่นั้น การที่เด็กหนุ่ม ๆ สาวๆ หรือวัยรุ่นจะไปดูภาพยนตร์ ค่อนข้างจะเป็นเรื่อง “พิเศษ” หรือไม่ก็เป็นรายการหนีโรงเรียนไปเที่ยว ไม่เหมือนสมัยปัจจุบันที่ไปเที่ยวได้เป็นปกตินิสัย และดูจะเป็นเรื่องธรรมดา ลูกศิษย์หญิงของข้าพเจ้าคนหนึ่งได้ไปเดินที่หน้าโรงภาพยนตร์ ขณะที่กําลังจะตีตั๋วเข้าไปนั้น เธอก็ได้ยินเสียงข้าพเจ้าเรียก เธอตกใจกลัวลนลานวิ่งหนีออกมา เธอกลับมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยอมรับว่า ข้าพเจ้าร้องเรียกเธอดังที่เธอเข้าใจ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นอะไรเกี่ยวกับการที่เธอหนีไปดูภาพยนตร์เลย ข้าพเจ้าบอกว่า
“ครูเป็นห่วงนักเรียนทุกคนนะลูก ยิ่งพวกลูกผู้หญิงด้วยแล้ว ครูเป็นห่วงเป็นพิเศษ เพราะคนใจร้ายมันชอบหลอกเอาไปขายให้ซ่องโสเภณี เด็กก็จะเหมือนตายทั้งเป็น เสียชาติเกิดทีเดียวนะ ใจของครูที่ห่วงพวกหนูน่ะแหละ มันคอยตามคิดถึง คอยตามดูแลลูกศิษย์ พอใครจะทําอะไรผิดๆ มันเตือนได้ก็จะเตือน ทีนี้ลูกอย่าไปในสถานที่อย่างนั้นอีกรู้มั้ย บางทีมันเอาสำลีชุบยาสลบโปะปิดจมูกเราสลบเลย แล้วมันทําเป็นประคองว่าเราเป็นลม ใครถามมันก็บอกว่าลูกมากับมัน เกิดเป็นลมกะทันหัน ต้องพาไปหาหมอ ที่แท้มันก็พาลูกไปขายซ่อง ก่อนขายมันก็มักรังแกข่มขืนทําร้ายร่างกายเราต่างๆ คนบาปหนาพวกนี้มันมีรูปร่างเป็นคนแต่ใจมันเป็นสัตว์ ลูกจะต้องระวังตัว”
ข้าพเจ้าสอนลูกศิษย์วัยรุ่นสมัยนั้นอย่างนี้เสมอ ด้วยเวลานั้นเรื่องดังที่กล่าวนี้แพร่หลายมาก เพราะมีทหารต่างชาติมาตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศของเรา พวกคนใจบาปหากินโดยวิธีตั้งซ่องโสเภณีกันมากมาย
การเห็นคนที่เรานึกถึง ข้าพเจ้าได้ฟังอยู่บ่อยๆ แรกๆ ข้าพเจ้าเข้าใจนัก เช่น เมื่อฟังผู้คนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
“คุณป้า เมื่อคืนนี้ตอนตี ๔ คุณป้าไปปลุกให้หนูลุกขึ้นทําสมาธิหรือคะ หนูได้ยินเสียงคุณป้าเรียกชัดเจนเลย ตกใจตื่นขึ้นมายังได้ยินเสียงเรียกอยู่เลยค่ะ” นี่รายที่หนึ่ง รายที่สองก็ว่า
“คุณป้า เมื่อคืนนี้จะตี ๔ อยู่แล้ว คุณป้าไปจับตัวหนูเขย่าหรือคะ คงจะให้หนูลุกขึ้นนั่งภาวนา หนูถูกเขย่าจึงตกใจตื่นลุกขึ้นนั่ง ยังเห็นคุณป้านั่งอยู่ข้างหน้า ห่มผ้าอย่างนี้แหละค่ะ นั่งเห็นๆ กันชัดเจนอยู่นาน หนูไม่ง่วงแล้วนะคะตอนนั้น เห็นอยู่ตั้งนานน่ะค่ะ แล้วภาพจึงค่อยๆ เลือนไป”
