เรื่องที่ ๓ หลุมพรางสำหรับนักศึกษา (ช่วงที่ ๔ หลุมพรางปัญญาชน)
สำหรับเรื่องนี้ ผมอาจจะพูดอะไรล่วงหนาชีวิต
น้องๆไปสักนิดหนึ่งก็ทนๆ ฟ้งหน่อยแสัวกันนะครับ
เรื่องก็มีอยู่ว่า ด้วยความที่มาเรียนอยู่ห่างไกลจาก
สายตาของคุณพ่อคุณแม่ บวกกับความเข้าใจว่าตัว
เองเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลยทำให้รุ่นน้องๆ ของผม
หลายคนทำอะไรผิดพลาดไปมากอย่างน่าเป็นห่วง
ทั้งๆ ที่เมื่อตอนรับน้องใหม่ ผมก็พยายามบอกพวกเขาบ่อยๆ ว่า"วันแรกที่พวกเราเข้ามาเรียน มีอยู่ด้วยกันเท่าไหร่ วันสุดท้ายที่เรียนจบ ก็ต้องขึ้นไปรับบปริญญาจำนวนเท่านั้น"
แต่ความเป็นจริงคือ ไม่มีน้องๆ รุ่นไหนของผมเลย ที่เรียนจบได้ครบถ้วนตามจำนวนที่มีในรุ่น ผมจึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า "อะไรทำใพ้พวกเขาเรียนไม่จบ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนโง่"
แม้จะเรียนจบไปแล้ว แต่ผมก็เฝ้าทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายปี จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้ไปอ่านหน้งสี-อธรรมวิภาค สำหรับพระภิกษุใช้สอบนักธรรมตรี ผมจึงได้ข้อสรุปเรื่องนี้ว่า สาเหตุที่ทำให้เรียนไม่จบ ทั้งที่สติปัญญาดี ก็เพราะไปตกหลุมพรางอยู่ ๔ หลุมใหญ่ด้วยกัน คือ
๑) ไม่ฟังคำสั่งสอนของครูอาจารย์
๒) ไม่รู้จักประมาณในการใช้จ่าย
๓) จมอยู่ในอบายมุข
๔) หมกมุ่นอยู่ในเรื่องรักใคร่
หลุมพรางที่ ๑ ไม่ฬงคำสั่งสอนของครูอาจารย์
น้องๆของผมหลายคนที่โดนรีไทร์ออกไป ก็เพราะไม่ฟังคำสั่งสอนของครูอาจารย์
สาเหตุของเรื่องนี้มีหลายอย่าง เช่น พวกหนึ่งขาดความเคารพครูอาจารย์ ชอบดูลูกครู ใจเลยบอด ปิดใจไม่รับวิชาความรู้ของครู
บางพวกเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ทางบ้านปล่อยให้ทำอะไรตามใจตัวเองจนเคย พอเช้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่อยากเรียนวิชาไหน หนีเรียนได้ก็หนี แต่ถ้าหนีไม่ได้ ก็มานั่งจับผิดอาจารย์ฆ่าเวลาเสียนึ่
คนเราพอขาดความเคารพในอาจารย์แล้ว วิชาความรู้ที่อาจารย์สอนในห้องมีมากเท่าไหร่ ก็เลยไม่สนใจ เพราะมัวแต่จับผิดอาจารย์ พอเรียนจบชั่วโมง คนอื่นได้วิชาความรู้ แต่เจ้านี่กลายเป็นคนขี้จับผิดเสียแล้ว
ความจริงแล้ว เราควรจะจับประเด็นให้ถูกว่า เราเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยเพื่ออะไร
คำตอบ คือ เพื่อต้องการความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมในการไช้ประกอบวิชาชีพตามคณะวิชาที่ต้วเรียน
