๑.๖ หมื่นล้าน หรือ
๑๖,๓๗๓,๓๗๐,๓๑๔ บาท
เป็นเม็ดเงินที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ
ว่าเขาคือ เศรษฐีหุ้นไทย ที่รวยที่สุด..!!
จนทำให้หลายคนต้องหันมาสนใจ
ราชันอสังหาริมทรัพย์คนนี้ ซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง
ในการก้าวขึ้นมาบนบัลลังก์ของ BEST CEO ปีนี้...
✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦✦
BEST CEO OF THE YEAR เป็นรางวัลสำหรับ CEO ที่มีวิสัยทัศน์ของผู้นำ มีการกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน มีความยอดเยี่ยมด้านการบริหารกิจการและเป็นที่ยอมรับว่า นำพาองค์กรสู่ความสำเร็จ ตลอดจนให้ความสำคัญต่อสังคม
คุณอนันต์ อัศวโภคิน ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ หรือยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นที่รู้จักกันดี แต่วันนี้เราจะรู้จักเขาในเชิงลึกไปกว่านั้น ว่าอะไรคือฉากหลังที่แท้จริง ที่ทำให้คุณอนันต์ ประสบความสำเร็จนับอนันต์ขนาดนี้
ย้อนไปเมื่อ ๑๕ ปี ที่ผ่านมา บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์จดทะเบียนตามราคาตลาดในวันที่ซื้อขาย ครั้งแรกประมาณ ๗๐๐ ล้านบาท แต่ปัจจุบันมูลค่าตามราคาตลาดของบริษัทสูงถึงกว่า ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็นตัวเลขที่ชี้ให้เห็นถึงการพลิกฟื้นที่เร็วมาก เพราะบริษัทพึ่งผ่านช่วงวิกฤตที่เกือบล้มละลายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นผลสืบเนื่องจากการลดค่าเงินบาท ทำให้บริษัทขาดทุนถึง ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท...
แต่ความสำเร็จอันสง่างาม ณ วันนี้ ทำให้แทบจะลืมไปเลยว่า บริษัทเคยล้มพับภายใต้หนี้สินที่ท่วมท้นมาก่อน แต่ประเด็นที่น่าสนใจต่อไปมีอยู่ว่า เพราะอะไรหรือที่ทำให้เขาพลิกฟื้นเร็วขนาดนี้ และหลายคนสงสัยว่าทำไมเขาทำบุญกับวัดพระธรรมกายเยอะ..?? เขามีกุนซือดี..? หรือมีอัศวินขี่ม้าทองคำมาโอบอุ้มไว้..? หรือมีอะไรที่เหนือความคาดหมายมากไปกว่านั้น...
"ผมเรียนว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเรียกว่าบังเอิญ ไม่มีอะไรเรียกว่าโชค ไม่มีอะไรเรียกว่าความเคราะห์ร้าย แต่เป็นเรื่องของบุญล้วนๆ บุญจะเป็นตัวไปกำหนดความคิดของเรา อย่างเช่น บริษัทผม เป็นต้นความคิด "สร้างบ้านเสร็จก่อนขาย" พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อว่าการสร้างบ้านเสร็จก่อนขายทำให้เราใช้เงินลงทุนลดลงมาก