ผีน้อยน่ารัก
ผีที่ข้าพเจ้าเห็นครั้งนี้ พวกเขาเป็นผีตัวเล็กๆ สูงประมาณศอกเดียว สวยงามน่ารักมาก ที่เป็นผู้ชายก็นุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อคอกลม มีผ้าสีสวยๆ พาดบ่า ถ้าเป็นผู้หญิงก็นุ่งโจงกระเบนใส่เสื้อแขนกระบอก มีสไบสวยๆ ห่ม
คืนที่ข้าพเจ้าได้เห็นพวกเขาเหล่านี้ เป็นคืนที่คุณปู่ของข้าพเจ้าถึงแก่กรรม ตอนเย็นผู้คนมารดน้ำศพ พอตกกลางคืนพระภิกษุสงฆ์ก็มาสวดพระอภิธรรม ข้าพเจ้านั่งอยู่กับแม่ซึ่งขณะนั้นแม่หยุดร้องไห้แล้ว แต่คนอื่นๆ อีกหลายคนยังร้องกันไม่ยอมเลิก ข้าพเจ้าไม่ชอบเลย แม้ตัวเองจะมีอายุไม่ถึง ๘ ขวบ ก็รู้ว่าบางคนแกล้งร้องเพื่อให้ผู้คนที่มาในงานสนใจและเข้าใจว่าตัวเขานี้รักใคร่คุณปู่ของข้าพเจ้ามาก ที่ข้าพเจ้ารู้เพราะว่าข้าพเจ้าเคยไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าครั้งละหลายๆวัน เคยได้ยินคนที่ร้องไห้โฮๆ นี้ตําหนิติเตียนคุณปู่ลับหลังชนิดสาดเสียเทเสีย เรื่องใหญ่คือหาว่าคุณปู่ลําเอียง รักแม่ของข้าพเจ้ามากกว่าใครๆ ข้าพเจ้าจึงดูออกว่าเป็นการกระทําที่ไม่จริงใจ รู้สึกรําคาญพาลให้นึกไปว่า
“เรื่องความตายนี้ใครๆ ก็รู้ว่าต้องตายทุกคน ไม่มีใครหนีพ้น แล้วทําไมต้องเสียใจเพราะยังไงๆ ก็แก้ไขไม่ได้ คนใหญ่พวกนี้ทําไมโง่กันนักนะ”
ทั้งที่คุณปู่รักข้าพเจ้ามากกว่าหลานคนอื่นๆ ถึงกับออกปากสั่งคุณย่าว่าให้ยกสมบัติครึ่งหนึ่งของท่านให้ข้าพเจ้าแทนให้บิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็รักท่าน ท่านชอบอุ้มข้าพเจ้าไปเที่ยวเล่นที่โน่นที่นี่มาตั้งแต่เล็กจนโต เมื่อเวลาที่ข้าพเจ้าไปพักอยู่ด้วย แต่คนเราถึงเวลาก็ต้องตาย ไม่มีใครยับยั้งไว้ได้ ตายแล้วก็แล้วกัน จะร้องไห้ทําไม คนตายน่าจะเหมือนคนเดินทางไปอยู่บ้านอื่น น่าจะอวยชัยให้พรจะได้จากกันด้วยความสุขใจ มาร้องไห้กันลั่นบ้านอย่างนี้ คนเดินทางก็ใจเสียแย่ ข้าพเจ้าคิดดังนี้แล้วก็เบื่อผู้คนบนบ้าน เมื่อไม่รู้จะหนีไปเล่นที่ใดเพราะค่ำมืดแล้ว เลยตั้งใจจะรีบนอนให้หลับเสีย จะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงคร่ำครวญ ตรงที่เคยนอนก็กลายเป็นที่นั่งของพระสงฆ์เสียแล้ว ท่านกําลังสวดอยู่ คนร้องไห้ก็ร้องแข่งกันไป ข้าพเจ้าฟังพระสวดไม่รู้เรื่อง