แล้วถ้าเรามานั่งจับผิดอาจารย์ เราจะได้ความรู้หรีอไม่?ไม่ได้
แล้วเราจะได้อะไร ? ได้นิสัยว่า เข้าไปตรงไหน จะต้องจับผิดคนอื่นทันที
คนเรา ถ้าขนาดอาจารย์เข้ามาให้ความรู้แก่ตนเองแท้ๆ ยังมัวมานั่งจับผิดกันได้ ก็คงยากจะท่าอะไรสำเร็จ เพราะมองไม่เห็นความดีของผู้อื่นเสียแล้ว เมื่อติคนอื่นเอาไว้มาก ตัวเองจะไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัวเขาจะติคืนบ้าง ผลสุดท้ายก็คือทำไม่เป็น
ในการเรียนมหาวิทยาลัยนั้นอย่างที่ได้เคยพูดไว้แล้ว ว่าครูอาจารย์ท่านอยู่ด้วยกัน ๔ แบบ โดยจะมีอยู่ ๓ แบบเท่านั้นที่ให้ความรู้เราได้แต่ละแบบ เราก็ต้องมีวิธีที่จะรับความรู้จากท่าน ซึ่งผมขออนุญาตเล่าทบทวนอีกรอบ คือ
๑) บางท่านแนะดี แต่นำไม่ดี คือ สอนในชั่วโมงเรียนดี แต่ความประพฤติส่วนตัวไม่ดี เช่น ท่านชอบชวนกินเหล้า ถ้าได้เรียนกับอาจารย์ลักษณะนี้ ก็ต้องรับเอามาเฉพาะความรู้ของท่าน แต่อย่าไปรับเอานิสัยของท่านมา
๒)บางท่านนำดี แต่แนะไม่ดี คือ ความประพฤติดี มีความรู้ดี
แต่สอนในชั่วโมงไม่ดี ถ้าได้เรียนกับอาจารย์ลักษณะนี้ ต้องรีบเข้าหา เพราะการได้อยูใกล้ท่าน จะทำให้เราได้นิสัยที่ดีๆติดมา แล้วก็หาโอกาสซักถามให้เป็น ถามให้น่าตอบ ถามด้วยความเคารพ แล้วเราก็จะได้ความรู้แบบพิเศษๆที่นอกเหนือจากห้องเรียน
๓) บางท่านแนะดี และนำดี คึอ นอกจากท่านจะมีความรู้ดี มีความสามารถในการสอนแล้ว นอกเวลาสอน ท่านก็ยังมีความประพฤติดีด้วย เช่น ท่านไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ท่านหมั่นค้นคว้าศึกษาหาความรูใหม่ๆ เพี่อมาปรับปรุงการสอน เพี่อหาทางฝึกลูกศิษย์ของท่านให้เก่งๆเสมอถ้าเจอครูอาจารย์อย่างนี้ต้องตั้งใจเรียนให้เต็มที่ นอกเวลาเรียนหากมีอะไรที่พอจะช่วยท่านได้ ให้รีบอาสาไปช่วยท่านทำแล้ว จะได้วิชาความรู้แบบพิเศษ ชนิดที่ประหยัดเวลาเล่าเรียนเขียนอ่านไปได้หลายปีทีเดียว
ถ้าน้องๆหลายๆคนของผมสามารถแยกประเภทครูอาจารย์ได้แต่แรกอย่างนี้ ก็คงจะไม่ถูกรีไทร์กันเป็นทิวแถว นี่คือหลุมพรางแรกที่นักศึกษาจะต้องระวัง คือ ขาดความเคารพครูอาจารย์
เพราะฉะนั้น เมื่อทราบแล้วก็ต้องหาครูดีให้เจอ ฟังคำครู ตรองตามคำครู และทำตามคำครู จึงจะได้มีความรู้เหมือนครูยังไงล่ะครับ
หลุมพรางที่ ๒ ไม่รู้จักประมาณในการใช้จ่าย
สำหรับน้องๆ นิสิตนักศึกษาใหม่ส่วนมาก ที่เพี่งสอบเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ต้องรับผิดชอบเงินก้อนโตเดีอนละหลายพันบาทด้วยตนเอง ทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่าเดินทางและค่าเล่าเรียน
