เรื่องพระอุบลวรรณาเถรี(พระขีณาสพย่อมไม่ยินดีในกามสุข)
สถานที่ตรัส พระเชตวัน
เล่ากันว่า พระเถรีนั้นตั้งความปรารถนาไว้แทบ บาทมูลของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ‘ปทุมุตตระ’ กระทำบุญทั้งหลาย สิ้นแสนกัลป์ ท่องเที่ยวอยู่ ในเทวดา และมนุษย์ จุติจากเทวโลก ถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐีในกรุงสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้.
ก็มารดาบิดาได้ตั้งชื่อนางว่า ‘อุบลวรรณา’ เพราะ นางมีผิวพรรณเหมือนกลีบอุบลเขียว.
เมื่อนางเติบใหญ่ขึ้น พระราชาและเศรษฐีทั้งหลาย ในชมพูทวีป ส่งบรรณาการไปสู่สำนักของเศรษฐีว่า “ขอเศรษฐีจงให้ธิดาแก่เรา” ไม่มีใครที่จะไม่ส่งบรรณาการไป.
เศรษฐีจึงคิดว่า ‘เราจะไม่สามารถเอาใจของคน ทั้งหมดได้, แต่เราจะทำอุบายสักอย่างหนึ่ง.’
เศรษฐีนั้นเรียกธิดามา แล้วกล่าวว่า “ลูกหญิง เจ้าอยากจะบวชไหม?” คำของบิดาได้เป็นเหมือนน้ำมัน ที่หุงแล้วตั้ง ๑๐๐ ครั้งที่เขารดลงบนศีรษะ เพราะความ ที่นางมีภพมีในที่สุด ดังนั้น นางจึงกล่าวกับบิดาว่า “พ่อ ฉันจะบวช.” เศรษฐีนั้นทำสักการะเป็นอันมากแก่นางแล้ว นำนางไปสู่สำนัก นางภิกษุณี ให้บวชแล้ว.
เมื่อนางบวชแล้วไม่นาน ก็ถึงช่วงเวลาที่ดูแลการ เปิด-ปิดประตูของโรงอุโบสถ นางตามประทีป กวาดโรง อุโบสถ ยืนนิมิตแห่งเปลวประทีป แลดูแล้วดูเล่า ยังฌาน มีเตโชกสิณ เป็นอารมณ์ให้เกิดแล้ว กระทำฌานนั้นแล ให้เป็นบาท บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญาทั้งหลายแล้ว.
ต่อมาพระเถรีนั้นเที่ยวจาริกไปในชนบท กลับมาแล้ว เข้าไปสู่ป่าอันธวัน (ป่าทึบ). ในเวลานั้น พระศาสดายัง ไม่ทรงห้ามการอยู่ป่าของพวกนางภิกษุณี.
ครั้งนั้น ผู้คนได้ทำกระท่อม ตั้งเตียงกั้นม่านไว้ ในป่านั้นแก่พระเถรีนั้น. พระเถรีนั้นเข้าไปบิณฑบาตใน กรุงสาวัตถี ออกมาแล้ว.
ฝ่ายนันทมาณพ ผู้เป็นบุตรแห่งลุงของพระเถรีนั้น มีจิตหลงใหลตั้งแต่เมื่อพระเถรียังเป็นคฤหัสถ์ ได้ข่าวว่า พระเถรีมา จึงไปสู่ป่าอันธวัน ก่อนพระเถรีมาทีเดียว เข้าไปสู่กระท่อม ซ่อนอยู่ภายใต้เตียง
เมื่อพระเถรีมาแล้ว เข้าไปสู่กระท่อม ปิดประตู นั่งลง บนเตียง ความมืดในคลองจักษุยังไม่ทันหาย เพราะมาจากกลางแดดภายนอก, เขาจึงออกมาจากภายใต้เตียง ขึ้นบนเตียงแล้ว ถูกพระเถรีห้ามอยู่ว่า “คนพาล เธออย่าทำให้ ฉิบหายเลย, คนพาล เธออย่าทำให้ฉิบหายเลย” เขาข่มขืน กระทำกรรมที่ตนปรารถนาแล้วก็หนีไป.
