สามีนอกใจ ไม่เป็นทุกข์

วันที่ 18 มีค. พ.ศ.2560

 

สามีนอกใจ ไม่เป็นทุกข์

 

สามีนอกใจ ไม่เป็นทุกข์,จากความทรงจำ อุบาสิกาถวิล,บทความประจำวัน

 

       เวลานั้นเป็นเดือนกันยายน ปี ๒๕๒๔ ข้าพเจ้าพาบิดาเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดดวงตาซึ่งเป็นต้อกระจก หลังจากออกจากห้องผ่าตัด แพทย์เกรงคนไข้จะมีอาการปวดจึงให้ยาแก้อักเสบกับยานอนหลับ พ่อของข้าพเจ้าจึงนอนหลับอยู่เรื่อย ๆ วันหนึ่ง ๆ จะตื่นขึ้นเพียง ๒-๓ ครั้งเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องกังวลใจเรื่องการดูแลรักษาพยาบาลมากเท่าใด คงมีเวลาออกมานั่งที่ระเบียงหน้าห้องพักอ่านหนังสือบ้าง ถักเสื้อไหมพรมไว้ใช้ทันในฤดูหนาวที่จะมาถึงบ้างไปตามเรื่อง

      เมื่อมีคนงานหญิงคนหนึ่งเข้าไปทําความสะอาดในห้องพักของบิดา ข้าพเจ้าจึงถามเธอว่า

     “หนู ที่โรงพยาบาลนี้มีห้องขายของใช้กระจุกกระจิกมั้ย ป้าอยากซื้อกระดาษเช็ดมือซักกล่องน่ะค่ะ

      “มี อยู่ทางตึกโน้น เสียงของเธอตอบห้วนดุ ไม่มองหน้า แถมยังไม่ยอมชี้มือให้ดูตึกที่บอกนั้นด้วย สีหน้าบูดบึ้งเหมือนโกรธคนทั้งโลก ทําให้ข้าพเจ้าไม่กล้าถามต่อไปอีก จึงมองหน้าคนงานสตรีอีกคนหนึ่ง ซึ่งกําลังเดินถูพื้นระเบียงอยู่เหมือนจะถาม

     หลังจากคนที่ตอบข้าพเจ้าเดินคล้อยหลังไปแล้ว คนถูระเบียงก็อธิบายทางไปซื้อของให้ข้าพเจ้าทราบและพูดถึงเพื่อนเมื่อครู่ว่า

    “อีนี่มันบ้านะป้า ป้าอย่าไปถือสามัน ป้าพูดด้วยมันอุตส่าห์ตอบน่ะดีถมไปแล้วค่ะ ปกติแล้วมันไม่เคยยอมพูดกับใครเลย มันโกรธคนไปหมดทั้งโรงพยาบาล ขนาดผู้อํานวยการโรงพยาบาลมันยังไม่ยอมพูดด้วยดี ๆ เลยค่ะ พูดอย่างเสียไม่ได้ยังงี้แหละป้า ผู้อํานวยการฯ ท่านไม่ถือสาเลยรอดไป เป็นหนูนะคะ บ้ายังงี้หนูไม่เลี้ยงหรอกค่ะ ไล่มันออกไปแล้ว มันคอยหาเรื่องด่าคนโน้นคนนี้อยู่เรื่อย เค้าคุยกันเรื่องอื่น มันก็ว่านินทามันทั้งนั้น พวกหนูเบื่อกันทุกคนเลย”

 “เป็นมานานแล้วยัง อาการอย่างนี้น่ะ ข้าพเจ้าถาม เพราะถ้าเป็นปกติแล้ว ทางโรงพยาบาลคงไม่ยอมรับเข้า    ทํางานแน่

   เสียงอีกฝ่ายตอบว่า

    “เป็นมา ๗-๘ เดือนเข้านี่ล่ะค่ะ ตั้งแต่ผัวมันย้ายไปอยู่จังหวัดเชียงราย ไปมีเมียน้อยเข้าที่โน่น อีนี่บ้าเลยป้า การเรียกเพื่อนด้วยคำนำหน้าว่า “อี” แสดงว่าต้องเอือมระอากันจริงๆ

     ข้าพเจ้าจับสาเหตุได้ตามคําบอกเล่านั้น จึงไม่นึกโกรธเคืองอะไร มีแต่ความเห็นใจเจ้าหน้าที่สตรีคนดังกล่าวนั้นเต็มหัวใจ นึกเอาไว้ว่า จะต้องลองไต่ถามให้ข้อคิดดู จะทดลองพูดให้เธอเอาไปคิดดูบ้าง แม้ไม่หายทุกข์ไปได้หมด เอาเพียงให้ลดลง มีกิริยาอาการเป็นปกติอย่างเดิมก็ยังดี

     เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อเด็กสาวนั้นเข้ามาทําความสะอาดห้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว กําลังจะเดินกลับไป ข้าพเจ้าจึงตั้งจิตแผ่เมตตา (ปรารถนาให้เป็นสุข) และแผ่กรุณา (ปรารถนาให้พ้นจากความทุกข์) พร้อมทั้งพูดขึ้นเบา ๆ พอให้เธอได้ยินว่า

   “หนู หน้าตาของหนูดูไม่สบายใจเลย หนูมีความทุกข์รึลูก พ่อเด็ก ๆ นอกใจหนูหรือ

     พูดออกไปแล้ว ข้าพเจ้าก็มองหน้าเธอ สายตาของข้าพเจ้าคงจะแสดงความบริสุทธิ์ใจเต็มเปี่ยมออกไป สตรีนั้นวางเครื่องมือทำความสะอาดทั้งหมดลง กรากเข้ามานั่งคุกเข่าข้างข้าพเจ้า น้ำตาของเธอไหลพรากลงอาบหน้า ยกสองมือขึ้นเกาะเข่าข้าพเจ้าซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้

    “ป้า...ป้ารู้เหรอคะว่าหนูมีความทุกข์ ป้าพูดถูกด้วย ผัวของหนูมันนอกใจไปมีเมียน้อยที่เชียงรายโน่น หนูแค้นใจอยากจะฆ่ามันให้ตายทั้งสองคนคามือทีเดียว...ฮือ...”

       ข้าพเจ้าโอบไหล่ของเธอไว้เบา ๆ เป็นอาการปลอบโยน ปล่อยให้ระบายเล่าเรื่องความคับแค้นใจต่าง ๆ เธอคงจะไม่ได้ระบายกับใครมาก่อน พอมีโอกาสจึงร้องไห้ไม่มียั้ง เล่าสลับกับการร้องไห้รำพันคร่ำครวญร่วมชั่วโมง

        พอสรุปความได้ว่า สามีเป็นทหารยศจ่าสิบเอก มีลูกด้วยกันสองคน คนโตเป็นชายอายุ ๙ ขวบ คนเล็กเป็นหญิงอายุ ๖ ขวบ ครอบครัวอยู่กันมาอย่างมีความสุข เงินเดือนทั้งของสามีและของเธอเองเก็บหอมรอมริบปลูกบ้านหลังเล็ก ๆ พออยู่อย่างสบาย เมื่อทางราชการย้ายสามี แต่เธอย้ายตามไปด้วยไม่ได้ จึงได้อยู่กับลูกตามลำพัง แรก ๆ สามีก็พอกลับมาเยี่ยมบ้าง หลายเดือนเข้าฝ่ายชายก็อ้างราชการ เรื่องโน้นเรื่องนี้ไม่กลับ เธอจึงให้เพื่อนที่อยู่ทางจังหวัดโน้นสืบดูจึงรู้เรื่อง

        ความแค้นใจรุนแรงมากถึงกับนอนไม่หลับติดต่อกันหลายวัน ท้ายที่สุดลางานพกปืนติดตัวขึ้นไปตามสามี

        ข้าพเจ้าฟังถึงตอนนี้รู้สึกใจหายใจคว่ำ

       “เจอมั้ยหนู...

        “เจอสิป้า หนูลั่นไกปืนกะยิงไม่เลี้ยงเลย มันโดดหนีลงทางหน้าต่างบ้านกันทั้งคู่ บ้านมันเตี้ย มันจึงไม่เป็นอะไร ตกถึงดินได้มันก็เผ่นกันคนละทิศละทาง หนูยิงตามไปจนหมดลูกกระสุน ไม่ถูกมัน เพราะหนูไม่เคยยิงปืนมาก่อน พวกเพื่อน ๆ ของผัวหนูมาทัน ช่วยกันห้ามแล้วแย่งปืนหนูไว้ ไม่งั้นหนูจะวิ่งตามยิงต่อ เอาให้แหลกกันไปข้าง

     “คอยเฝ้าอยู่อีกหลายวันมั้ย

     “อีก ๓-๔ วันแหละค่ะ ไม่มีใครกล้ากลับมาเลย ไม่รู้หนีเปิดเปิงกันไปถึงไหน หนูเลยต้องกลับ นี่มันไม่กล้ากลับมาเยี่ยมหนูกับลูกอีกเลย เห็นเพื่อน ๆ ของมันเล่าให้หนูฟังว่ามันคิดถึงลูกเต็มที แต่ไม่กล้ามาเยี่ยม รู้ว่าหนูต้องยังไม่หายแค้น”

    เฮ้อ เวลารักกันก็เรียกพี่เรียกน้อง เรียกคุณเรียกฉัน ตอนนี้มีแต่สรรพนามว่า มึง มัน ไอ้ อี รายไหนก็รายนั้น นี่คือความรักของสามีภรรยา

    “แล้วเรื่องเงินเรื่องทองล่ะจ๊ะ” ข้าพเจ้าถามหาความดีของสามีของเธอ

   “อ๋อ มันมอบฉันทะให้หนูรับเงินเดือนแทนไว้แล้ว อยู่ที่โน่นใช้แต่เงินเบี้ยเลี้ยงเท่านั้น อีกฝ่ายตอบ

  “แล้วเรื่องในที่ทํางานนี่เล่า ทําไมหนูถึงเกลียดเพื่อนร่วมงานหมดทั้งโรงพยาบาล”

    “ก็มันพากันสมน้ำหน้าหนูนี่ สุมหัวนินทากันไม่เว้นแต่ละวัน   มันไม่เห็นใจหนูหรอก มีแต่คอยซ้ำเติม หนูเกลียดพวกมันหมดทุกคน”

    ข้าพเจ้าเริ่มต้นซักถามหาคุณงามความดีของสามีสตรีคู่สนทนาให้เล่าตั้งแต่อุปนิสัยใจคอ ความรักที่เขาเคยมีต่อเธอต่อลูก ความเอาใจใส่ต่อครอบครัว ให้เห็นใจในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งยืนยันความรู้สึกของข้าพเจ้าเองเมื่อครั้งไปพักอยู่ทางภาคเหนือว่า

      “ผู้หญิงทางนั้น พูดถึงรูปร่างหน้าตาก็สวยงามกินผู้หญิงทางบ้านเราขาดอยู่แล้ว ผิวของเค้าขาวนวลแทบทุกคน ที่ดีเยี่ยมกว่าเรื่องรูปร่างหน้าตาก็คืออุปนิสัยใจคอ เป็นคนนุ่มนวลอ่อนโยน พูดจาไพเราะอ่อนหวาน รื่นหู สําเนียงฟังแล้วชื่นใจ ไม่กระด้างอย่างพวกบ้านเรา ป้าเป็นผู้หญิงแก่ ๆ ยังรู้สึกรักใคร่เอ็นดู อยากให้ลูก ๆ หลาน ๆ เป็นยังงั้นบ้าง พวกผู้ชายหนุ่ม ๆ จะไม่เคลิบเคลิ้มได้ยังไง แล้วก็เชื่อเถอะ ผู้หญิงน่ะเค้าไม่ได้คิดแย่งผัวหนูหรอก ป้าว่าพ่อบ้านของหนูนั้นแหละ ต้องพูดหลอกเค้าว่าตัวเป็นคนโสด ผู้ชายอยู่ไกลบ้าน เหงาเข้าก็เป็นกันยังงั้นแหละ ไม่ว่ารายไหนรายนั้น เมื่อไรย้ายกลับมาเค้าก็เลิกกันไปเอง ส่วนหนูก็ไม่เดือดร้อนอะไร รับเงินเดือนของเค้าเต็มเม็ดเต็มหน่วยสบายเสียอีก เดือนหน้าตุลาคมเงินเดือนก็เพิ่มขึ้นอีกแล้ว เค้าไม่ได้อยู่ช่วยเราใช้เงินเลย เรากับลูกใช้จ่ายกันอย่างสบาย จะเอายังไง ชีวิตป้ายังไม่โชคดีเท่าหนูเลย พ่อเด็ก ๆ ทิ้งลูกไปไม่ช่วยป้าเลี้ยงเลยสักคนเดียวด้วยซ้ำ”

      เมื่อเล่าความทุกข์ของข้าพเจ้าเปรียบเทียบให้เธอฟัง สีหน้าของเธอดูดีขึ้นมาก

      “แล้วป้าไม่อาละวาดใส่บ้างหรือคะ ป้าทนได้ยังไงกัน” เธอถามถึงความรู้สึก

         “โธ่ ป้าก็ทุกข์เหมือนหนูแหละจ๊ะ แต่บังเอิญที่หน้าบ้านของป้า มีสุนัขตัวเมียสีแดงตัวหนึ่ง เดิมมันเป็นของคนงานก่อสร้างถนน พอเขาย้ายไปที่อื่นไม่เอามันไปด้วย นังแดงมันเลยเป็นหมากลางถนน ป้ามีเศษอาหารเหลือก็ไปเทใส่กะลาไว้ให้มันกิน บางวันไม่มีเหลือมันก็วิ่งไปคุ้ยขยะตามถังขยะที่ผู้คนเอามาวางไว้หน้าบ้าน หากินไปได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนใหญ่ได้เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่พออิ่มอะไร แต่หมาตัวนี้มันก็ออกลูกได้ปีละสองครอกทุกปี ครอกหนึ่ง ๆ ไม่ใช่ตัวเดียวนะหนู ๔ ตัว ๖ ตัวก็มี มันก็ให้ลูกกินนม เลี้ยงลูกจนโต ตัวไหนน่ารักคนก็อุ้มเอาไป ตัวขี้เหร่มาก ๆ ก็จะเป็นหมากลางถนนเหมือนแม่ของมัน

