เรื่องพระนางมัลลิกาเทวี ล.๔๒, น.๑๖๖, มมร.
สถานที่ตรัส พระเชตวัน
เล่ากันว่า วันหนึ่งพระนางมัลลิกาเทวีนั้น เสด็จเข้าไปยังซุ้ม สำหรับสรงสนานทรงชำระ
พระโอษฐ์แล้ว ทรงน้อมพระสรีระลงปรารภเพื่อจะชำระพระชงฆ์(แข้ง)มีสุนัขตัวโปรดตัวหนึ่ง
เข้าไปพร้อมกับพระนางทีเดียว,มันเห็นพระนางน้อมลงเช่นนั้น จึงเริ่มจะทำอสัทธรรมสันถวะ
(เสพกาม) พระนางทรงยินดีผัสสะของมัน จึงได้ประทับยืนอยู่.
พระราชาทรงทอดพระเนตรทางพระแกล(หน้าต่าง)ในปราสาทชั้นบน ทรงเห็นกิริยานั้น
ในเวลาพระนางเสด็จมาจากซุ้มน้ำนั้น จึงตรัสว่า “หญิงถ่อย จงฉิบหาย เพราะเหตุไร
เจ้าจึงได้ทำกรรมเห็นปานนี้?”
พระนาง. “หม่อมฉันทำกรรมอะไร? พระเจ้าข้า.”
พระราชา. “ทำสันถวะกับสุนัข.”
พระนาง. “เรื่องนี้หามิได้พระเจ้าข้า.”
พระราชา. “ฉันเองเห็น ฉันจะเชื่อเจ้าไม่ได้, หญิงถ่อยจงฉิบหาย.”
พระนาง. “ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าฯ ผู้ใด ผู้หนึ่งเข้าไปยังซุ้มน้ำนี้ผู้
เดียวเท่านั้น ก็ปรากฏเป็นสองคน แก่ผู้ที่แลดูทางพระแกลนี้.”
พระราชา. “เจ้าพูดไม่จริง หญิงชั่ว.”
พระนาง. “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ไม่ทรงเชื่อหม่อมฉัน ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไป
ยังซุ้มน้ำนั้น.หม่อมฉันจะแลดูพระองค์ทางพระแกลนี้.”
พระราชาติดจะเขลา จึงทรงเชื่อถ้อยคำของพระนาง แล้วเสด็จเข้าไปยังซุ้ม
น้ำฝ่ายพระนางเทวีนั้นแล ทรงยืนทอดพระเนตรอยู่ที่พระแกล ทูลว่า “มหาราชผู้มืดเขลา
อะไรนั่น. พระองค์ทรงทำสันถวะกับนางแพะ”
แม้เมื่อพระราชาจะตรัสว่า “นางผู้เจริญ ฉันมิได้ทำกรรมเห็นปานนั้น” ก็ทูล
ว่า “แม้หม่อมฉันเห็นเอง หม่อมฉันจะเชื่อพระองค์ไม่ได้.”
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็ทรงเชื่อว่า ‘ผู้เข้าไปยังซุ้มน้ำนี้ผู้เดียวเท่านั้น
ก็ย่อมปรากฏเป็นสองคนแน่.’
พระนางมัลลิกาทรงดำริว่า‘พระราชานี้เราลวงได้แล้วก็เพราะพระองค์โง่เขลา,
เราทำกรรมชั่วแล้ว ก็พระราชานี้ เรากล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง, แม้พระศาสดาจะทรงทราบ
กรรมนี้ของเรา, พระอัครสาวกทั้งสองก็ดีพระอสีติมหาสาวกก็ดีจะทราบ, ตายจริง เราทำ
กรรมหนักแล้ว.’
พระนางมัลลิกานี้ได้มีส่วน ในอสทิสทานของพระราชา.ก็ในอสทิสทานนั้น
การบริจาคที่ทรงทำในวันหนึ่ง มีค่าถึงทรัพย์ ๑๔ โกฏิ. ก็เศวตฉัตร บัลลังก์ประทับนั่งเชิง
บาตรตั่งสำหรับรองพระบาทของพระตถาคตเจ้า ๔ อย่างนี้ได้มีค่านับไม่ได้.
ในเวลาจะสิ้นพระชนม์พระนางมัลลิกานั้น มิได้ทรงนึกถึงการบริจาคใหญ่
เห็นปานนั้น ทรงระลึกถึงกรรมอันลามกนั้น อย่างเดียวสิ้นพระชนม์แล้วก็บังเกิดในอเวจี.
พระนางมัลลิกานั้นได้เป็นผู้โปรดปราน ของพระราชาอย่างยิ่ง. ท้าวเธออันความ
โศกเป็นกำลังครอบงำ รับสั่งให้ทำฌาปนกิจพระสรีระของพระนางแล้ว ทรงดำ ริว่า‘เรา
จะทูลถามสถานที่เกิดของพระนาง’ จึงได้เสด็จไปยังสำนักของพระศาสดา.
พระศาสดาได้ทรงทำโดยประการ ที่ท้าวเธอระลึกถึงเหตุที่เสด็จมาไม่ได้. ท้าว
เธอทรงสดับธรรมกถาชวนให้ ระลึกถึงในสำนักของพระศาสดาแล้ว ก็ทรงลืม;ในเวลา
เสด็จเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ ทรงระลึกได้จึงตรัสว่า“พนาย (คำเรียกคนในบังคับ‘พ่อนาย’)
ฉันตั้งใจว่า‘จะทูลถามที่พระนางมัลลิกาเทวีเกิด’ ไปยังสำนักของพระศาสดาก็ลืมเสีย
.วันพรุ่งนี้ฉันจะทูลถามอีก” ดังนี้แล้วก็ได้เสด็จไป แม้ในวันรุ่งขึ้น.