หันไปหันมาไม่รู้จะทําอย่างไรเลยนอนเอาหัวพาดตักแม่ พยายามข่มตาลงจะให้หลับก็ไม่หลับ จึงนอนลืมตา มองตรงไปเบื้องหน้าทําอาการเหมือนคนเหม่อ คือข้าพเจ้ามีความสามารถอย่างหนึ่งติดตัวมา เวลาที่ไม่ต้องการได้เห็นได้ยินอะไร แม้ลืมตาอยู่ข้าพเจ้าก็จะทําเหมือนคนเหม่อ ไม่รับรู้อะไรทั้งตาทั้งหู ข้าพเจ้าทําได้บ่อยๆ ตั้งแต่เด็ก ข้าพเจ้าจึงลืมตานิ่งๆ ใจหยุดจากความรู้สึกนึกคิดทุกอย่าง เสียงพระสวดค่อยเบาลงจนได้ยินเสียงแว่วๆ เสียงสะอึกสะอื้นร้องไห้ดังๆ ไม่ได้ยิน
ทันใดนั้นข้าพเจ้าเห็นคนตัวเล็กๆ ขึ้นมาบนบ้านคนแล้วคนเล่า แต่งตัวกันสวยๆงามๆ ผ้าของเขามีสีนุ่มนวล มองแล้วใจสบาย สวยกว่าเสื้อผ้าที่พวกเราใช้กันอยู่ เมื่อข้าพเจ้าเห็นพวกเขา ตอนแรกก็มองดูอย่างเพลิดเพลินเพราะสวยดี ถ้าพวกเขาตัวโตเท่าคนธรรมดา ข้าพเจ้าคงไม่คิดสะดุดใจอะไร แต่เมื่อฉุกใจคิดว่า
“คนอะไรกันนี่ตัวเล็กนิดเดียวยังกับตุ๊กตา นี่ต้องไม่ใช่คนเสียแล้ว แล้วเป็นพวกไหนกันล่ะ”
ชอบมองก็ชอบมอง สงสัยก็สงสัย ผลที่สุดความสงสัยก็มีอํานาจเหนือกว่า จึงสะกิดถามแม่ ชี้มือให้แม่ดู แม่มองตามอย่างหวาดๆ พอฟังข้าพเจ้าเล่าจบ แม่ก็วางศีรษะข้าพเจ้าลงบนหมอน ลุกขึ้นไปกระซิบกระซาบกับคุณย่าอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคุณย่าก็ลุกเข้าไปในครัวสักครู่ แม่ก็มาจูงข้าพเจ้าไปหาย่าที่นอกชานบ้าน ให้ข้าพเจ้านั่งลงเหยียดเท้าทั้งสองไปข้างหน้า ทันทีนั้นย่าก็นําข้าวสารใส่ชามมาหนึ่งชาม สวดภาวนาเสกคาถาพึมพําๆ แล้วใช้มือกําเมล็ดข้าวทีละกํามือสาดใส่ข้าพเจ้ากําแล้วกําเล่า ทําเอาเจ็บแขนเจ็บขา เจ็บตามเนื้อตามตัวที่อยู่นอกเสื้อผ้าไปหมด ยังดีที่ไม่ถูกตีด้วยหวายเสก (แล้วอย่างนี้ข้าพเจ้าพบอะไรต่อมิอะไรจะบอกผู้ใหญ่ได้อย่างไร)
ในความรู้สึกตอนนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าพวกผู้ใหญ่นี่ทําอะไรไม่ใคร่มีเหตุผลเลย ผีที่มาในงานเป็นผีสวยๆ ทั้งนั้น ไม่ได้มาแลบลิ้นปลิ้นตาอะไร ทําไมต้องเกลียดชังพวกเขา ใช้วิธีการขับไล่ประหลาดๆ เสียดายข้าวสาร แต่ก็ไม่ได้คิดโต้เถียงอะไร