น้องๆของผมหลายคนที่ทางบ้านปลูกฝังวิน้ยเรื่องการใช้เงินมาดี ก็สามารถบริหารเงินเดีอนของตัวเองได้ดี แถมยังมีเหลือเก็บไว้ในธนาคารอีกด้วย ก่อนจะเรียนจบก็มีทุนเก็บเอาไว้สำหรับอนาคตอยู่หลายหมื่นบาท
ขณะที่น้องๆ ของผมอีกส่วนมาก กลับล้มเหลวทางด้านการเงิน บางคนได้เงินเดีอนจากทางบ้าน มากถึงหมื่นบาทต่อเดือนก็จริงอยู่ แต่ด้วยความที่ทางบ้านไม่เข้มงวดกวดขันเรื่องวินัยการใช้เงิน เด็กจึงใช้เงินตามใจชอบ เช่น เห็นอะไรสนุกคะนองอยากลอง ก็ซื้อมาลอง นึกอยากไปเที่ยวกลางคืน ไปกินเหล้าเมายา ก็ไป อยากได้แฟชั่นอะไรแพงๆก็ซื้อเพื่อมาอวดเพื่อน อยากให้เพื่อนชื่นชมว่ามีรสนิยมวิไล ก็ลงทุนใช้เงินทำทุกอย่าง ดังนั้นยังไม่ทันสินเดือนเงินก็หมดลง ต้องกู้หนี้ยืมสินจากเพื่อนฝูงในที่สุด จึงกลายเป็นนักหมุนเงิน คือยืมคนนั้น เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้คนนี้เพื่อวันหลังจะได้กลับมายืมคนนี้ เพื่อไปใช้หนี้คนโน้น กว่าจะเรียนจบก็มีหนี้สะสมอยู่หลายหมื่น
ใครก็ตามที่ล้มเหลวทางการบริหารเงินตั้งแต่ยังเรียนไม่จบอย่างนี้ ก็ทำนายอนาคตได้ว่า เขายากจะตั้งหลักตั้งฐานได้สำเร็จ
ทำอย่างไรจึงจะบริหารการเงินในขณะเรียนหนังสือไต้ดื?
คำตอบ ก็คือ แยกแยะให้ไดัว่าอะไรคือความจำเป็นอะไรคือความต้องการ
จำเป็น คือ ขาดไม่ได้ ขาดแล้วตาย ได้แก่ ที่พัก อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค
ต้องการ คือ มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ได้แก่ สิงที่นอกเหนือจาก ปัจจัย ๔
การจะใช้เงินแต่ละครั้ง ต้องคิดแล้วคิดอีกว่า นั่นคือความจำเป็นหรีอความต้องการ
เราจ่ายเงินออกไปแล้วจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ซื้อมาคุ้มค่าหรือไม่
การเข้มงวดกวดขันวินัยการใช้เงินของตัวเอง จึงเป็นสิงที่น้องๆควรทำโดยฝึกให้วางแผนการใช้จ่ายด้วยการแบ่งงบประมาณเป็น ๔ ส่วน คือ
๑) แบ่งเก็บสะสมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าอุปกรณ์การเรียนที่ราคาแพง
๒) แบ่งเอาไว้ใช้จ่ายเป็นค่าปัจจัย ๔ในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า
๓) แบ่งเอาไว้เป็นค่าเล่าเรียนประจำปีการศึกษา เพื่อแบ่งเบาภาระของพ่อแม่
๔) แบ่งเอาไว้ทำบุญ เช่นสงเคราะห์เพื่อนที่เดือดร้อนถ้าใครก็ตาม จัดระเบียบการเงินของตนเองได้อย่างนี้จะมีเงินเหลือเก็บ และสามารถใช้เป็นทุนในอนาคตยามที่เรียนจบไปทำงาน และยากที่จะไปตกหลุมพรางของความสุรุ่ยสุร่าย
หลุมพรางที่ ๓ จมอยู่ในอบายมุข