      ป้าเอานังแดงมันมาเป็นครูสอนใจให้คิด คิดถึงว่า แม่หมามันเลี้ยงลูกของมันตามลําพัง ไม่มีหมาตัวที่เป็นพ่อช่วยมันเลย มันก็เลี้ยงลูกของมันได้ครอกแล้วครอกเล่า ทีละหลาย ๆ ตัว ไม่เห็นมันทุกข์โศกเดือดร้อน เราเป็นคนมีมือเท้าทํามาหากินดีกว่าหมานับเท่าไม่ถ้วน ทําไมจะต้องคิดเกี่ยงให้ใครเลี้ยงลูก งานการเราก็มีทํา รายได้ของเราก็พอเลี้ยง ไม่พอจริง ๆ ก็ประกอบอาชีพสุจริตอื่นๆ เพิ่ม ป้าคิดยังงี้แหละจ๊ะ ป้าก็พออดพอทน ไม่อาละวาดใส่อีกฝ่ายหนึ่งได้

    “เอาหมาเป็นครูเหรอป้า ทําไมไม่เอาคําสอนของพระสงฆ์องค์เจ้ามาทำตามล่ะคะ”

    คู่สนทนาถามอย่างสงสัยเต็มแก่ ข้าพเจ้าตอบเธอไปตามความจริงที่เกิดกับตนเองว่า

     “ใช่จ๊ะ คําสอนของใคร คําเตือนของใคร ป้าเอามาสอนใจตนเองทั้งนั้น มันก็ยอมรับได้แป๊บเดียว แค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น แล้วมันก็ทนไม่ได้ที่ทุรนทุรายเป็นทุกข์ โกรธแค้นพยาบาทต่อไป เชื่อคําสอนเหล่านั้นไม่ได้นาน แต่นังแดงน่ะมันอยู่แถวหน้าบ้านพักของป้าตลอดเวลา ไม่เห็นตัวก็ได้ยินเสียง ยิ่งมองหน้าตาท่าทางของมัน ก็ยิ่งดูเป็นตัวอย่างได้ชัด มันไม่เห็นเดือดเนื้อร้อนใจ หากินไปวัน ๆ ยังมีลูกล้อมหน้าล้อมหลัง กินนมอีกตั้งหลายตัว เวลานอน มันก็นอนหลับสนิท ไม่เห็นต้องพลิกตัวกระสับกระส่ายด้วยความทุกข์อย่างเรา ทั้งที่ที่นอนของมันก็เป็นเพียงพื้นดินธรรมดา เศษผ้าเศษฟางสักนิดก็ไม่มีรองนอน มันเห็นตำตาอยู่ยังงี้ เลยเป็นคําสอนที่ชัดเจนกว่า ตรึงใจให้คิดได้นาน ๆ กว่า

     สําหรับป้า คําสอนอะไร ๆ ก็ไม่วิเศษเท่าการสอนที่ทำให้เราทําตามได้ ทําตามแล้วก็ได้รับผลด้วย ถือเป็นคําสอนที่ใช้ได้ พระพุทธเจ้าของเราพระองค์ยังตรัสไว้เลยว่า คําสอนแม้เพียงบทเดียว ทำตามแล้วทําให้เกิดความสงบ (ดับทุกข์) ได้ มีค่ากว่าคําสอนอันดีเยี่ยมอื่น ๆ แม้มีจํานวนมากเป็นพัน ๆ บท (แต่ทําตามไม่ได้)

    “แล้วความโกรธอย่างอื่น ๆ ป้าทํายังไงคะ โกรธสามี โกรธเพื่อนฝูงคนโน้นคนนี้ล่ะคะ”

     สตรีนั้นถามตรงจุดที่ผู้หญิงส่วนใหญ่พากันทุกข์หนัก เมื่อสามีนอกใจ ข้าพเจ้าจึงตั้งใจพูดให้เธอได้คิด

      “หนูตั้งใจฟังให้ดีนะ ป้าขอถามหน่อย หนูทําหน้าที่ภรรยาดีแค่ไหน” อีกฝ่ายรําพันถึงความดีของตนเองที่มีต่อสามี ญาติของสามี ความเอาใจใส่ลูก ๆ เธอทําได้อย่างดีไม่มีที่ติ