รายที่สามเป็นชาย เขียนจดหมายมาจากจังหวัดนครราชสีมา บอกว่าคืนวันหนึ่งขณะทํากรรมฐาน เกิดมีอารมณ์ฟุ้งซ่านเรื่องทางเพศ ทันทีนั้นเกิดเห็นเป็นภาพข้าพเจ้าไปเรียกให้เดินตามไป ก็รีบตามไปทันที ข้าพเจ้าพาเขาไปที่ป่าช้าแห่งหนึ่ง ให้เขาดูซากศพชนิดต่างๆ ไปทีละศพๆ ถึง ๑๐ ศพ แต่ละศพน่ารังเกียจน่าขยะแขยงทั้งนั้น พอเห็นครบ ๑๐ ศพ แล้ว กามราคะที่เกิดขึ้นในใจไม่มีเหลืออยู่เลย แล้วภาพข้าพเจ้าก็หายไป
เขาเขียนถามมาว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์ไปหาผมใช่ไหมครับ อาจารย์คงรู้ว่าผมกําลังมีปัญหาในการปฏิบัติ”
ยังมีเรื่องทํานองนี้อีก แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายข้าพเจ้าได้ทราบจากคําบอกเล่ามาว่า ลูกศิษย์สตรีคนหนึ่งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ นั่งรถยนต์ส่วนตัวมีคนขับรถ ไปทำธุระที่สถานที่แห่งหนึ่ง ในระหว่างทางคนขับรถขับแซงรถทางซ้ายมือ พอดีมีรถสิบล้อสวนมาทางขวามือ วิ่งมาด้วยความเร็วสูงมาก สตรีนั้นรู้ตัวว่ารถของตนต้องถูกชนแน่นอน ความตกใจถึงที่สุดพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ร้องในใจพร้อมกับหลับตาปี๋ หลวงพ่อช่วยด้วย หลวงพ่อช่วยลูกด้วย คิดว่าพริบตานี้รถคงต้องชนกันโครมใหญ่ ตนเองคงตัวแบนตายติดอยู่ในรถ
เสียงชนดังโครมใหญ่เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่เธอรู้สึกว่าตัวเธอไม่เป็นอะไรจึงลืมตาขึ้น ก็เห็นรถเธอวิ่งเป็นปกติ แต่รถสิบล้อชนเสาไฟฟ้า เธอจึงให้คนขับจอดรถ เดินไปถามคนขับรถสิบล้อซึ่งตะเกียกตะกายลง จากรถโดยไม่บาดเจ็บ เพียงแต่รถของเขาด้านหน้าซีกซ้ายมือยุบไปพอสมควร เสียงคนขับรถสิบล้อบ่นอย่างหัวเสียว่า “ผมเห็นพระสงฆ์องค์หนึ่งยืนอยู่กลางถนน จึงหักพวงมาลัยหลบ นี่ท่านหายไปไหนเสียล่ะ” ว่าแล้วก็หันมองไปรอบทิศ ก็ไม่มีวี่แววพระภิกษุสักองค์เดียว
สตรีนั้นมั่นใจว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อมาช่วยเธอแน่นอน มายืนขวางถนนให้ทีเดียว ข้าพเจ้าฟังเรื่องนี้ ข้าพเจ้าไม่ขัดคอ ให้เขาเชื่อด้วยศรัทธาอันมั่นคงอย่างนั้น