ปัจจุบัน อบายมุขเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายในมหาวิทยาลัย เดิมทีก่อนผมจะมาเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ผมเข้าใจว่า เรื่องสุรายาเสพติด การเที่ยวผู้หญิง การเที่ยวกลางคืน การพนัน คงจะไม่มีในมหาวิทยาลัย แต่ที่ไหนได้ ตอนที่จมอยู่กับอบายมุขอย่างมากที่สุด ก็ตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยนี่แหละ และเจ้าอบายมุขนี่เอง ที่ไปทำลายความฉลาดของปัญญาชนระดับบ่ระเทศ จนบางครั้ง ผมอดคิดไม่ได้ว่า มหาวิทยาลัยคืออะไรกันแน่
อบายมุขทั้งหมดมาจากเพื่อนชั่ว น้องๆของผมหลายคนตอนก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เล่นไพ่ก็ไม่เป็น เล่นสนุ้กเกอร์ก็ไม่เป็น กินเหล้าก็ไม่เป็น เที่ยวผู้หญิงก็ไม่เป็น แต่พอไบ่คบเพื่อนชั่วเข้าเท่านั้น พอเรียนผ่านไปปีเดียว เล่นเป็นหมดทุกอย่าง แถมตอนหลังยังเป็นตัวตั้งตัวตี ในเรื่องอบายมุขต่างๆ เองด้วย
ผลสุดท้าย เดิมทีคุณพ่อคุณแม่ล่งลูกมาเรียนหนังสือ หวังจะได้เห็นใบปริญญาของลูก แต่ปรากฏว่า ได้ลูกขี้เมา ได้ลูกโกหกเก่งมาแทน ได้ลูกเป็นโรคเอดส์ แถมยังโดนให้ออกกลางทางเสียอีก
ถ้าหากเราไม่อยากให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ มีทางเดียวคือ ใครก็ตามที่ชวนเราไปยุ่งกับอบายมุขให้รู้ว่าคนๆนั้นคือ"เพือนชั่ว"กำลังชักชวนเราไปวิบัติเสิยหาย ไห้รีบออกห่างไหไกล อย่าได้ไปคบค้าสมาคมด้วย เดี๋ยวจะติดเชื้อพาเพื่อนดีๆไปจมอบายมุขโดยไม่รู้ตัว
เรื่องที่ ๔ หมกมุ่นในเรื่องรักใคร่
ความจริงแล้ว วัตถุประสงค์หลักของการเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย คือ การเรียนหนังสือ แต่ก็มีน้องๆ ของผมหลายคน ต้องเสืยคนไปเพราะเรื่องหมกมุ่นในความรัก ซึ่งพอไปยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว ยากที่จะมีสมาธิเรื่องการเรียน ไม่ว่าจะสมหวัง หรือผิดหวัง ก็เครียดเหมือนกัน เพราะจริงๆ แล้วช่วงนี้ยังไมใช่ช่วงที่จะต้องเร่งรีบแสวงหาคู่ครอง แล้วต่างก็ยังต้องขอเงินพ่อแม่ทั้งคู่ แล้วก็ยากต่อการจะห้ามไจไม่ให้เลยเถิด หรีอหาทางออกที่ถูกต้องในเรื่องความเครียดอันเกิดจากรัก