ลดกว่าของเก่าครึ่งหนึ่ง และทำให้การก่อสร้างเป็นไปได้เร็วกว่าเดิมมาก ตอนที่คิดทำใหม่ๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้ จนกระทั่งผู้จัดการฝ่ายการเงินเขาเดินเข้ามาหา บอกผมว่า "เอ้อ..!! แปลกนะเฮีย ทำไมบริษัทเราสร้างบ้านก่อนขายแล้วทำไมเงินมันเหลือเยอะขึ้นก็ไม่รู้ งงมากเลย" เพราะสิ่งที่ทำมันขัดกับทฤษฎีการเงินที่ว่า การทำอะไรล่วงหน้าไปก่อน เงินต้องจมไปก่อน แต่แปลกมากๆ แทนที่เงินจะจม กลายเป็นว่าเงินเราเหลือเยอะมากกว่าเก่าเยอะ"
แบบจำลองทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่มีใครกล้าคิด แต่กลับล้มล้างความเชื่อในการดำเนินธุรกิจแบบเดิมๆ ลงอย่างสิ้นเชิง
"ผมบอกทุกบริษัทเลยว่า สร้างบ้านก่อนขายดีที่สุด เพราะใช้เงินน้อยลง แต่กลับไม่มีใครกล้าทำ ทั้งๆ ที่บริษัทผมทำอย่างนี้มา ๓ ปีแล้ว เพราะพวกเขานึกไม่ออกว่าทำไมใช้เงินน้อยลง เขาบอกว่าสงสัยผมสติเสีย คุณอนันต์ เศรษฐกิจไม่ดีมาก สงสัยคงกลุ้มใจสติเสียไปแล้ว ขนาดผมแนะบริษัทอื่นด้วยว่าให้ทำอย่างไร เขายังไม่ทำเลย เพราะเขามองไม่เห็น คุณว่าเหตุของการมองไม่ออกอย่างนี้ เป็นเพราะอะไร ผมว่าเป็นเพราะเขาไม่ได้ประกอบเหตุ ไม่เคยทำบุญไว้เพียงพอที่จะรองรับสมบัติที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ดังจะเห็นว่าผู้ประกอบการรายอื่นๆ ไม่มีใครกล้าทำกันเพราะกลัวไปหมด ไม่กล้าลงทุน อ่านข่าวแล้วก็กลัวกระแส กลัวจะขายไม่ได้ ไม่กล้าซื้อที่เพิ่ม ไม่กล้าขึ้นราคาของอีกด้วย พอเขาไม่กล้าเราก็เลยทำอยู่คนเดียว อย่างเดือนสิงหา' ๔๗ ที่ผ่านมา ผลกำไรของบริษัทอสังหาฯในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด รวมกันแล้ว ยังกำไรน้อยกว่าบริษัทในกลุ่มเราเลย ทั้งที่ธุรกิจอสังหาฯนี้ เป็นธุรกิจที่ไม่มีลิขสิทธิ์ ไม่มีสัมปทาน ใครจะทำก็ทำได้ ซึ่งปกติแล้วธุรกิจที่ไม่มีสัมปทานแบบนี้ จะมีผู้ประกอบการมากเต็มไปหมด ซึ่งแต่ละเจ้าก็จะมีความสามารถในการทำงานใกล้เคียงกันมาก แต่นี่เมื่อประกาศผลการประกอบการออกมา ผู้เป็นเบอร์ ๒ รองจากเรา กำไรแค่ ๑ ใน ๑๐ ของกำไรที่เราได้รับ อย่างปี' ๔๖-๔๗ เรามีกำไรอยู่ประมาณ ๖,๐๐๐ กว่าล้าน ซึ่งสำหรับตัวผมเองนับว่ามาก เพราะในชีวิตเคยทำกำไรได้สูงสุดแค่ ๒,๐๐๐ กว่าล้าน ในปี ๓๘-๓๙ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่เราก็ทำงานน้อยลง อย่างนี้ไม่เรียกว่า ผลบุญอจินไตย แล้วจะให้เรียกว่าอะไรครับ..."
