จากกลยุทธ์การประโคมข่าวเรื่องพระถี่ ๆ
แล้วเดินเกมเป็นขั้นตอนอย่างแยบยล
ทำให้ชาวพุทธหลายคนหวั่นไหว
คิดเลิกทำบุญกับทุกวัดกันเลย
ซ้ำร้าย..เมื่อทำบุญไปแล้วยังนึกเสียดายอยากเอาคืน !!!
------------------------
..หากมาดูประเด็นนี้อย่างเป็นธรรม จริง ๆ แล้ววัดในประเทศไทยมีตั้งหลายหมื่นวัด พระก็มีตั้ง ๓ แสนกว่ารูป ท่านจะแย่ไปเสียทั้งหมดเลยก็ไม่ใช่ เพราะพระที่ปฏิบัติไม่ดีจริง ๆ ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น แต่ถูกทำให้เป็นประเด็นใหญ่โตจากการประโคมข่าว เหมือนผ้าขาวผืนใหญ่ที่มีจุดดำเพียงนิดเดียว ก็ไม่ใช่ว่าเราจะโฟกัสเฉพาะจุดสีดำเล็ก ๆ แล้วเอามาเป็นประเด็นใหญ่ ทั้งที่ความจริงแล้ว พื้นที่สีขาวนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก
จุดนี้อยากจะให้ลองไตร่ตรองดูว่า..เราอาจตกเป็นเหยื่อการประโคมข่าวที่จงใจบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาหรือเปล่า ฉะนั้นอย่าเอามาเป็นอารมณ์จนขวางการทำบุญของตัวเองเลย หากศรัทธาวัดไหน ก็จงไปแสวงบุญวัดนั้นเถิด...
ที่สำคัญหากเราได้ศึกษาและเข้าใจคำสอนในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี เราจะเข้าใจลึกซึ้งว่า..บุญเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะบุญเป็นต้นเหตุแห่งความสุขความสำเร็จ ถ้ามีบุญน้อยอุปสรรคในชีวิตก็มาก ถ้าบุญอ่อนกำลังลงหรือบุญหมด บาปที่เคยทำไว้ก็จะได้โอกาสส่งผล ทำให้ชีวิตมีอุปสรรคต่าง ๆ นานา เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย ไร้ความสุข หมดอำนาจวาสนา เสียชื่อเสียงเกียรติยศ แม้คนที่รักกันก็หมดรัก แม้ทรัพย์ที่มีอยู่น้อยนิดก็ยังรักษาไว้ไม่ได้...
ด้วยเหตุนี้ เราจึงเลี่ยงไม่ได้เลยจริง ๆ ที่จะต้องสั่งสมบุญ เพราะถ้าหยุดทำ ก็เท่ากับตัดรอนบุญของตัวเอง และพอบุญหมดจนหายนะแห่งชีวิตมาเยือน คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือตัวเรา โดยไม่มีใครมารับผิดชอบชีวิตกับเราด้วยหรอก ดังนั้นการหยุดทำบุญ ถือเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มกันเลย
ทำบุญไปแล้ว รู้สึกเสียดายอยากเอาคืน คิดผิดไหม ?
หลายคนพอได้ยินข่าวพระที่เคยไปทำบุญด้วย ก็เชื่อข่าวโดยยังไม่ทันพิสูจน์อะไรเลย หนำซ้ำยังนึกเสียดายทรัพย์ที่เคยทำบุญไปขึ้นมาทันที ซึ่งเรื่องการทำบุญแล้วนึกเสียดายไม่ใช่เพิ่งมีในยุคนี้เท่านั้น แม้ในสมัยพุทธกาลก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นอยากให้ลองอ่านเรื่องนี้ดู ก่อนที่จะคิดและตัดสินใจทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ถึงผลของมัน...
ในครั้งพุทธกาลมีเศรษฐีผู้หนึ่งชื่อ อปุตตกเศรษฐี เศรษฐีผู้นี้เป็นคนรวยมาก แต่ไม่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ครั้นพอรู้ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า ตครสิขี จะเสด็จมาบิณฑบาต ด้วยความรำคาญ จึงสั่งภรรยาทำนองว่า ให้เอาภัตตาหารมาใส่บาตรเพื่อให้ท่านรีบไป ๆ เสีย พอสั่งภรรยาเสร็จ ก็รีบเดินออกไปนอกบ้าน พอภรรยาได้ยินอย่างนี้ ก็ดีใจมาก เพราะเศรษฐีไม่เคยอนุญาตให้ทำบุญอะไรแบบนี้เลย จึงรีบจัดเตรียมภัตตาหารชั้นดีประณีตที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้แล้วเอาไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า พอท่านเศรษฐีกลับมาโดยเดินสวนกับพระปัจเจกพุทธเจ้าจึงขอดูในบาตรของท่าน ครั้นพอเห็นอาหารอันประณีตเท่านั้นเอง ก็นึกไม่พอใจอย่างมาก แล้วพลันคิดในใจว่า...
‘อาหารดีขนาดนี้ ให้พวกทาสหรือกรรมกรของเรากินยังดีเสียกว่า เพราะถ้าพวกนั้นกินก็ยังเอาเรี่ยวแรงมาทำงานรับใช้เรา ส่วนสมณะนี้ฉันแล้วก็ไปนอน ไม่ได้อะไรขึ้นมา บิณฑบาตของเรานี้ฉิบหายแล้ว’…