ฝ่ายพระศาสดาก็ได้ทรงทำโดยประการที่ท้าวเธอ ระลึกไม่ได้ตลอด ๗ วันโดยลำดับ.
ฝ่ายพระนางมัลลิกานั้นไหม้ในนรกตลอด ๗ วันเท่านั้น. ในวันที่ ๘ จุติจากที่นั้นแล้ว
เกิดในดุสิตภพ.
ถามว่า
ก็เพราะเหตุไร พระศาสดาจึงได้ทรงทำความที่ พระราชานั้น ทรงระลึกไม่ได้?
แก้ว่า
ทราบว่า พระนางมัลลิกานั้นได้เป็นที่โปรดปราน พอพระทัยของพระราชานั้นอย่างที่สุด
เพราะฉะนั้นท้าวเธอทราบว่า พระนางเกิดในนรกแล้ว ก็จะทรงยึดถือมิจฉาทิฏฐิด้วยทรงดำ
ริว่า ‘ถ้าหญิงผู้สมบูรณ์
ด้วยศรัทธาเห็นปานนี้เกิดในนรกไซร้เราจะถวายทาน ทำไม?’ ดังนี้แล้ว ก็จะรับสั่งให้เลิก
นิตยภัตที่เป็นไปในพระราชนิเวศน์ เพื่อภิกษุ๕๐๐ รูปแล้วพึงเกิดในนรก
เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงทรงทำความที่พระราชา นั้นทรงระลึกไม่ได้ตลอด๗วันในวัน
ที่ ๘ ทรงดำเนินไปเพื่อบิณฑบาต ได้เสด็จไปยังประตูพระราชวังด้วยพระองค์เองทีเดียว.
พระราชาทรงทราบว่า ‘พระศาสดาเสด็จมาแล้ว’จึงเสด็จออก ทรงรับบาตรแล้วปรารภเพื่อ
จะเสด็จขึ้นสู่ปราสาท. แต่พระศาสดาทรงแสดงพระอาการเพื่อจะประทับนั่งที่โรงรถ.
พระราชาจึงทูลอัญเชิญพระศาสดาให้ประทับนั่งณ ที่นั้นเหมือนกัน ทรงรับรองด้วยข้าว
ยาคูและของควรเคี้ยวแล้ว จึงถวายบังคม พอประทับนั่ง ก็กราบทูลว่า“หม่อมฉันมาก็ด้วย
ประสงค์ว่า ‘จะทูลถามที่เกิดของพระนางมัลลิกาเทวีแล้วลืมเสีย พระนางเกิดในที่
ไหนหนอแล? พระเจ้าข้า.’
พระศาสดา “ในดุสิตภพ มหาบพิตร.”
พระราชา “พระเจ้าข้า เมื่อพระนางไม่บังเกิด ในดุสิตภพ คนอื่นใครเล่าจะบังเกิด
พระเจ้าข้า หญิงเช่นกับ พระนางมัลลิกานั้นไม่มีเพราะในที่ๆพระนางนั่ง
เป็นต้น กิจอื่นเว้นการจัดแจงทานด้วยคิดว่า ‘พรุ่งนี้จะถวายสิ่งนี้จะทำสิ่งนี้
แด่ ตถาคต’ ดังนี้ไม่มีเลย พระเจ้าข้าตั้งแต่เวลา พระนางไปสู่ปรโลกแล้ว
สรีระของหม่อมฉันไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า.”
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกับท้าวเธอว่า“อย่าคิดเลยมหาบพิตร นี้เป็นธรรมอันแน่นอน
ของสัตว์ทุกจำพวก”แล้วตรัสถามว่า “นี้รถของใคร? มหาบพิตร.”
พระราชาทรงประดิษฐานอัญชลีไว้เหนือพระเศียร
แล้วทูลว่า “ของพระเจ้าปู่ของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า.”
พระศาสดา. “นี้ของใคร?”
พระราชา. “ของพระชนกของหม่อมฉัน พระเจ้าข้า.”
เมื่อพระราชากราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระศาสดาจึงตรัสว่า “มหาบพิตร รถของพระเจ้า
ปู่ของมหาบพิตรเพราะเหตุไร จึงไม่ถึงรถของพระชนกของมหาบพิตร รถของพระชนกของ
มหาบพิตร ไม่ถึงรถของมหาบพิตร, ความคร่ำคร่าย่อมมาถึง แม้แก่ท่อนไม้เห็นปานนี้, ก็จะ
กล่าวไปไย ความคร่ำคร่าจะไม่มาถึงแม้แก่อัตภาพเล่า?มหาบพิตร ความจริง ธรรมของ
สัตบุรุษเท่านั้นไม่มีความชรา, ส่วนสัตว์ทั้งหลายชื่อว่าไม่ชรา ย่อมไม่มี.
”ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า
"ราชรถที่วิจิตรดี ยังครคร่าได้แล,
อนึ่ง ถึงสรีระ ก็ย่อมถึงความคร่าคร่า,
ธรรมของสัตบุรุษหาเข้าถึงความคร่าคร่าไม่,
สัตบุรุษทั้งหลายแล ย่อมปราศรัยกับด้วยสัตบุรุษ."
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น
ดังนี้แล.