ข้าพเจ้าได้ใช้ภาวนามยปัญญาที่พอมีอยู่บ้าง (วิธีทําก็คือเอาจิตวิ่งเข้ากลางศูนย์กลางกายเข้าไปให้เต็มกําลัง) ก็พอรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดได้ จิตของคนนั้นๆ แหละเป็นคนสร้างรูปขึ้นมาเอง
ในภาคปริยัติธรรม ในคัมภีร์อภิธรรมกล่าวไว้ว่า รูปเกิดได้จากกรรม จิต อุตุ อาหาร นี่จิตก็สร้างรูปขึ้นเองได้ ดังนั้นใครก็ตามถ้ามีที่พึ่งทางใจ เวลาคับขันเข้าตาจนก็จะระลึกถึงที่พึ่งของตน เมื่อจิตเป็นหนึ่งมีพลังเต็มที่ จิตก็จะสร้างภาพสิ่งที่เขาระลึกถึงนั้นมา
บางครั้งถ้าจิตไม่นึกเป็นภาพ เพียงส่งกระแสพลังไปถึงก็มี กําลังงานชนิดหนึ่งไปได้ หรือถ้าผู้ส่งต้องการให้ผู้รับเห็นภาพ ผู้ส่งก็ทําให้ผู้รับได้เห็น ตัวอย่างที่เกิดกับข้าพเจ้าเองเมื่อ ๒๕ ปีที่แล้ว คือวันที่ป่วย เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลันบนรถไฟ ขณะกําลังเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเจ็บปวดราวใกล้สิ้นใจนั้น ข้าพเจ้านึกกราบลาตายต่อพ่อซึ่งอยู่ที่จังหวัดราชบุรี อยู่ห่างจากข้าพเจ้าเกือบ ๖๐๐ กิโลเมตร พ่อนอนเล่นอยู่ ท่านเห็นหน้าข้าพเจ้าแว่บหนึ่ง พอเห็นหน้าเสร็จก็มีเสียงโคมไฟตะเกียงเจ้าพายุ (สมัยนั้นยังไม่มีไฟฟ้า) แตกได้เอง พอโคมไฟแตกเสร็จ ก็มีเสียงยางรถจักรยานที่จอดอยู่นิ่งๆ ระเบิดตามมา นั่นเป็นเพียงพลังจิตของข้าพเจ้าที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม ยังมีอานุภาพถึงเพียงนั้น (พ่อจดวันเวลาที่เกิดเหตุไว้ ซึ่งข้าพเจ้ายืนยันต่อพ่อว่า ข้าพเจ้านึกถึงท่านในเวลานั้นจริงๆ) ส่วนผู้คนที่ปฏิบัติธรรมจนบรรลุผลย่อมมีพลังจิตมหาศาลกว่านั้น
ที่เล่าเรื่องของพลังจิตมาข้างต้นนั้น ข้าพเจ้าขอยืนยันไว้ในที่นี้ว่า ในเวลาเกิดเหตุข้าพเจ้าไม่ได้ส่งจิตหรือนึกถึงผู้คนเหล่านั้นเลย จิตของพวกเขานั่นเองสร้างภาพข้าพเจ้าขึ้น เพราะความศรัทธา เคารพเลื่อมใส ที่พวกเขามีต่อข้าพเจ้า เมื่อจิตของเขานึกถึงก็สร้างภาพได้ตามที่นึก แม้แต่รายคนขับรถสิบล้อที่เห็นพระเดชพระคุณหลวงพ่อไปยืนกลางถนนจนต้องหักรถหลบไปชนเสาไฟฟ้าข้างทาง นั่นก็เป็นพลังจิตของสตรีที่อยู่ในรถเก๋งสร้างรูปขึ้น เธอนึกถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่ออย่างรุนแรง เพราะคิดว่าตนเองตายแน่ พลังของใจคนที่รู้ตัวว่าตายแน่ จะเป็นพลังกล้าแข็งพิเศษ รวมเอาธาตุดินน้ำไฟลมที่เป็นปรมาณูเล็กๆ อยู่ในอากาศ มาอัดตัวรวมกันเข้าชั่วคราวให้เป็นรูปตามต้องการ