      “ป้าดีใจจังที่ได้ยินว่าหนูทําหน้าที่ได้ดีที่สุดอย่างนี้ ทีนี้ค่อย ๆ คิดตามให้ดีนะจ๊ะ เมื่อเราเป็นคนทําแต่ความดี ผลของกรรมดีก็ควรทำให้เราเป็นสุขซี ทําไมเราจึงทําดีแล้วต้องมาเป็นทุกข์เล่า สามีหนูกะผู้หญิงคนใหม่เป็นคนทําผิดทําชั่ว เขาสองคนควรจะต้องเป็นทุกข์จึงจะถูก หนูต้องปล่อยให้พวกเค้าทุกข์ร้อนกันไปถึงจะถูกนะ หนูไม่ต้องไปร่วมเป็นทุกข์กะเค้า

     เรื่องทุกข์เรื่องสุข เป็นเรื่องที่ไม่ใช่คนอื่นทําให้เรา เราเป็นคนคิดให้ใจเป็นทุกข์ขึ้นมาเอง ทําไมเราจึงไม่ใช้ใจให้คิดเรื่องที่เป็นสุข เราทําแต่ความดีงาม ผลของมันต้องเป็นความสุข ถ้าเราปล่อยให้ผลออกมาเป็นความทุกข์ยังงี้ เราก็เป็นทั้งคนโง่ คนเซ่อ คนบ้า จริงมั้ย

   ข้าพเจ้าหยุดพูดเพื่อให้เวลาคู่สนทนาคิดตาม ครู่หนึ่งจึงกล่าวย้ำว่า

   “คนดีต้องมานั่งเป็นทุกข์ คนทําชั่วให้เค้าอยู่เป็นสุข หนูว่ามันเป็นเรื่องถูกต้องเหรอ ยุติธรรมแล้วเหรอ คนดีต้องมีความสุขซี

    อีกฝ่ายครุ่นคิด สักครู่ก็กล่าวออกมาช้า ๆ แต่หนักแน่นว่า

   “จริงด้วยซิคะ หนูทําดีมาตลอด ทําไมจึงต้องกลายเป็นคนทุกข์ หนูนี่มันทั้งโง่ ทั้งเซ่อ ทั้งบ้า จริงด้วยค่ะป้า มันน่าด่าตัวเองแท้ ๆ 

     เป็นที่น่าประหลาด ใบหน้าของเธอยิ้มละไมขึ้นได้เองอย่างอัศจรรย์ ต่อจากนั้นข้าพเจ้าได้เล่าให้เธอฟังถึงความห่วงใยของเพื่อนร่วมงานในโรงพยาบาลของเธอ ให้เห็นว่าไม่มีใครเหยียบย่ำซ้ำเติม เพียงแต่เขาไม่มีหนทางช่วยเหลืออะไรได้เท่านั้น และในชีวิตของแต่ละคนก็มีความทุกข์ของตน ๆ แบกกันไว้หนักแอ้ ไม่มีเวลาเพ่งมองหาเรื่องคนอื่นได้นานนัก ถ้ารู้เรื่องอะไร อยากจะพูดถึงก็พูดกันได้เพียง ๒-๓ ครั้ง แล้วก็ต้องเลิกรากันไปอยู่ดี เพราะเบื่อบ้าง เพราะมีเรื่องอื่นแทรกมาใหม่บ้าง สนใจกันได้ไม่นาน เวลานี้มีแต่คนกลุ้มใจเป็นห่วงเธอทุกคน

       “หนูรู้มั้ย ใคร ๆ เค้าเป็นห่วง กลัวหนูกลุ้มมาก เดี๋ยวจะเป็นบ้าไป เค้าเล่าให้ป้าฟังยังงี้ ไม่เห็นมีใครว่าหนูเลย มีแต่เห็นใจ เสียใจแทน หนูไปคิดเอาเองต่างหากว่าพวกเค้าซ้ำเติม เลยมองใคร ๆ ในแง่ร้ายไปหมด เค้าคุยกันเรื่องอื่น หนูก็หาว่าเค้าคุยเรื่องของหนู หนูคิดผิด ๆ ยังงั้น ก็ต้องนั่งกลุ้มคนเดียว”

        “จริงเหรอคะ พวกเค้าไม่เกลียดหนูนะคะ” เธอคาดคั้น

       “เค้าบอกป้าอย่างนั้นจริง ๆ จ๊ะ เค้าจะมาโกหกป้าทำไมกัน ป้าเป็นคนอื่นนะ” ข้าพเจ้าตอบ