๑)พวกที่ผิดหวัง บางคนถึงขั้นประชดชีวิตจะฆ่าตัวตาย บางคนเครียดถึงขั้นมีอาการทางประสาท บางคนกลัดกลุ้มหนัก ก็ไปดักฉุดเขาเอาดื้อๆ บางคนหาทางออกด้วยการไปหลอกคนอื่นล้างแค้น ชดเชยกับที่ตนเองเจ็บปวด บางคนเป็นสิงห์ขี้เมาขี้ยาไปเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เป็นการทำร้ายตัวเอง และปิดฉากอนาคตตนเอง อย่างไม่สมควร เพราะจริงๆ แล้ว หน้าที่ของตัวเอง คือ เรียนหนังสือ แต่ว่าไม่เรียนไปคิดจะหาคู่ครองเสียนี่ สุดท้ายคนที่บอบชํ้าที่สุดก็คือตัวเอง และคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือพ่อแม่ ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่า เราเลี้ยงลูกอย่างไร ลูกของเราถึงได้หาทางออกไห้กับปัญหาความรักไม่สมหวังอย่างนี้
๒)พวกที่สมหวังบางคนนึกว่ามีแฟนจะทำให้เกิดกำลังไจ ส่งเสริมการเรียนให้ดีไปด้วยกันแต่จริงๆ แล้วก็เปล่า เพราะยังเด็กทั้งคู่ยังเอาแต่ใจตัวเองกันทั้งคู่ เลยมีลักษณะตามหึงตามหวงกันไม่สินสุด แล้วก็เลยหาทางที่จะผูกมัดกันด้วยแบบความคิดเด็กๆ คือ ฝ่ายหญิงก็ยอมจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย เพราะคิดว่าแฟนจะร้บผิดชอบ ส่วนฝ่ายชายก็กลีวว่าจะสูญเสียเขาไป ก็หาทางที่จะเป็นเจ้าของร่างกายฝ่ายหญิงให้ได้ แม้แต่ใช้ยาสลบก็เอา
ครั้นเมื่อต่างฝ่ายก็หาทางออกกันอย่างนี้แล้ว ก็กลายเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่ยังเป็นนิสิตนักคืกษา มันสมองที่จะคิดถึงการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ก็เลยถูกทำลายไป เงินแต่ละเดีอนที่่พ่อแม่ให้มา ก็เอามารวมเป็นระเป๋าเดียวกันบ้าง พยายามจะสร้างครอบครัวในหอพักนักศึกษา เพราะพื้นที่ใจช่วงนี้ มีแต่วิมานรักสีชมพู แต่ทว่าก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะต่างคนก็ต่างอ่อนเยาว์กันทั้งคู่ ยังไม่เคยรับผิดชอบตนเองอย่างเต็มตัว
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของการหาคู่ในวัยนี้นั้น ห้ามยาก เพราะอยู่ในวัยที่ฮอร์โมนเพศทำงานเต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงในเรื่องนี้
ถ้ามีลูกผู้หญิงก็ต้องสอนวิธีประคับประคองตัวสอนให้ลูกรู้จักการรับผิดชอบหน้าที่ของตนเองก่อน เพราะการสร้างครอบครัวไม่จำเป็น ต้องรีบเร่งในช่วงนี้ เรียนให้จบก่อนก็ไม่เสิยหาย หากมีใครเข้ามาจีบ ก็อย่าไปกลัวว่าจะไม่มีคู่ แล้วก็อย่าไปทอดสะพานให้ใคร อย่าให้ความหวังใคร อย่าหลอกใคร เพราะลูกจะได้รับอันตราย ถ้าเขาผิดหวัง หรือบางทีลูกก็อาจจะกลายเป็นสาเหตุให้เขาประชดชีวิต ควรแสดงจุดยืนให้ชัดว่า ต้องการทำหน้าที่เรืยนหนังสิอให้ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว อย่างอื่นยังไม่พร้อมจะคิดตอนนี้
ส่วนลูกผู้ชาย ก็ต้องสอนให้ลูกรู้จักหน้าที่หลักของตนเอง คือการเรียน เพราะถ้าเขาเรียนไม่จบ จะมีผลถึงอนาคตของเขาเอง ไม่ว่าจะสมหวังหรีอผิดหวังถ้าพลาดพลั้งไป ก็จะเจ็บตัวอย่างหนัก เพราะยังไม่สามารถรับผิดชอบตนเองได้