นอกจากใช้พลังใจตนเองสร้างภาพตามที่ต้องการได้แล้ว ในกรณีที่ผู้นั้นฝึกสมาธิจนได้ทิพยจักขุ สามารถมองเห็นสัตว์ในภพภูมิอื่น ติดต่อพูดคุยกันรู้เรื่อง ยังขอความร่วมมือให้สัตว์กายละเอียดเหล่านั้นช่วยสร้างภาพให้เห็นกันด้วยตาเนื้อ ก็ทําได้อีกวิธีหนึ่ง
วันที่ ๑๔ - ๑๖ เมษายน ๒๕๓๒ ข้าพเจ้าเดินทางไปในจังหวัดภาคใต้แห่งหนึ่ง เพื่อแสดงธรรมบรรยาย ความจริงก็อยากจะบอกชื่อคน ชื่อจังหวัดอะไรต่างๆ ไว้ในที่นี้ให้ละเอียดเป็นหลักฐาน แต่เมื่อใคร่ครวญแล้ว ถ้าบอกออกไปจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี เพราะผู้คนจะพากันไปรบกวนผู้ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงเพิ่มขึ้นอีก เท่าที่ท่านถูกกวนใจอยู่ทุกวันนี้ก็มากมายนักแล้ว อย่าให้ใครรู้จักท่านเพิ่มขึ้นอีกเป็นดี ท่านจะได้มีเวลาปฏิบัติธรรมของท่านบ้าง
ท่านผู้ที่ข้าพเจ้าเล่าถึงขณะนี้ เดิมท่านศึกษากรรมฐานกับสตรีผู้เฒ่าอายุเกินกว่าร้อยปีจนสามารถเห็นดวงกลมใสภายในตัว (เรียกกันว่า ดวงพุทโธ) ท่านก็นําเอาดวงนี้ส่องดูเรื่องโน้นเรื่องนี้ ใครมีทุกข์ร้อนมี ปัญหาเจ็บป่วยภัยพิบัติใดๆ ก็พากันมาหาท่านเป็นที่พึ่ง ท่านใช้ดวงใสของท่านส่องดูต้นสายปลายเหตุ แล้วก็ช่วยเหลือผู้คนไปตามสมควร
ต่อมาท่านได้อ่านพบหนังสือวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายของวัดพระธรรมกาย ท่านก็หัดนั่งตามหนังสือ เอาดวงใสของท่านไปไว้ที่ศูนย์กลางกาย ท่านก็สามารถรู้ธรรมเห็นธรรมไปตามข้อความที่เขียนไว้ในหนังสือนั้น เห็นกายต่างๆ เข้าไปภายในจนครบ เวลานั้นยังไม่ได้มาศึกษาเล่าเรียนกรรมฐานต่อจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยภิกขุ ยังไม่ถูกพระเดชพระคุณหลวงพ่อสั่งห้ามเรื่องแสดงอิทธิฤทธิ์ ท่านก็ทดลองความสามารถทางจิตของท่านหลายๆ เรื่อง แล้วก็ได้ผลเป็นอัศจรรย์
ข้าพเจ้าจะเล่าเป็นตัวอย่างไว้ในที่นี้ ๒-๓ เรื่อง
เรื่องแรก ท่านผู้นี้ต้องการให้ภรรยาของท่านมั่นใจเชื่อถือในอำนาจจิตที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติภาวนา ท่านทําใจเป็นสมาธินิ่งๆ ครู่หนึ่ง ก็มองเห็นเปรตตนหนึ่งยืนอยู่แถวหน้าบ้านของท่าน ซึ่งปกติแล้วจะมีเปรตมากันอยู่เสมอเพื่อมาขอส่วนบุญ เพราะสัตว์เหล่านั้นรู้ว่าท่านเป็นคนมีบุญ