      “แล้วทีนี้หนูควรจะทํายังไงดีล่ะคะ”

      “ก็ทําเหมือนเดิมซีจ๊ะ เคยเป็นคนร่าเริงสนุกสนาน ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างไรก็ทําอย่างเดิม ทําให้เหมือนกันหมดทุกคน ส่วนเวลาอยู่คนเดียวที่บ้าน นอกจากทําตัวให้ลูกอบอุ่นใจ ไม่ร้องไห้ด่าว่าสามีให้ลูกเห็นแล้ว หนูต้องไม่คิดเรื่องของสามีอีก หาเรื่องใหม่ให้ใจคิด”

      “เรื่องอะไรดีคะป้า ตอนนี้ใจของหนูมีแต่เรื่องอ้ายอีสองคนนั่น ไม่ยอมคิดเรื่องอื่นเลย คิดแล้วก็เป็นทุกข์ จะทํายังไงดีจึงจะห้ามใจได้”

      “หนูก็ภาวนาไว้ในใจซี ตอนนี้ไม่ต้องใช้คําภาวนาดี ๆ หรอก ด่าตัวเองซะ ด่าในใจจี๋เลยนะ จะด่าว่า ยายโง่ ยายเซ่อ ยายบ้าอะไรก็ได้ มันจะค่อยมีสติดีขึ้นน่ะ” ข้าพเจ้าแนะนําดังนี้ เพราะคิดว่าให้ใช้คำภาวนา อื่น ๆ เช่น สัมมาอะระหัง พุทโธ หรืออะไร ๆ ก็คงไม่เป็นผล

      “ไม่เอา หนูไม่เอา คําที่ป้าแนะนํามันก็ยังเพราะไป ต้องด่าตัวเองให้แสบสักหน่อย มันจะได้คิดได้

     “เอาซี คิดเอาเอง ด่าคําไหนเหมาะดีล่ะ”

    “หนูจะท่องคําด่าตนเองว่า อีค...ว...า...ย อี...อี...อี... เรื่อยไปเลย”

    ข้าพเจ้าพยักหน้าไม่ขัดข้อง เย็นนั้นเราจากกันในเวลางานเลิก

    รุ่งเช้า มีคนงานหญิงหลายคนเดินมาหาข้าพเจ้า พูดว่า

      “ป้าทํายังไงเมื่อวานนี้ อี...มันถึงหายบ้าแล้ว เช้าวันนี้มันยิ้มให้ พูดคุยกับเพื่อน ๆ เหมือนปกติเป็นคนเดิมแล้ว พวกหนูดีใจกันทุกคนเลย ขอบคุณป้าม้ากมาก”

        ข้าพเจ้าชี้แจงว่าเพื่อนมีปัญหาของเขา คิดได้ขึ้นมาเอง เมื่อฟังคำแนะนำจากข้าพเจ้าไปเพียงนิดหน่อย

     อีกสักพักหนึ่ง สตรีเจ้าของเรื่องเดินมาพบข้าพเจ้า อาการกิริยาเป็นคนละคนกับเมื่อวาน เธอยิ้มแย้มอย่างสบายใจ กล่าวว่า

     “ตั้ง ๘ เดือนแล้ว หนูเพิ่งนอนหลับสนิทเมื่อคืนนี้เองค่ะป้า  คาถาด่าตัวเองมันศักดิ์สิทธิ์ดีแท้ ด่าตัวเองได้นี่มันไม่โกรธนะป้านะ ด่าไป หัวเราะไป ยิ่งว่าตนเองเป็นควายเท่าไหร่ หนูก็เห็นความโง่ของตัวมากขึ้นทุกที ๆ จริงอย่างที่ป้าพูดไม่ผิดเลย หนูเนี่ยทั้งโง่ ทั้งเซ่อ ทั้งบ้าเต็มที่ทีเดียว เราเป็นคนทำดีแท้ ๆ ต้องมาทุกข์โศกแทบตาย ให้คนชั่ว ๆ มันอยู่กันสุขสบายใจได้ยังไง เราต้องสุขสบายกว่ามันถึงจะถูก

