1. มีความจริงอีกประการหนึ่งที่เราต้องช่วยกันคิด ก็คือ เมื่อธุรกิจน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ กำลังการผลิตจะเพิ่มขึ้นมากมาย นั่นหมายถึงราคาต้นทุนต่อหน่วยจะต่ำลง นักดื่มจะซื้อเครื่องดื่มมึนเมาได้ในราคาถูกลง แน่นอนว่าคนเมาในบ้านเราจะเพิ่มมากขึ้น แล้วการที่รัฐบาลชุดปัจจุบันมีนโยบายที่จะพัฒนาประเทศ โดยการพัฒนาคนในชาติให้มีคุณภาพ ไม่ตกเป็นทาสยาเสพติด จะเป็นจริงได้จริงๆหรือ?
2. เราอาจจะหลุดพ้นจากการตกเป็นเชลยในสงครามยาบ้าที่เคยระบาดเมื่อสองสามปีก่อน หลังจากการปราบปรามกันอย่างหนักหน่วง มีการกำหนดโทษไว้อย่างรุนแรง ทั้งผู้ค้าผู้เสพมีค่าหัว ถูกส่งเข้าคุกไปหลายราย ส่งไปประหารชีวิตก็มาก น่าคิดจริงๆว่ารัฐบาลจะมีมาตรการรับมืออย่างไร กับสิ่งเสพติดที่มอมเมาคนในชาติอย่างถูกกฎหมายเช่นนี้
3. จากนโยบายแห่งชาติที่นายกรัฐมนตรีได้ส่งเอกสารไปยังคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 18 ธันวาคม พุทธศักราช 2547 โดยใช้ชื่อว่า คำประกาศนโยบายและเป้าหมายเมืองไทยแข็งแรง รัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริมให้คนไทยอยู่เย็นเป็นสุขทั้งกายใจ สังคมและปัญญา สามารถดำรงชีพบนพื้นฐานความพอดี พอประมาณอย่างมีเหตุผล ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงประกาศวาระแห่งชาติ 17 เป้าหมายด้วยกัน โดยในข้อ 8 ระบุว่า คนไทยจะต้องลดการ การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ และข้อ 14 มีใจความว่า คนไทยจะต้อง ลด ละ เลิกอบายมุขและสิ่งเสพติด จากนโยบายดังกล่าวจะเห็นว่า การนำธุรกิจน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ เป็นการสวนกระแสนโยบายรัฐบาลอย่างยิ่งเพราะ การที่ธุรกิจใดๆจะเข้าตลาด มีข้อกำหนดว่ากิจการจะต้องเติบโตกว่าเดิม อย่างน้อย ปีละ 5-10 เปอร์เซ็นต์ มิฉะนั้นจะทำให้ตลาดเสียหาย ดังนั้นเมื่อน้ำเมาเข้าตลาด ยอดขายก็เพิ่มขึ้น และคนก็เมามากขึ้น
จึงเป็นเรื่องที่คนไทยทุกคน จะต้องขอให้รัฐบาลช่วยทบทวนว่า หากยินยอมให้ธุรกิจน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ แล้วนโยบายแห่งชาติที่จะพัฒนาศักยภาพของคนไทยคนไทยอยู่เย็นเป็นสุขทั้งกายใจ สังคมและปัญญา จะเป็นจริงได้อย่างไรโดยพิจารณาจากความจริงที่ว่า
1. ความรักตัวเอง เป็นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน แต่ในสังคมที่เราต้องอยู่ร่วมกันนี้ เราควรจะต้องเผื่อแผ่ความรักให้กับบุคคลที่อยู่รอบข้างด้วย เพื่อเราจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
2. สังคมจะพัฒนาไปได้ดี เราจะต้องสร้างกำแพงทางศีลธรรม ต้องปลูกฝังให้คนในชาติมีความคิดเห็นที่ถูกต้อง รู้จักละอายต่อบาป ปูพื้นฐานจากคนรอบตัวให้รักและปรารถนาดีต่อกัน
3. การที่มีคนกลุ่มหนึ่งมองเห็นแต่ประโยชน์ของตน พยายามผลักดันธุรกิจน้ำเมาเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ โดยหวังจะให้คนซื้อหุ้น เพื่อที่ตนเองจะได้รับเงินทุน โดยไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยกับธนาคาร และไม่ต้องรับผิดชอบในการจ่ายคืน หากกิจการไปไม่รอด ก็ไม่ต้องชดใช้ เพียงแค่นำหลักทรัพย์ไปขายทอดตลาดแล้วนำมาแบ่งกัน เจ้ากิจการไม่มีอะไรที่จะต้องรับผิดชอบเลย ซึ่งความคิดเช่นนี้ไม่ผิด แต่ออกจะเป็นการขาดความรับผิดชอบต่อส่วนรวมและขาดความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ไป หากเราปล่อยให้ความคิดดังกล่าว แพร่กระจายลุกลามไปเรื่อยๆ ในอนาคตอาจจะมีธุรกิจอบายมุขอื่นๆ เช่น คาสิโน บาร์ ผับ อาบอบนวด เดินชักแถวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์อย่างมีเกียรติ
และเมื่อวันนั้นมาถึง จะมีคนอีกมากมายที่ต้องร้องไห้ เนื่องจากการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักผู้หลงผิด เสพเครื่องดื่มมึนเมาและตกเป็นทาสอบายมุขต่างๆ ส่งผลให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และฝันร้ายของคนไทยทั้งชาติ คงจะเริ่มต้นขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีวันสิ้นสุด