“มายืนอยู่หน้าบ้านชั้นทําไม อยากได้บุญเหรอ” ท่านถาม เปรตตนนั้นรับคํา ท่านก็พูดว่า
“ชั้นจะให้บุญเธอก็ได้นะ แต่เธอต้องทํางานให้ชั้นซักอย่างหนึ่ง” เปรตรีบรับคําอีก
“เธอเอาเศษใบไม้ ดอกไม้แห้งที่เมียชั้นเค้ากําลังกวาดอยู่ที่หน้าบ้านนั้น สร้างเป็นรูปร่างของเธอขึ้นมาแล้วกระโดดข้ามรั้วไปกองอยู่นอกบ้านได้มั้ย”
เปรตตอบว่า “ได้”
“ถ้าเธอทําได้ ชั้นจะแบ่งส่วนบุญให้นะ” แล้วท่านผู้นั้นก็ออกจากสมาธิพูดกับภรรยาว่า
“คุณคอยดูนะ เดี๋ยวจะมีอะไรเกิดขึ้น ผมใช้อํานาจสมาธิจิตทําให้คุณดู”
เวลานั้นเอง ทั้งที่เป็นเวลาลมเงียบนิ่งสนิท ใบไม้ดอกไม้แห้งที่ภรรยากวาดกองรวมอยู่ก็ค่อยๆ ขยับรวมตัวกันเป็นกลุ่มแล้วหมุนเบาๆ เป็นเกลียวสูงขึ้นๆ เป็นรูปร่างของคนอย่างชัดเจน คือเป็นรูปคนที่ทําด้วย ใบไม้ดอกไม้ (เฟื่องฟ้า) แห้งนั่นเอง แล้วร่างดังกล่าวก็ลอยตัวกระโดดข้ามกําแพงรั้วไปหล่นทิ้งนอกบ้านได้เลย ภรรยามองดูอย่างอัศจรรย์ ท้ายที่สุดก็ให้นึกกลัวขึ้นมา ขยะอะไรลอยเป็นรูปคนขึ้นมาได้ เลยรีบวิ่งเข้าบ้าน บอกสามีว่า “เชื่อแล้วค่ะ เชื่อแล้ว”
เรื่องที่สอง ท่านผู้นี้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า พอผมหัดทําสมาธิเพื่อให้เข้าถึงพระธรรมกายตามคําสอนใน หนังสือ ผมก็สามารถเห็นกายละเอียดของสัตว์ต่างๆ พวกเค้าล้วนแต่เป็นคนทั้งนั้นเลยครับ ตอนนั้นบริเวณรอบๆ บ้านของผมยังไม่มีบ้านอื่นมาอยู่ มีแต่ป่าเต็มไปหมด ผมมองดูในป่าก็เห็นงูนานาชนิด ทั้งมีพิษไม่มีพิษ ตัวเล็กตัวใหญ่จํานวนมากด้วยกัน ผมจึงพูดกับกายละเอียดของพวกเค้าว่า ต้องการเห็นความอัศจรรย์ของอํานาจสมาธิ ขอให้พวกเค้าพากันมาหาผมที่บ้านสักหน่อย พวกเค้าต่างพากันรับคํา ผมออกจากสมาธิแล้วก็บอกคนในบ้านไม่ให้กลัว เดี๋ยวงูจะพากันมาที่บ้าน
เพียงครู่เดียวนะครับ งูออกจากป่าเลื้อยตรงมาบ้านผม ที่น่าแปลกที่สุดคือเขาเลื้อยมาเหมือนคนเข้าแถวเดิน คือมีตัวหนึ่งนําหน้าแล้วตัวที่สองที่สามที่สี่ก็ตามมาเรื่อยๆ หางตัวแรกต่อกับหัวตัวที่สอง หางตัวที่ สองต่อกับหัวตัวที่สาม เลื้อยเรียงหนึ่งกันมาเป็นเส้นตรงออกจากป่ามาตามถนน แล้วเข้ามาอยู่ที่ทางเดินในบ้านผมเต็มไปหมด มากันจนหมดป่าแถวนั้นเลย
เมื่อมาอยู่กันเต็มไม่มีตัวอื่นเพิ่มมาอีกแล้ว ผมก็เข้าสมาธิจิตพูดกับกายละเอียดของพวกเค้าว่า