      ข้าพเจ้าแสดงความดีใจด้วย เมื่อเห็นเธอสบายใจมากดังนั้นแล้ว จึงได้อธิบายถึงเรื่องกฎของกรรม เน้นหลักที่ว่าผลทุกอย่างมาจากเหตุ ที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่มีใครทําให้ตัวเรา แต่เป็นเพราะเราเคยทำกรรมที่เป็นเหตุไว้ก่อน อาจจะเป็นกรรมในอดีตชาติก็ได้ กรรมในปัจจุบันชาติก็ได้ อย่างเช่นเราเป็นผู้หญิง กรรมในอดีตที่เป็นเหตุมักจะมาจากเราเคยกระทํากาเมสุมิจฉาจารเอาไว้ ที่เป็นบาปหนัก ๆ ก็ตกนรกใช้หนี้ไปแล้ว ออกจากนรกต้องมาเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ถูกตัดถูกตอน ออกจากเดรัจฉานก็ต้องมาเป็นโสเภณีเป็นกะเทย กว่าจะมาเป็นผู้หญิงดี ๆ ก็หลายร้อยหลายพันชาติ เป็นผู้หญิงดี ๆ ก็ยังต้องมาเจอเรื่องอกหักทำนองนี้อีก

       “ทําไมป้าถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้ล่ะคะ” สตรีนั้นถามอย่างฉงน

     “หลายปีมาแล้ว ป้าสนใจทํากรรมฐานตามที่พระท่านสอนน่ะ  บังเอิญสายที่ป้าไปฝึกหัดภาวนานั้น เขาฝึกแบบให้เห็นตัวเองที่ซ้อนอยู่ในตัวเรานี่แหละ มีอีกหลายตัวเลย ยิ่งตัวใน ๆ เข้าไปยิ่งสวยขึ้นทุกที แล้วเราก็เลิกใช้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของกายข้างนอก  เข้าไปใช้ของกายข้างในเหล่านั้น  ตัวข้างในที่สุดสวยเหมือนพระ ใสสว่างไม่มีอะไรเปรียบ เอาตาของกายนั้นระลึกชาติย้อนหลังดูความเป็นมาเป็นไปของตัวเราเองได้ตลอด

      ข้าพเจ้าอธิบายโดยใช้คําง่ายที่สุด อีกฝ่ายแสดงความสนใจเต็มที่ถามว่า

      “อย่างหนูนี่ทํามั่งได้มั้ยคะป้า”

      ข้าพเจ้ารับคํา พร้อมทั้งสอนการเจริญภาวนาเพื่อให้เข้าถึงวิชชาธรรมกายให้ ยังบอกอานิสงส์ให้ฟังอีกหลายอย่าง เช่น ก่อนทำความดีขั้นภาวนา ควรให้ทาน รักษาศีลให้ใจสบายก่อน เวลาภาวนาจะเกิดผลง่าย การภาวนาทําให้...

         ประการแรก          จะได้ความสุขในเวลาปัจจุบัน เมื่อใจอยู่กับการภาวนาเสียแล้ว โอกาสที่จะไปคิดเรื่องไม่ดีต่าง ๆ ก็ลดน้อยลง

           ประการที่สอง      ได้บุญทุกครั้งที่กระทําภาวนา

           ประการที่สาม      สามารถได้ญาณ ได้อภิญญาจิต

           ประการที่สี่           ทําปัญญาให้เกิดด้วยการเจริญวิปัสสนา

          ประการที่ห้า         ถ้าบรรลุธรรมขั้นสูงถึงอนาคามีบุคคล จะสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้

          ประการที่หก        ถ้าไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ มีสุคติภพเป็นที่ไปเกิด

        เรื่องอภิญญาจิต ข้าพเจ้าอธิบายค่อนข้างมากว่ามี ๖ อย่าง คือแสดงฤทธิ์ได้ ได้ตาทิพย์ รู้ใจผู้อื่น ระลึกชาติได้ มีหูทิพย์ และมีญาณทําอาสวะให้หมดไป   ที่คุยกับเธอเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เพื่อให้เห็นว่าชีวิตของคนเรามีเรื่องที่น่าทําให้สําเร็จอีกหลายเรื่อง มีค่ามีประโยชน์กว่าการหมกหมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องของกามคุณอารมณ์เพียงเรื่องเดียว เพราะเรื่องสามีภรรยา ไม่ทําให้เกิดบุญกุศลอะไรขึ้นแก่ใจ มีแต่เรื่องผูกพันทุกข์ร้อนดังที่เห็นกันอยู่ ผู้ฟังฟังแล้วก็เข้าใจ มองเห็นค่าของชีวิตตนเองมากยิ่งขึ้น

        โดยเฉพาะเรื่องระลึกชาติได้ ถ้าใครทําได้จะสามารถย้อนดูตนเองได้ว่าที่ต้องรับหรือเผชิญต่อเหตุการณ์อะไรอยู่นั่น ไม่ใช่ใครมาทําให้ แต่เป็นผลกรรมที่ตนทําไว้ในอดีต เห็นชัดเจนดังนี้แล้ว ความเสียใจทุกข์ใจต่าง ๆ ก็จะคลายลง