ครั้งนั้น แผ่นดินใหญ่ประดุจว่าไม่อาจจะรองรับโทษ ของเขาไว้ได้ แยกออกเป็น ๒ ส่วนแล้ว. เขาเข้าไปสู่แผ่นดินไปเกิดในอเวจีมหานรกแล้ว.
ฝ่ายพระเถรีบอกเนื้อความแก่ภิกษุณีทั้งหลายแล้ว. พวกภิกษุณีแจ้งเนื้อความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. พวกภิกษุ กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระศาสดาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายมา ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นพาล เมื่อทำกรรมลามก เป็นผู้ยินดีร่าเริง เป็นประดุจฟูขึ้นๆ ย่อมทำได้ ประดุจ บุรุษเคี้ยวกินรสของหวาน มีจำพวกน้ำผึ้ง และน้ำตาล กรวดเป็นต้น บางชนิด” ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิ (สืบเนื่อง) แสดงธรรม ตรัส พระคาถานี้ว่า :-
“คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้ง
ตราบเท่าที่บาปยังไม่ให้ผล,
ก็เมื่อใด บาปให้ผล,
เมื่อนั้น คนพาล ย่อมประสพทุกข์.”
เมื่อจบเทศนา คนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ต่อมามหาชนสนทนากันในธรรมสภาว่า “แม้พระขีณาสพทั้งหลาย ชะรอยจะยังยินดีกามสุข ยังเสพกาม, ทำไมจะไม่ซ่องเสพ, เพราะพระขีณาสพเหล่านั้นไม่ใช่ ไม้ผุ ไม่ใช่จอมปลวก มีเนื้อและสรีระยังสดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น แม้พระขีณาสพเหล่านั้น ยังยินดีกามสุข ยังเสพกาม.”
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนาด้วยเรื่องอะไรกัน?”
เมื่อพวกภิกษุกราบทูลว่า “ด้วยเรื่องนี้”
จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระขีณาสพทั้งหลาย ไม่ยินดีกามสุข ไม่เสพกาม, เหมือนอย่างว่า หยาดน้ำตกลงบนใบบัวย่อมไม่ติด ไม่ตั้งอยู่, ย่อมกลิ้งตกไปทีเดียว และเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ติด ไม่ตั้งอยู่ ที่ปลาย เหล็กแหลม, ย่อมกลิ้งตกไปแน่แท้ ฉันใด กามแม้ ๒ อย่าง ย่อมไม่ซึมซาบ ไม่ตั้งอยู่ในจิตของพระขีณาสพ ฉันนั้น.” ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ ในพราหมณวรรคว่า :-
“เรากล่าวบุคคลผู้ไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย
เหมือนน้ำไม่ติดอยู่ในใบบัว
เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ติดอยู่
ที่ปลายเหล็กแหลม ว่าเป็นพราหมณ์.”
พระศาสดารับสั่งให้เชิญพระเจ้าปเสนทิโกศลมาแล้ว ตรัสว่า “มหาบพิตร แม้กุลธิดาทั้งหลาย ในพระศาสนานี้ ละหมู่ญาติอันใหญ่และกองแห่งโภคะมาก บวชแล้วย่อมอยู่ในป่า เหมือนอย่างกุลบุตรทั้งหลายเหมือนกัน, คนลามก ถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมเบียดเบียนภิกษุณีเหล่านั้น ผู้อยู่ในป่า ด้วยการดูถูกดูหมิ่นบ้าง ให้ถึงอันตรายแห่งพรหมจรรย์บ้าง พราะฉะนั้น พระองค์ควรทำที่อยู่ภายใน พระนครแก่ ภิกษุณีสงฆ์.”
พระราชาทรงรับว่า “ดีแล้ว พระเจ้าข้า” ดังนี้แล้วรับสั่ง ให้สร้างที่อยู่เพื่อภิกษุณีสงฆ์ ที่ข้างหนึ่งแห่งพระนคร.
ตั้งแต่นั้นมา พวกภิกษุณีย่อมอยู่ในละแวกบ้านเท่านั้น.