“พวกท่านอยากได้บุญมั้ย ผมจะแบ่งส่วนบุญให้”
กายละเอียดของพวกเค้ารับคํากันหมด ผมก็นึกถึงบุญกุศลต่างๆ ที่ทํามาแล้ว นึกแผ่ส่วนกุศลนั้นให้ เค้าก็พนมมืออนุโมทนารับส่วนกุศลทั่วกัน จากนั้นผมก็บอกให้เค้าพากันกลับคืนสู่ป่าซึ่งเป็นบ้านของเค้าตามเดิม
เหตุการณ์ต่อมาปรากฏว่า เหล่างูทั้งหลายไม่กลับป่า กลับพากันเลื้อยเข้าไปตามบ้านคน บ้านละ ๓ ตัว ๔ ตัว ถูกตีตายกันจนหมด ตอนเช้าแต่ละบ้านเอางูที่ตีตายแล้วมากองรวมกันที่ถนน กองใหญ่เบ้อเร่อ ต่างคนต่างโกรธเคืองผมหมดทุกบ้าน หาว่าผมเป็นหมอผี เรียกงูมาได้ เพราะเค้าเห็นตอนงูเข้าแถวมาบ้านผม ตอนนั้นเค้าไม่คิดตีมันตาย เพราะถือว่าไม่ได้เข้าไปในบ้านเค้า
“น่าสงสารจังเลย ทําไมจึงไม่กลับเข้าป่าไปที่อยู่มันล่ะคะ โถพากันออกจากป่ามาตายหมด” ข้าพเจ้าบ่น เพราะถ้าเป็นท่านผู้อ่านท่านก็คงบ่นอย่างนี้เหมือนกัน
“ครับตอนแรกผมก็ตกใจว่า อ้าวหวังดีแท้ๆ เรียกมารับส่วนบุญทำไมไปเป็นยังงั้นไปได้” ท่านผู้นั้นเดาสีหน้าไม่สบายใจของข้าพเจ้าออก กล่าวต่อไปว่า
ผมก็เข้าสมาธิไปต่อว่าพวกเค้าทันที กายละเอียดพวกเค้าตอบผมว่า
“ก็คุณแบ่งส่วนบุญให้พวกเราแล้วนี่ เราก็มีบุญพอจะไปหาที่เกิดใหม่เป็นคนได้แล้ว เรื่องอะไรจะให้อยู่เป็นงูอีกล่ะ ก็ต้องใช้วิธีอย่างนี้แหละ เข้าไปให้คนเขาตีเสียให้ตาย จะได้ไปเกิดเอากายใหม่เป็นคน มีโอกาสสร้างบุญได้ ขืนเลื้อยกลับเข้าป่า ก็จะต้องไปเป็นงูกันตามเดิมอีกหลายปีเสียเวลา”
ฟังคําบอกเล่าแล้วก็ค่อยโล่งใจไปหน่อย ดีที่เป็นเรื่องเก่าทดลอง อำนาจจิตก่อนรู้จักพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ตอนนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อสั่งห้ามแล้ว ค่อยยังชั่ว เดี๋ยวเกิดทดลองให้ข้าพเจ้าดูคงแย่เลย เพราะข้าพเจ้าเป็นโรคกลัวงู กลัวสุนัขดุ
พูดถึงเรื่องสุนัข ก็ขอเล่าต่ออีกเรื่องหนึ่ง ตอนเช้าวันที่สองซึ่งข้าพเจ้าพักอยู่ที่นั้น หลังจากตื่นขึ้นทำสมาธิตอนเช้ามืดตามปกติแล้ว พอสว่างข้าพเจ้าก็เดินออกกําลังกาย ขณะที่เดินพ้นประตูบ้านออกมายืนสูดอากาศโล่งอยู่อย่างสดชื่น มองไปตามทางเดิน เห็นมีสุนัขสองตัว ตัวหนึ่งตัวใหญ่สีขาวขนปุย เป็นสุนัขแก่ ข้าพเจ้าไม่รู้สึกกลัว ส่วนตัวเล็ก เป็นสีดําขนสั้น ยืนจ้องข้าพเจ้าเป๋ง ความรู้สึกครั้งแรกที่เห็น ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจก่อนคิดเรื่องอื่น แปลกใจเหมือนเห็นคนแก่มากๆ อายุสัก ๗๐-๘๐ ปี คุยกับเด็กอายุ ๗-๘ ขวบ คุยกันอยู่แบบเพื่อน ท่าทางเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่พอเห็นข้าพเจ้า สุนัขทั้งสองจ้องดูนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพากันเดินตรงมาหาอย่างช้าๆ
ต้องแปลกใจเป็นครั้งที่สองเมื่อสุนัขตัวสีดําตัวเล็กเดินไม่เหมือนสุนัขทั่วไป เหมือนกระโดดเป็นช่วงสั้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่ากิริยาของเขาเหมือนสัตว์ชนิดไหน พอเขามาใกล้ข้าพเจ้าก็เดินหนี เกิดกลัวขึ้นมา ทั้งนี้ เพราะในสมัยเด็กถูกสุนัขดุกัดเอาบ่อยๆ จนเห็นสุนัขที่ไหนก็หวาดไว้ก่อน พอเห็นข้าพเจ้าเดินหนี สุนัขดําตัวน้อยก็หยุดเดิน ทําท่าทางและแววตาเหมือนเกรงใจ
ข้าพเจ้าเห็นอาการเดินไม่ปกติของเขาก็เลิกกลัว คิดเอาว่าขาของเขาคงพิการ อาจได้รับอุบัติเหตุถูกรถชนกระมัง ทําให้เดินไม่เหมือนสุนัขอื่น
ตอนเย็นก็ได้รู้ประวัติของเขาอย่างกระจ่าง ท่านเจ้าของบ้านที่ข้าพเจ้าพักเล่าว่า วันหนึ่งท่านนั่งทําสมาธิอยู่ เห็นชายแต่งกายสีดํามายืนอยู่หน้าประตูบ้าน จึงถามว่ามาธุระอะไร ภาพชายในสมาธิตอบว่า
“ผมอยากมาอยู่ด้วย พรุ่งนี้จะมาเกิดแถวนี้ มากับเพื่อน ผมแต่งตัวสีดํา เพื่อนแต่งสีขาวเป็นเพศชายอีกสองคนที่ตามมาเกิดด้วยเป็นคนอื่น เป็นผู้หญิง”
เมื่อถูกถามว่าเป็นใครมาจากไหน ฝ่ายนั้นก็ตอบว่า เมื่อตอนมีชีวิตเป็นคนอยู่ที่กรุงเทพฯ มีอาชีพฆ่ากระต่ายขาย ชื่อเก่าชื่อสุชาติ
รุ่งเช้าบ้านตรงข้ามกันซึ่งมีสุนัขตัวเมียท้องแก่ก็คลอดลูกเป็นตัวผู้สองตัว สีขาวตัวหนึ่ง ดําตัวหนึ่ง เป็นตัวเมียสองตัว และสุนัข (ตัวผู้) ทั้งคู่ก็ไม่ชอบอยู่บ้านตนเอง ชอบมาอยู่บ้านของผู้เล่าเรื่อง โดยเฉพาะตัวสีดำ เมื่อถูกเรียกชื่อว่าสุชาติ ก็รู้ว่าเป็นชื่อตัว เดินไม่เหมือนสุนัขตัวอื่นมาตั้งแต่เล็ก จะกระโดดเหมือนกระต่ายอย่างที่ข้าพเจ้าเห็น ต่อมาไม่นาน ตัวผู้สีขาวก็ตายไป ส่วนสุชาติยังอยู่จนทุกวันนี้ ข้าพเจ้าฟังแล้วก็สังเวชใจ ฆ่ากระต่ายมากเลยต้องไปเกิดเป็นหมาแต่กระโดดแย็กๆ เหมือนกระต่าย กรรมนำไปเกิดให้ต่ำลง ไม่มีโอกาสเกิดเป็นคนอีก น่าสงสารเสียจริงๆ
ชื่อเรื่องเดิม พลังจิต
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม3