.....เมื่อหลายสิบปีก่อนโน้น ผมเกิดที่อำเภอ (แม่)ใจ เป็นอำเภอเล็กๆที่ไม่เคยมีปรากฏบนแผนที่ประเทศไทย
ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่ชั้นมัธยมต้นนั้น ผมรู้สึกต่ำต้อยน้อยหน้ามาก จนถึงขั้นอับอายไม่อยากบอกใครว่าเกิดที่อำเภอนี้คิดดูเถอะ เปิดหาในแผนที่ไม่มีแล้ว เวลาสอบไล่ยังต้องไปสอบที่อำเภออื่น ร่วมกับโรงเรียนที่เขาได้รับการรับรองวิทยฐานะ มันไม่น้อยอกน้อยใจได้อย่างไร ยิ่งตอนที่ไปเข้าแถวเคารพธงชาติร่วมกับพวกนั้น แข้งขาสั่นใจหวิวๆชอบกล ใช่ครับ…เพราะพวกผมเป็นชาว “กะเหรี่ยง”
.....พวกเราชาวกะเหรี่ยงมีกันอยู่ไม่ถึงสิบห้าคน แถมชุดนักเรียนยังขาดกะรุ่งกะริ่ง ต่างจากเจ้าถิ่น ที่เอี้ยมเฟี้ยม สดใส เด็กผู้หญิงใส่กระโปรงแดง เด็กผู้ชายใส่กางเกงดำ ดูดีกว่าสีกากี ที่ทั้งปะก้น-เปลือยเกือก เหมือนพวกผม ช่างต่างกันราวฟ้ากับดินช่วงพักเที่ยงนี่แทบไม่อยากออกไปกินข้าวกินปลา ไม่กล้าเดินไปไหน เกาะกลุ่มกันแจอยู่ในหมู่ชนกลุ่มน้อย แกะข้าวห่อกินกันอยู่ใต้ร่มไม้ เพราะกลัวโดนแซว กลัวสารพัดสารพัน ภาวนาให้การสอบอันสยองขวัญนั้น ผ่านพ้นไปเสียไวๆผมยังจำประสบการณ์ในวัยเด็กเหล่านั้นได้ ไม่เคยลืมเลย กลับมาเล่าเรื่อง (ตาม) อำเภอใจ ของผมกันต่อครับ เมื่อกลับมาถึงบ้าน บ้านที่พวกผมเรียกว่าวิมานของคนดอย ก็ต้องขึ้นเขากันไกลหลายกิโล อำเภอใจของผมนี้ ตั้งอยู่ระหว่างอำเภอพะเยาและอำเภอพาน จำไม่ได้แล้วว่ากิ่งอำเภอบ้านผมถูกยกเป็นอำเภอตั้งแต่เมื่อไหร่
.....แม้ว่าทุกวันนี้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปหลายสิบปีแล้ว และอำเภอที่ผมอยู่ดูจะเจริญกว่าแต่ก่อนมาก
เพราะความสะดวกสบายในปัจจุบันทำให้ผมต้องหันมามองตัวเอง เปรียบเทียบกับความรู้สึกในวัยเด็ก ว่าไม่ใช่เพราะความยากลำบากหรอกหรือ ที่ทำให้ผมเป็นผมอยู่ทุกวันนี้ได้ ที่ทำให้ผมมีแรงบันดาลใจต่อสู้ชีวิต สิ่งที่ผมเคยรังเกียจ บัดนี้ได้กลายเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดเพราะแท้จริงแล้ว ดีหรือเลวใช่อยู่ที่เชื้อชาติ ผิวพรรณ แต่อยู่ที่ “ ใจ” ของเราต่างหากอิสระของใจจะให้แนวทางและโอกาส ฟันฝ่าอุปสรรคไปจนกว่าจะชนะ ถ้าวันนี้คุณยังนึกน้อยใจกับชีวิตตัวเองอยู่ละก็ เลิกคิดเสียเถิดครับ อย่ามัวเสียเวลากับเรื่องไร้สาระอยู่เลย เพราะโลกใบนี้ มีเพียงคุณคนเดียว ที่จะลิขิตชีวิตตัวเองได้….ตามอำเภอใจ !!!
เด็กดอย