มัจฉชาดก ว่าด้วยปลาขอฝน(ล.๕๖,น.๒๐๘, มมร.)
พระโพธิสัตว์เห็นความพินาศของหมู่ญาติก็ดําริว่า ‘ผู้อื่นเว้นเราเสียแล้ว ใครเล่าที่จะได้ชื่อว่าสามารถปลดเปลื้องทุกข์ของพวกปลาเหล่านี้เป็น ไม่มีเราจักทําสัจกิริยาให้ฝนตก ปลดเปลื้องฝูงญาติจากทุกข์คือความตายให้จงได้.’
แล้วแหวกตมสีดําออก พญาปลาใหญ่สีกายเหมือนปุ่มต้นอัญชัน ลืมตาทั้งคู่อันเปรียบได้กับแก้วมณีสีแดงที่เจียรนัยแล้ว มองดูอากาศ บันลือเสียงกล่าวแก่เทวราชปัชชุนนะว่า “ข้าแต่พระปัชชุนนะ๑ ผู้เจริญ ข้าพเจ้าอาศัยหมู่ญาติเดือดร้อนมาก ในเมื่อข้าพเจ้าผู้ทรงศีลลําบากอยู่ทําไมท่านไม่ช่วยให้ฝนตกลงมาเล่า ข้าพเจ้าบังเกิดในฐานะที่จะกัดกินพวกเดียวกัน แต่ก็ยังไม่เคยได้ชื่อว่ากัดกินมัจฉาชาติตั้งต้นแต่ปลาเล็กแม้มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ถึงสัตว์มีปราณอื่นๆ เล่า ข้าพเจ้าก็มิได้เคยแกล้งปลงชีวิตเลย ด้วยสัจจวาจานี้ ขอท่านจงให้ฝนตกลงมาปลดเปลื้องหมู่ญาติของข้าพเจ้าจากทุกข์เทอญ”
เมื่อจะเรียกเทวราชปัชชุนนะ ประหนึ่งสั่งงานคนรับใช้ กล่าวคาถานี้ความว่า
“ข้าแต่พระปัชชุนนะ ท่านจงคํารนคํารามให้ขุมทรัพย์ของกาพินาศไป จงทําลายฝูงกาด้วยความโศก และจงปลดเปลื้องข้าพเจ้าจากความโศกเถิด” ดังนี้.พระโพธิสัตว์เรียกท้าวปัชชุนนะ เหมือนสั่งบังคับคนรับใช้อย่างนี้ ให้ฝนห่าใหญ ตกทั่วแคว้นโกศล ให้มหาชนพ้นจากมรณทุกข์ในปริโยสานกาลของชีวิตก็ได้ไปตามยถากรรม.
ทรงประชุมชาดกว่า
ฝูงปลาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธบริษัท ปัชชุนนะเทวราช ได้มาเป็น พระอานนท์
ส่วนพญาปลา ได้มาเป็น พระตถาคตเจ้า