คุณอนันต์ยืนยันว่าความคิดนี้ เกิดจากบุญบันดาลให้คิด บุญที่เขาได้ทุ่มเททำมาตลอด ทั้งๆ ที่เงินในบัญชีติดลบ ซ้ำยังเคยจ่ายดอกเบี้ย หนี้สินที่เป็นบัญชีส่วนตัวของคุณอนันต์เอง วันละ ๑ ล้านบาท ยอดตัวเลขนี้ยังไม่รวมดอกเบี้ยจากหนี้สินของบริษัทในช่วงวิกฤตช่วงนั้น และที่สำคัญเขาได้ทำหน้าที่ในการชวนคนติดจานดาวธรรม ขยายจานดาวธรรมจำนวนหลายพันดวง
ทุกวันนี้กลายเป็นว่า คุณอนันต์ทำงานน้อยลงมาก จากเดิมที่เคยประชุมวันละ ๘ ชั่วโมง มีเอกสารกองเต็มโต๊ะไปหมด เพราะเป็นกังวลต้องอ่านหมดจะได้รู้ข้อมูลในการทำธุรกิจ จึงทำให้แทบจะไม่มีเวลา เวลาทานข้าวยังต้องนัดประชุมในวงทานข้าวด้วย เขาปรับวิธีการทำงานใหม่อย่างถูกหลักวิชชา คือ ใช้วิธีนั่งสมาธิให้มาก อย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อแนะนำเขา ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ
"วิชานี้ยากที่จะสอนให้คนทั่วไปเชื่อ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเองได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมื่อนำสมาธิมาใช้ในการทำงาน เราจะพบว่าใจเราจะนิ่ง การคิดเรื่องอะไรก็แล้วแต่ มันจะถูกต้อง พอดิบพอดี ด้วยตัวของมันเอง คำตอบในการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องมันจะมาเองเมื่อใจเราสงบ เพราะใจเราจะอยู่ในบุญ บุญที่เราเคยทำไว้จะสามารถหล่อเลี้ยงได้ แล้วบุญจะทำหน้าที่ดึงดูดสิ่งดีๆ โอกาสดีๆ การแก้ปัญหาอย่างถูกวิธีจะเข้ามาเอง อย่างผมเองคิดวางแผนอะไรไว้แต่ละอย่างที่เราคิด จะเป็นสิ่งที่เอาไปทำแล้วได้ผล แล้วสามารถขยายผลออกไปได้อีกมาก เมื่อก่อนคิดงานทั้งวัน แต่พอทำก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง คือ เมื่อก่อนคิด ๑๐๐ พอนำไปพูด เหลือ ๕๐ พอดูผลลัพธ์จากการกระทำเหลือเพียง ๒๐ คือเหนื่อยมาก แต่เดี๋ยวนี้ หลังจากเรานั่งสมาธิมากๆ มันเห็นผลคือ คิด ๑๐๐ พอลงมือทำจริงๆ ได้ถึง ๒๐๐ และดูต่อไปถึงผลลัพธ์ได้ตั้ง ๔๐๐ จนวันนี้ต้องขอเอาชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่ของตัวเองมาพิสูจน์ให้เห็นว่าผลบุญที่เป็นอจินไตยนั้นมีจริง"
จากบุญที่ส่งผลอย่างอจินไตย ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่ BEST CEO
"หลายคนส่วนใหญ่คงเข้าใจว่า การที่ผมได้รับรางวัล BEST CEO คงต้องทำอะไรต่ออะไรมาก แต่วันนี้ขอพูดอย่างไม่อายเลยว่า จริงๆ ไม่ค่อยได้ทำอะไร วันๆ ทำแค่อย่าง สองอย่าง ยิ่งปีนี้ ที่ได้รางวัล กลับขี้เกียจกว่าปีที่แล้วอีก เวลาออกจากบ้านก็นึกว่า เราจะไปชวนใครติดจาน ส่วนเรื่องงานที่บริษัท รอให้เขาโทรมาก่อนค่อยคุยกับเขา ๒-๓ ประโยค ดังนั้นวันๆ ค่อนข้างจะว่าง ทุกๆ ปี ก็รอรับเงินปันผลเป็นจำนวนมาก ตรงนี้ผมต้องเรียนเพิ่มเติมว่า เรื่องที่เกิดกับเราทุกอย่าง มีผลมาจากการประกอบเหตุ ผมคิดว่า เรื่องของการยอมรับหรือเกียรติยศที่ได้มาเป็นเพราะผมได้ประกอบเหตุในเรื่องของการชวนคนติดจานดาวธรรมเยอะ อานิสงส์จากการที่เราบอกในสิ่งที่ดีงาม บอกในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นข้อเท็จจริงของชีวิตมนุษย์ ทำให้เขามีแนวทางการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องปลอดภัยในวัฏสงสาร ผลบุญที่เราได้รับคือ ได้รับการยกย่อง เกียรติยศชื่อเสียงจากประชาชนกลับมา..."
จากความเชื่อที่ว่าบริษัทจะดีต้องเกิดจาก พนักงานในบริษัทดี เป็นความเชื่อที่แทบทุกองค์กรยอมรับ แต่จะมีสักกี่องค์กร ที่สามารถทำได้ จะมีสักกี่บริษัท ที่มีลูกน้องมีความสามารถแล้ว ยังไม่โกง ยังซื่อสัตย์ ยังมีคุณธรรมต่อเพื่อนร่วมงานด้วยกัน แต่ ณ วันนี้ บริษัทแบบนี้กำลังจะเกิดขึ้นจริง
"ผมได้ติดจานดาวธรรมให้กับพนักงานในบริษัทก่อน ซึ่งตอนแรกเขาไม่รู้หรอก ว่าเรากำลังให้ในสิ่งที่ดีแก่เขา พนักงานผมรวม ๒-๓ บริษัท ก็เป็นพันคน ผมบอกว่าติดให้ฟรีไม่คิดเงิน ปรากฏว่าเขาอิดออดมาก ไม่ยอมติดกัน เพราะกลัวจะกลายเป็นสาวกวัดเหมือนเจ้านายเขา เพราะฉะนั้นล็อตแรกจึงติดให้พนักงาน ๒๐ คนก่อน หลังจากที่เขาติดกันแล้ว พบว่าเขาบอกต่อๆ กันเอง ว่านึกไม่ถึงว่าธรรมะจะมีวิธีการสอนที่สนุก และดีขนาดนี้ ซึ่งต่อมาก็เข้ามาหาผมกระมิดกระเมี้ยนมาถามว่า ขอติดฟรีอีกดวงได้ไหม คือจะเอาไปติดให้กับคุณพ่อคุณแม่ต่างจังหวัดด้วย ผมก็บอกว่าผมให้เพียงดวงเดียว ส่วนพ่อแม่เขาควรติดให้ท่านเอง เขาจึงจะได้บุญกับพ่อแม่ในเรื่องความกตัญญู ปรากฏว่าได้ผล ต่อมาพนักงานในบริษัทก็ทยอยติดกัน จนตอนนี้ต้องจัดคิวทยอยติดกัน และผลลัพธ์ที่ได้อีกอย่างคือ เราเป็นหัวหน้า เราต้องให้คุณภาพชีวิตที่ดีกับพนักงานให้การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องกับเขาด้วย ซึ่งจะเป็นอย่างนี้ได้ ก็ต้องมีการอบรมพนักงาน ให้เขามีธรรมะ เพราะเมื่อเขามีธรรมะ เขาไม่กล้าทุจริต ไม่กล้าโกงบริษัท ไม่กล้ากินเหล้า มีจิตเมตตาต่อกัน ซึ่งสิ่งนี้ยิ่งทำให้การทำงานในบริษัทดียิ่งขึ้น ความจริงการอบรมให้ความรู้แก่พนักงานในบริษัท ผมก็ให้มามาก แต่เรื่องคุณธรรม เรื่องความสุจริต ความถูกต้องนี่ หากเขามีธรรมะ เขาก็จะเป็นเช่นนั้นได้ ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายของตรงนี้จะทำให้ผลการประกอบการออกมาดี และเคล็ดลับแบบนี้ไม่หวงนะครับว่าเจ้าของกิจการไหนจะเอาไปทำบ้าง..."