         เธอกล่าวขอบคุณข้าพเจ้าอีกมากมาย

         “ป้า คําสอนใจต่าง ๆ ที่ป้าพูดให้หนูฟังทั้งหมดนี้ เหมือนป้าให้ชีวิตใหม่แก่หนู หนูกําลังตันหนทาง ไม่รู้จะออกทางไหน มันกลุ้มมากจนอยากจะฆ่าตัวตายไปให้พ้น ๆ แต่เมื่อหนูได้ฟังจากป้าแล้ว รู้สึกว่าชีวิตมีค่าขึ้นจนประมาณไม่ได้ หนูจะไม่ยอมตายแล้วค่ะ”

   เมื่อเธอพูดถึงเรื่องฆ่าตัวตาย ข้าพเจ้าก็ต้องอธิบายต่อไปอีกยืดยาวว่า ความตายแก้ปัญหาความทุกข์ไม่ได้ เพราะคนเราตายแล้วไม่สูญ ตราบใดที่ยังไม่สิ้นกิเลสยังต้องเกิดใหม่ต่อไป เกิดตามกรรมที่ตนเองสร้างไว้ ทำบุญไว้มากก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม ถ้าหมดกิเลสก็ได้เข้าพระนิพพาน ถ้าทําบาปไว้ก็ต้องเกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน

    ผู้ที่ตายด้วยจิตที่คิดโลภในทรัพย์สมบัติ หวงแหนสิ่งของผู้คน มักเกิดเป็นเปรต อสุรกาย

  ตายด้วยความโกรธเคือง มักไปเกิดเป็นสัตว์นรก

 ตายเพราะโง่หลง มักเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

      เมื่อคิดฆ่าตัวตาย มักมาจากความคับแค้นใจ เสียใจ น้อยใจ ซึ่งก็คือโทสะเป็นเจ้าเรือน ก็มักไม่ไปเกิดในที่ดี ถ้าไม่ตกนรกก็เป็นอสุรกาย

      พร้อมกันนั้นข้าพเจ้าก็เล่าตัวอย่างคนฆ่าตัวตาย ที่ข้าพเจ้ารู้จักแล้วเกิดเป็นอสุรกายให้ฟังอีก ๒-๓ ราย ทําให้อีกฝ่ายเข้าใจถ่องแท้ยิ่งขึ้น รับปากว่าต่อไปจะไม่คิดเรื่องนี้อีกเด็ดขาด

      ตลอดเวลาเกือบ ๒ สัปดาห์ ที่ข้าพเจ้าพยาบาลบิดาอยู่ที่โรงพยาบาลเล็ก ๆ แห่งนั้น สตรีคนที่เล่าถึงนี้หายจากความทุกข์โศกกลับเป็นคนเก่า มีความสุขในการเจริญภาวนา ทุกเช้าเธอจะมาเล่าผลการปฏิบัติภาวนาของเธอ ข้าพเจ้าได้ให้คําแนะนําไปตามสมควร

     เราจากกันมานาน ๘ ปีแล้ว ข้าพเจ้ามิได้เคยกลับไปที่นั่นอีก จึงไม่ทราบเหตุการณ์ในเวลาต่อมา หวังว่าเธอคงมีความสุขกายสุขใจตามสมควร

    คนเราถ้าได้ข้อคิดที่สะดุดใจอย่างแรง ก็อาจทําให้คิด ดังกรณีที่เล่าไว้นี้ เมื่อคิดได้ ก็เรียกว่าคิดเป็น รู้จักคิดให้เป็น ใจก็จะไม่เป็นทุกข์

    ความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ถ้าเราจะมองให้เป็นเรื่องเล็กมันก็เล็ก ถ้าจะถือให้เป็นเรื่องใหญ่มันก็ใหญ่ ทำไมเราจึงไม่คิดให้มันเล็กเสีย ในโลกนี้มีคนที่มีความทุกข์ยากมากกว่าเราอีกมากมาย

    เมื่อถึงเวลาตาย สิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องอยู่กับเราก็หมดความหมาย เลิกเกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง แล้วเราจะผูกพันสิ่งเหล่านี้ให้ใจเป็นทุกข์ทําไม หัดกายให้เลิกผูกพันไม่ได้ ก็หัดใจไว้ล่วงหน้าก่อน เพราะความทุกข์ทั้งหลายมาจากใจเป็นต้นเหตุ ใจไม่ผูกพันยึดถืออะไร ๆ ใจก็ไม่มีทุกข์ นี่ภาษาทางธรรมเรียกว่า หัดตายเสียก่อนตาย (จริง) 


 

 

 

Cr. อุบาสิกาถวิล(บุญทรง) วัติรางกูล

จากความทรงจำเล่ม 4

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0047397017478943 Mins