วัฏฏกชาดก ว่าด้วยความจริง
(ล.๕๕, น.๓๔๔,มมร.)
พระโพธิสัตว์นอนอยู่ในรังนั่นเอง ชะเง้อคอแลเห็นไฟป่ากําลังไหม้ตลบมา จึงคิดว่า ‘ถ้าเราจะพึงมีกําลังที่จะเหยียดปีก ออกบินไปในอากาศไซร้เราก็จะพึงโบยบินไปที่อื่น ถ้าเราจะพึงมีกําลังที่จะยกเท้าเดินไปบนบกได้ไซร้ เราก็จะย่างเท้าไปที่อื่นเสีย ฝ่ายบิดามารดาของเราก็กลัวแต่มรณภัย ทิ้งเราไว้แต่ผู้เดียวเมื่อจะป้องกันตน จึงได้หนีไป
บัดนี้ที่พึ่งอื่นของเราไม่มีเราไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่พึ่งวันนี้เราจะทําอย่างไรหนอจึงจะควร’
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า‘ชื่อว่าคุณแห่งศีล ย่อมมีอยู่ในโลกนี้ ชื่อว่าคุณแห่งสัจจะก็ย่อมมีในอดีตกาล ชื่อว่าพระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ทรงบําเพ็ญบารมี ทั้งหลายประทับนั่งที่พื้นต้นโพธิ ได้ตรัสรู้พร้อมยิ่งแล้ว ทรงเพียบพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ ทรงประกอบด้วยสัจจะ
ความเอ็นดูความกรุณาและขันติย่อมมีอยู่ และคุณของพระธรรมทั้งหลาย ที่พระสัพพัญญูพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นทรงรู้แจ้งแล้วย่อมมีอยู่ เออก็ความสัจอย่างหนึ่ง ย่อมมีอยู่ในเราแท้สภาวธรรมอย่างหนึ่ง ย่อมมีปรากฏอยู่เพราะฉะนั้น เราจะรําลึกถึงอดีตพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และคุณทั้งหลายที่อดีตพระพุทธเจ้า เหล่านั้นรู้แจ้งแล้ว ถือเอาสภาวธรรมคือสัจจะซึ่งมีอยู่ในเรา กระทําสัจกิริยาให้ไฟถอยกลับไป กระทําความปลอดภัยแก่ตนและหมูนกที่เหลือในวันนี้ย่อมควร.’
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า“คุณแห่งศีลมีอยู่ในโลก ความสัตย์ความสะอาด และความเอ็นดูมีอยู่ในโลก ด้วยความสัจนั้น ข้าพเจ้าจักทําสัจกิริยาอันยอดเยี่ยม ข้าพเจ้าพิจารณากําลังแห่งธรรม ระลึกถึงพระชินเจ้าทั้งหลายในปางก่อน อาศัยกําลังสัจจะขอทําสัจกิริยา.”
ลําดับนั้น พระโพธิสัตว์ระลึกถึงพระคุณทั้งหลายของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ปรินิพพานไปแล้วในอดีต แล้วปรารภสภาวะคือสัจจะซึ่งมีอยู่ในตน เมื่อจะทําสัจกิริยาจึงกล่าวคาถานี้ว่า
“ปีกของเรามีอยู่ แต่ก็บินไม่ได้เท้าทั้งสองของเรามีอยู่ แต่ก็เดินไม่ได้มารดาและบิดาของเรา ออกไปหาอาหาร ดูก่อนไฟ ท่านจงถอยกลับไปเสีย.”
พร้อมกับสัจกิริยาของพระโพธิสัตว์นั้น ไฟได้ถอยกลับไปในที่ประมาณ ๑๖ กรีส( ๑ กิโลเมตร) ก็แหละ เมื่อจะถอยไป ก็ไหม้ไปยังที่อื่นในป่า ทั้งดับแล้วในที่นั้นเองเหมือนคบเพลิงอันบุคคลให้จมลงในนํ้า ฉะนั้น ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
เมื่อเราทําสัจจะ เปลวไฟอันรุ่งเรืองใหญ่หลีกไป ๑๖กรีส พร้อมด้วยคําสัตย์ประหนึ่งเปลวไฟอันตกถึงนํ้าก็ดับไป ฉะนั้น สิ่งไรเสมอด้วยสัจจะของเราไม่มีนี้เป็นสัจบารมีของเรา ดังนี้.
ก็สถานที่นั้นเกิดเป็นปาฏิหาริย์ ชื่อว่าตั้งอยู่ชั่วกัป เพราะไฟจะไม่ไหม้ในกัปนี้แม้ทั้งสิ้น.พระโพธิสัตว์ครั้นทําสัจกิริยาอย่างนี้แล้ว ในเวลาสิ้นชีวิตได้ไปตามยถากรรม.
ประชุมชาดกว่า
มารดาบิดาในครั้งนั้น คงเป็น มารดาบิดาอยู่ตามเดิมในบัดนี้ ส่วนพระยานกคุ่ม ได้เป็น พระตถาคตเจ้า จากเรื่องนี้ พระโพธิสัตว์ถือกำาเนิดเป็นลูกนกคุ่ม ไม่ได้บรรลุคุณวิเศษอันใด แต่ใช้สัจจาธิษฐาน ดังนั้นการที่พระมหาสัตว์ นึกถึงบุญบารมีชนะเหล่ามาร ในคืนวันตรัสรู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะบุญบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว