รู้จัก...กันก่อน
ผมชื่อ น้อง ปีแปด เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่ยัง ไม่ได้รู้อะไรไปเสียทุก
เรื่อง แต่คติประจำการสืกษาเล่าเรียนของผมก็คือ "ถูกเป็นครู" เพราะถ้าเอา "ผิดเป็นครู
"บ่อยๆ คงไม่ดีแน่
ชีวิตในมหาวิทยาลัยของผม เต็มไปด้วยการ ลองผิดลองถูกมากมาย ก็อย่างที่
บอกนั่นแหละ เพราะ ผมยังไม่รู้ทั่วทุกเรื่อง ชีวิตจึงมีทั้งเรื่องราวไร้สาระ และเรื่องราวที่เป็น
ประโยชน์ บางครั้งสนุกสนาน บางครั้งโลดโผน บางครั้งเจ็บตัว บางครั้งเจ็บใจ บางครั้งเกือบ
ตาย บางครั้งก็เป็นความลับ เล่าให้เพื่อนฟังสนุกๆได้ แต่ห้ามเล่าให้พ่อแม่ฟัง ซึ่งโดยรวมๆ
แล้ว ก็มีความสุขมากกว่าความทุกข์
ทุกวันนี้ผมจบจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ของรัฐบาลมาเกือบสิบปีแล้วแต่มหา
วิทยาลัยชีวิตของผมนั้น เพื่งเรียนรู้ไปได้นิดหน่อยเอง ผมยังเรียนไม่จบมีเรื่องราวที่ต้อง
ศึกษา ค้นคว้าเพื่มเติมกันไปตลอดชีวิต และไม่มีใครมาออกใบปริญญาบัตรให้ นอกจาก
ความสุขจากการที่เราเป็นผู้ให้นั่นแหละ จะเป็นผู้ออกใบปริญญาบัตรให้แก่ตัวผมเอง
โดยส่วนตัว ผมชอบชีวิตที่มีความเป็นอยู่อย่างสงบเงียบ เรียบง่ายไม่หวือหวา
ไม่วุ่นวาย มีเวลาค้นคว้าตำรับตำรา มีเวลาฝึกสมาธิ ให้จิตใจสงบและมีสติ ซึ่งตอนนี้ ผมก็
ได้มีชีวิตอย่างที่ต้องการนี้จริงๆ มันจึงทำ ให้ผมมีเวลามากพอ ที่จะเตือนสติตัวเองหลายๆ
เรื่อง มีเวลามากพอที่จะแบ่งมาคิดถึง ความสุขความทุกข์ของคนอื่นๆ บ้าง โดยเฉพาะคน
อื่นๆ ที่หมายถึงคนรุ่นหลัง ซึ่งกำลังจะก้าวเดินขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้เอง
กฎเกณฑ์ของธรรมชาติมีอยู่ว่า คลื่นลูกใหม่ย่อมเกิดขึ้นมา ทดแทนคลื่นลูกเก่า
เสมอ วันหนึ่งคนรุ่นใหม่จะต้องก้าวขึ้นมาแทน ที่ๆผมนั่งอยู่ตรงนี้อย่างแน่นอน แล้วตัวผมก็
คงต้องแก่ตัวลงไปเรื่อยๆ ตามวัยและเวลา สิงที่ต้องคิดล่วงหน้าก็คิอ ลังคมของเรานี้ จะต้อง
มีคนรุ่นหลังก้าวขึ้นมาช่วยกันดูแลต่อไป เราจะหล่อหลอมเขาอย่างไร ให้เขาเติบโตมาเป็น
ผู้นำที่ดี ของครอบครัวและสามารถดูแลสังคมนี้ ให้เข้มแข็งและมีความสุขท่ามกลางกระแส
โลกที่เชี่ยวกราก ด้วยการแข่งข้นอย่างเอาเป็นเอาตายได้
พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เราเห็นว่า "ถ้าเราอยากได้อนาคตที่ดี เราก็ด้องทำปัจจุบันให้ดี"
ผมตระหนักถึงข้อนี้ และอยากมีสังคมที่ดี ได้อยู่อาศัยในยามบั้นปลายชีวิต ซึ่งอย่างน้อยผม
ก็แอบฝืนไว้ว่า ควรจะเป็นสังคมไทยที่มีความสงบสุข ลูกหลานของเรามีศีลธรรมจรรยารู้
จักเสียสละเพื่อส่วนรวม ไม่เอาเปรียบสังคม ควบคู่ไปถ้บการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศ
ให้ก้าวไกลและเป็นประโยชน์สุขต่อชาวโลก
ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ผมจะทำอย่างไร เพราะลำพังเพียงคน เดียวคงทำอะไรไม่
ได้มาก โชคดีที่โลกใบนี้มีคนที่คิด ตรงกับผมคิดมาก่อนผม และทำได้ดีกว่าผมอยู่จำนวนไม่
น้อย ผมจึงได้อาคัยประสบการณ์ของท่าน เหล่านั้นมาเป็นแนวทางที่จะทำหนังสือเล่มนี้ขึ้น
มา เพราะดูแล้วว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ผม ทำได้เหมาะสมที่สุดในขณะนี้
ผมไต่ถามตัวเองว่า ถ้าผมสามารถย้อนเวลากลับไปเรียน มหาวิทยาลัยได้ ผมอยากได้
ข้อมูลอะไรบ้าง มาพัฒนาฝ็กฝนอบรมตัวผมในช่วงปี ๑ - ๔ ให้เก่งขึ้นฉลาดขึ้น ซึ่งจะมีผล
ทำให้ผมพัฒนาตัวเองไปได้เร็วกว่าตอนนี้ และนั่นคือจุดเริ่มด้นของการรวบรวมเรื่องราวประ
สบการณ์สนุกๆ เข้มข้น ปนสาระของผมบ้าง ของรุ่นพี่ๆ รุ่นน้องๆบ้าง จนในที่สุดกลายมาเป็น
หนังสือที่นำมาเล่า "น้องใหม่ปี ๑จนถึงพี่ๆ ปีสุดท้าย" ได้พังกัน
ด้งนั้น ขอเชิญทุกท่านพบกับเรื่องราวต่างๆ จาก "แต่...เจัาดอกไม้ในรั้วมหาวิทยาลัย"
เพี่อเอา "ลูกเป็นครู" จากหนังสือเล่มนี้ได้เลยครับ