ถ้าลูกชายคิดจะมีแฟนจริงๆ ห้ามไม่อยู่ ก็ต้องมีเงื่อนไขว่า ในวันเสาร์อาทิตย์ ก็ต้องรีบกลับมาช่วยหัดรับผิดชอบงานของพ่อแม่ คือช่วยพ่อแม่หาเงินค่าเล่าเรียนของตัวเองให้เพียงพอไปตลอดจนกระทั่งเรียนจบก่อน ส่วนที่หาเงินได้เกินจากนั้น จึงเป็นเงินที่จะไปใช้หาคู่ เพราะว่าพ่อกับแม่มีหน้าที่หาเงินให้เฉพาะค่าเล่าเรียน ค่ากิน ค่าที่อยู่ของลูก แต่ไม่มีหน้าที่ส่งเงินให้ลูกไปจีบผู้หญิง ซื้อเหล้า ซื้อเบียร์มาสังสรรค์กัน
อีกอย่างหนึ่งก็คีอ พ่อแม่ต้องสอนเรื่องการเลือกคู่ไว้ด้วยว่า การหาสามี หรือหาภรรยาให้ตัวเองนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หาพ่อหรือแม่ที่ดีมีความประพฤติดี เป็นตันแบบของลูกตัวเองได้ เป็นเรื่องยาก ถ้าไปเจอคนประเภททีไม่เชื่อว่า ทำดีได้ดีทำชัวได้ชั่ว ไม่มีดวามรับผิดชอบหน้าที่การเรียนของตัวเอง และทำอะไรไม่นึกถึงความรู้สึกของพ่อแม่ตัวเองล่ะก็ อย่าเลือกมาเป็นแฟนเด็ดขาด เพราะว่าถึงเราจะทำดีขนาดไหน ก็คงไม่เกินพ่อแม่ของเขา ถ้าเลือกเอามาเป็นแฟน ก็มีแต่ปัญหาความแตกแยกทะเลาะเบาะแว้งตลอดชีวิตเป็นแน่ เพราะฉะนั้น อยู่คนเดียวไปก่อนดีกว่าสบายดี ไม่เครียด ไม่ต้องหึงต้องหวง เรียนได้เต็มที่ ดูแลพ่อแม่ได้เต็มที่และไม่เปลืองเงิน
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เรื่องของความรักนี้ ไม่ว่าจะสมหวังหรีอผิดหวัง หากไปยุ่งในวัยเรียนนี้เข้า มีแต่เครียดกับเครียด เพราะไม่ใช่หน้าที่หลักของการเป็นนักศึกษานั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ ผมคิดว่า คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเป็นพี่เลี้ยง ส่วนคุณลูก ก็อย่ารีบร้อน คิดจะทำอะไรในเรื่องนี้ก็ต้องปรีกษาคุณพ่อคุณแม่ เพราะท่านมีประสบการณ์มากกว่าเรา มิฉะนั้นถ้าเราเอาตัวไปทุ่ม เอาเวลาไปทุ่ม เอาเงินไปทุ่ม ไปหมกมุ่นกับมันมาก ผลสุดท้ายจะหมดอนาคตทั้งตัวเอง แล้วก็บอบชํ้ามาถึงพ่อแม่
สุดท้ายนี้ผมขอจบเรื่องหลุมพรางสำหรับนึกดีกษาด้วยข้อคิดที่มองเห็นโทษของการตกลงไปในหลุมพรางทั้ง ๔ ว่า คงไม่ดีแน่ ถ้าชีวิตนั้ตัองผิดพลาด เรียนไม่จบ ติดหนี้สิน ติดโรคร้าย ได้สามีหรือภรรยาที่ยังหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ และได้ลูกที่ไม่ตั้งใจจะให้เกิด หรือต้องไปทำแท้งอย่างที่เป็นๆกันอยู่ในสังคมขณะนี้ ขอให้น้องๆ ทุกคนดูแลตัวเองให้ดีด้วย อย่างน้อยก็ทำเพื่อตัวเองคร้บ