จากความสำเร็จราวกับปาฏิหาริย์ของคุณอนันต์ หลายคนมองว่า ที่เขาได้ในสิ่งเหล่านี้ เพราะเขามีความพร้อมกว่า ซึ่งหากมาเจาะลึกกันจริงๆ แล้ว เรื่องความพร้อมเป็นเพียงประเด็นรองเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นประเด็นหลักของเขาคือ การคว้าโอกาสต่างหาก และโอกาสที่ว่านั้นก็คือ การขวนขวายที่จะทำบุญอย่างเต็มกำลัง จึงทำให้เขามีบุญในตัวเพียงพอที่จะรองรับความสำเร็จที่เกิดขึ้นในชีวิตทั้งหมด
"คนเราชอบจำปนกัน ว่าคนฉลาดต้องเก่ง คนเก่งต้องรวย ไม่จริงเลยครับ มันแยกกันหมด เพราะแท้จริงแล้ว คนรวยเกิดจากการทำทาน คนฉลาดเกิดจากการนั่งสมาธิ เพราะฉะนั้น คนฉลาดไม่จำเป็นต้องรวย หากเขาไม่ได้ทำทานมา ที่หลวงพ่อชวนเราให้ทำทาน ก็เพื่ออยากให้เรารวยไม่ลำบากในชาติหน้า ซึ่งบางคนคิดว่า เราต้องรวยก่อน จึงจะทำบุญ บางคนคิดว่า เราต้องเก่งและฉลาดก่อน คือต้องเป็นBEST CEO ก่อนจึงจะรวย ซึ่งไม่จริงเลย สมัยผมเรียนมหาวิทยาลัย คะแนนผมไม่ดี ส่วนคนติวให้ผมก็เก่งมากนะครับ แต่เวลาเขาทำงานแล้ว เขายังลำบากอยู่ ผมว่าการประกอบเหตุเรื่องการทำทาน เป็นสิ่งสำคัญมากๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ไม่มีใครจนเพราะทำบุญ เราต้องชนะความจนด้วยการละความตระหนี่ เมื่อความตระหนี่หลุดไป มันจะเปิดให้สมบัติจักรพรรดิเข้ามาได้ และความจน หากเรายิ่งกลัว เราจะยิ่งจน เพราะยิ่งกลัวเราจะยิ่งตระหนี่ และกระแสของความตระหนี่ จะไปผลักสมบัติออก ซึ่งผมเอาตัวเองพิสูจน์ได้เลย วันที่ผมตัดความตระหนี่ออกจากใจโดยสิ้นเชิง ในวันที่ผมตีเช็คล่วงหน้าออกไปทำบุญทั้งๆ ที่มันไม่มี ในที่สุดอยู่ๆ ก็มีหนี้ที่ผมลืมไปแล้ว กลับมาคืนตามจำนวนที่เราได้ทำบุญไป และ ณ วันนี้เอง สมบัติต่างๆ ของผม ก็ได้ไหลกลับมา จนเขาต้องจัดอันดับรางวัลให้..."
คุณอนันต์ไม่ถนัดในการมีชีวิตที่ล้มเหลว แต่เขาถนัดที่จะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเมื่อวานด้วยการบันดาลของบุญที่เขาสั่งสม หลายคนบอกว่าเป็นอจินไตย ซึ่งเขาเองก็ยอมรับว่ามันเป็นเช่นนั้น เพราะอัธยาศัยเขาเป็นคนทำบุญทุกรูปแบบ แบบอจินไตย ซึ่งก็สมเหตุสมผลแล้ว ที่จะได้รับผลตอบแทนแบบอจินไตยเช่นกัน คุณพร้อมจะประกอบเหตุการรวย และมีชื่อเสียงอย่างคุณอนันต์หรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว Know-How ในคอลัมน์นี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ในการลอกเลียนแบบในเชิงปฏิบัติ เพียงแต่จะขอเตือนว่า โปรดจับหัวใจไว้ให้ดี และวางใจเบาๆ ไว้ที่ศูนย์กลางกายด้วย เพราะคุณอาจจะตื่นเต้นต่อความรวยของคุณ จนใจรับไม่ทัน....
ปล. โปรดอ่านคำเตือนอีกครั้งหนึ่ง
Cr. ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์ สำนักสื่อธรรมะ