เมื่อมาถึงเวลานี้ ข้าพเจ้าย้อนกลับไปทบทวนดู สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็นคงจะเป็นพวกภุมมเทวดา ซึ่งเป็นเทวดาชนิดหนึ่งในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง พวกเขาขึ้นมาฟังพระสวดมนต์ ขณะเดียวกันก็เนรมิตตัวให้ข้าพเจ้าได้เห็น แต่จะให้เห็นเป็นตัวโตเท่าคนจริงๆ ข้าพเจ้าก็จะไม่ฉุกใจคิด คงเข้าใจว่าเป็นคนธรรมดา ทําให้เห็นเป็นตัวเล็กๆ ย่อมรู้ได้ว่าไม่ใช่คน
ภุมมเทวดาเป็นเทวดาชั้นต่ำ อยู่กันตามพื้นดิน บางทีก็อยู่ตามศาลพระภูมิ ในสมัยมีชีวิตเป็นมนุษย์มักรักษาศีล ไม่ทําความชั่ว แต่มิใคร่ได้ทําทาน สมบัติทิพย์จึงมีน้อยกว่าเทวดาประเภทอื่น ภุมมเทวดาที่ไม่เคยทําบุญด้วยการสร้างที่อยู่อาศัยก็มักไม่มีที่อยู่ อยู่กันตามพื้นดินจอมปลวก เป็นต้น เทวดาเหล่านี้ไม่รังเกียจมนุษย์ทั่วไป
สําหรับคุณย่าของข้าพเจ้า เทวดาพวกนี้คงจะไม่รังเกียจเพราะย่าถือศีลห้าอยู่เสมอ จึงมักมีการส่งข่าวให้ย่าทราบเรื่องต่างๆ อยู่หลายครั้งเท่าที่ข้าพเจ้าอยู่ในเหตุการณ์ด้วย มีครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปพักที่บ้านคุณย่า หลายคืน กลางวันวันหนึ่งข้าพเจ้ากับลูกคนหนึ่งของอาพากันไปวิ่งเล่นในดงไม้หลังบ้านซึ่งเป็นที่ดินของคุณย่า สิ่งที่เด็กๆ ชอบเล่นกันมาก คือเล่นปิดแอบ เราก็วิ่งไล่กันสนุกสนานจนเย็น จึงอาบน้ำรับประทานข้าว ปรากฏว่ายังไม่ทันรับประทานอาหารเย็น ลูกของอาก็ตัวร้อนจัดขึ้นมาโดยกะทันหัน คุณย่านําเอาน้ำมนต์ที่เก็บไว้ในบ้านมาเช็ดหน้าตาของหลาน
ขณะนั้นเด็กก็เพ้อขึ้นแต่เสียงเป็นเสียงชายชรา บอกว่าที่เด็กไม่สบายเป็นเพราะเขาซึ่งเป็นเทวดาที่ศาลพระภูมิลงโทษ เมื่อกลางวันเด็กคนนี้ทําอาการลบหลู่ คือขณะที่เล่นปิดแอบ วิ่งหนีผ่านไปทางศาลพระภูมิ ก็เอามือเหนี่ยวเสาศาลเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เทวดาบนศาลกลัวศาลจะล้มจึงมาสั่งสอน
คุณย่าจึงได้จุดธูปเทียนมาขอขมาลาโทษแทน มีการติดสินบนถวายส้มสูกลูกไม้ นําไปเซ่นไหว้ในวันรุ่งขึ้น ตรงนี้ใคร่ขอคุยกับท่านผู้อ่านสักเล็กน้อย หากท่านพบว่าผู้อยู่ในศาลพระภูมิเข้าสิงร่างใคร ขอให้เอาสิ่งของใดๆ เซ่นไหว้ตน ให้สังเกตของที่เอ่ยปากขอ ถ้าเป็นของสดคาว เนื้อสัตว์ สุรา แสดงว่าศาลพระภูมิหลังนั้นมิใช่เทวดาอยู่อาศัย แต่เป็นเปรตหรืออสุรกายอยู่แทน ถ้าเป็นส้มสูกลูกไม้ มะพร้าวอ่อน ขนมนมเนย เหล่านี้มักเป็นเทวดาจริงๆ
Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล
จากความทรงจำ เล่ม1