สายเกินไปหรือเปล่า
เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเล่าให้ท่านฟังต่อไปนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๓๑ ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ต้นเดือน หลังจากเราไปทำบุญที่วัดพระธรรมกายตามปกติ มีการรักษาศีล ถวายสังฆทาน
เจริญภาวนา และปล่อยสัตว์ปล่อยปลาให้ทานชีวิตแล้ว
กัลยาณมิตรผู้หนึ่งมาชวนข้าพเจ้าไปเยี่ยมเด็กสาวนักศึกษาที่คุ้นเคยกันซึ่งป่วยอยู่ที่
บ้านแถวๆ ลาดพร้าว เขาบอกว่า
"คนป่วยบ่นอยากพบพระเดชพระคุณหลวงพ่อ อยากพบป้า ตามที่หนูเห็นเขามีอาการหนักมาก หน้าตาเหมือนศพที่ขึ้นอืด เห็นแล้ว น่ากลัวจังเลยค่ะ"
ข้าพเจ้าฟังแล้วนึกไม่ออกว่าเด็กเป็นโรคอะไร จึงถามเขาไปว่า
"เค้าไม่ สบายเป็นโรคอะไร ทำไมจึงว่าหน้าตาขึ้นอืดเสียก่อนตายยังงั้นล่ะ"
"หนูยังไม่รู้เรื่องแน่นอนนัก อยากให้คุณป้าลองคุยด้วยเค้าอาจจะบอกอะไรละเอียด เพราะเค้ารักคุณป้าอยู่ เท่าที่ไปเยี่ยมมาหนูพอจับเค้าๆได้ว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง เหมือนจะประท้วงอะไรซักอย่างน่ะค่ะ" คนเล่า
อธิบายอาการและสาเหตุโดยย่อ
พอได้ยินคำว่า "ประท้วง" ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายวูบ เพราะนึกถึงภาพเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันเมื่อวันวิสาขบูชา ๓๐ พฤษภาคม เด็กสาวผู้นี้วิ่งเข้ามาหาข้าพเจ้า ยกมือไหว้ แล้วพูดว่า "ป้าจ๋า หนูมีเรื่องอยากคุยกับป้าจัง แต่ป้าก็ไม่ว่างซักที" น้ำเสียงที่พูดสะดุดใจข้าพเจ้าทั้ง อ่อนเศร้าแฝงความหดหู่ประหลาด แต่ขณะนั้นมีอาจารย์จากวิทยาลัยเทคนิคจังหวัดเชียงใหม่ กำลังไต่ถามปัญหาธรรมปฏิบัติบางอย่างอยู่หลายคน ข้าพเจ้าจึงได้แต่กล่าวกับเธอว่า อีกสักครู่ให้มาพบกันใหม่
แต่แล้ววันนั้นเราก็ไม่ได้พบกันอีก เพราะผู้คนมากมายและ ข้าพเจ้าก็ย้ายที่นั่งใหม่ตอนกลางวัน ทั้งผู้คนที่ข้าพเจ้าต้องพูดคุยทักทายด้วยก็มีจำนวนมากจนจำไม่ไหวทำให้ลืมเรื่องของเธอไปเสียสนิท เมื่อต้อง
มานึกถึงใหม่ในเวลานี้ ความคิดคำนึงจึงย้อนทวนไปถึงวันเก่าๆ ที่เคยได้พบกัน คำพูดซ้ำๆ ประโยคหนึ่งที่ข้าพเจ้านึกออกขึ้นมาทันทีคือ เด็กสาวผู้นี้ชอบพูดกับข้าพเจ้าว่า
"ป้าจ๋า ทำไมหนูจึงไม่เกิดเป็นลูกของป้า เป็นน้องพี่ซิ้มก็ได้
(ซิ้มเป็นชื่อเล่นของลูกสาวของข้าพเจ้า)
หรือมิฉะนั้นก็จะเป็นประโยคว่า "หนูอยากให้ป้าเป็นแม่ของหนูจัง ขอให้หนูเรียกป้าว่าแม่นะคะ" แล้วหลายครั้งหลายหนที่เธอจะเรียกข้าพเจ้าว่า "แม่" เวลาเราพูดคุยกันตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจริงจัง ถึงเรื่องคำสรรพนามต่างๆ ที่ตนเองถูกคนนี้เรียกอย่างนั้น คนนั้นเรียกอย่างนี้ ในกรณีเด็กสาวที่กำลังพูดถึงก็เป็นทำนองเดียวกัน เธออาจจะพูดเอาใจคนแก่อย่างเราก็ได้ ทำให้ผู้ฟังชื่นใจ เป็นหลักจิตวิทยาหรือมารยาทใน
สังคมประการหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงเห็นเป็นเรื่องธรรมดาไปเสีย
เมื่อเกิดเรื่องขึ้น และคำว่า "ประท้วง"สะดุดใจข้าพเจ้าทำให้หวนคิดทบทวนคำพูดทั้งหมดของเธอ หรือว่าเธอมีปัญหากับคุณแม่ของเธอ จึงคิดเรียกคนอื่นว่า "แม่" แทนแม่จริงๆ เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ข้าพเจ้าจึงรับปากกัลยาณมิตรผู้มาชวนเดินทางไปเยี่ยมเยียนผู้ป่วย
ภาพที่เห็นมิได้เกินความจริงเลย ใบหน้าของเธอบวมอืดจนตาปิด ถ้านอนนิ่งๆ ไม่พูด ก็มองดูเหมือนใบหน้าของศพที่ตายมาแล้วสัก ๔-๕ วัน ช่างเหมือนใบหน้าศพเพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่ง ซึ่งถูกคนรักยิงตายเมื่อ ๒๙ ปี ที่แล้วมา เพราะจับได้ว่าฝ่ายหญิง กำลังจะเปลี่ยนใจไปรักชายอื่น เจ้าภาพจัด สวดอภิธรรมศพ ๔-๕ คืนแล้วเผา ก่อนนำศพขึ้นเมรุ ข้าพเจ้าวิ่งตามไปดูหน้าเพื่อนรักแล้ว สลดใจถึงที่สุด
ใบหน้าในยามมีชีวิตอยู่นั้นงดงามนักหนา เป็นดาวประจำรุ่น เป็นเทพีหนังสือพิมพ์ เป็นนางงามอีกหลายตำแหน่ง...แต่ในเวลาที่ร่างของเธอกำลังจะถูกยกขึ้นวางบนเชิงตะกอนนั้น เห็นเพียงแค่ใบหน้าที่โผล่ออกมาพ้นผ้าขาว ไม่มีความงามใดๆ เหลืออยู่อีกเลย ๒๙ ปีมาแล้ว ภาพใบหน้าศพของเพื่อนรักยังไม่เคยเลือนไปจากความทรงจำ คนป่วยช่างไม่มีอะไรผิดกันเลยกับใบหน้าศพเพื่อนที่เห็นก่อนถูกเผาไฟ
ข้าพเจ้าพูดให้กำลังใจคนเจ็บค่อนข้างยืดยาวพอสมควรจนคนเจ็บยิ้มออกทั้งที่ลืมตาไม่ได้ (เนื่องจากบวมมากจนตาปิด) ข้าพเจ้าจึงขอตัวมาคุยกับมารดาของเธอ เพียงมองลักษณะอาการ ทั้งกิริยามารยาทและการแต่งตัว พูดคุยด้วยไม่กี่ประโยค ก็สามารถเข้าใจเรื่องทั้งหมดในครอบครัวนี้ได้สิ้นเชิง จนต้องรำพึงขึ้นในใจว่า
"หนู ป้าขอโทษจ้ะ ป้านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนูต้องเผชิญ ภาพชีวิตที่ต้องคับแค้นใจอย่างนี้ ป้าทราบแล้วว่า ทำไมหนูจึงอยากเรียกป้าว่า "แม่" และป้าก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าหนูไม่ได้แกล้งเรียกอย่างไม่มีความหมาย หนูเรียกด้วยความจริงใจ ถ้าเป็นป้าตกอยู่ใน ภาพอย่างหนู ป้าก็อยาก เรียกผู้อื่นที่มีคุณสมบัติถูกใจว่า "แม่" เหมือนกันจ้ะ ป้าอยากจะขอโทษ สักร้อยครั้งพันครั้ง ที่มิได้ สนใจหนูเท่าที่ควร หนูจ๋ายกโทษให้ป้าเถอะนะจ๊ะ"
ครอบครัวนี้เป็นครอบครัว "แตกแยก" บิดาไปมีภรรยาใหม่อยู่ที่อื่น พี่ชายคนโต ๒ คน มีครอบครัว แยกบ้านไปอยู่ที่อื่นอีกเหมือนกันทั้ง สองคนมีลูกเต้าของตนต้องดูแล ความ สนใจเรื่องแม่และน้องจึงลดลงไปแทบหมดสิ้น พี่สาวเพิ่งเป็นม่ายเพราะหย่าร้างกับสามี มีลูกติดหนึ่งคน ส่วนมารดาของเด็กเป็น สตรีอยู่ในวัย ๔๐ ปีเศษ
ข้าพเจ้าสังเกตลักษณะการแต่งกาย การใช้เครื่องประดับรวมทั้งจริตกิริยาการพูดจา การแสดงออก แสดงอาการอ่อนกว่าวัยมาก ดูจะเป็นสาวมากกว่าคนป่วยด้วยซ้ำไป เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาของชาวโลก เมื่อผิดหวังในคนที่ตนรัก เพราะเขาปันใจไปให้ผู้อื่น คนธรรมดาที่ยังไม่รู้จักใช้ธรรมโอสถรักษาใจ ก็จะใช้วิธีที่ข้าพเจ้ามักเรียกว่าใช้ "ขี้หมามาล้างขี้ไก่" ล้างอย่างไรก็ไม่หายเหม็น
เพียงแต่เปลี่ยนกลิ่นเปลี่ยนความสกปรกเท่านั้นเอง เมื่อเราต้องเป็นทุกข์เพราะการครองเรือน มีครอบครัว และได้เลิกร้างจากกันไป ได้รับอิสรภาพใหม่ ควรจะดีใจยินดีในเสรีภาพนั้น ใช้โอกาสอันดีหลุดพ้นจากความเป็นทาสนี้ สร้างบุญกุศลสร้างบารมีให้ตนเองให้เต็มที่
ใครมีปัญญาคิดได้ดังนี้เรียกได้ว่าเป็นคนฉลาด ย่อมเอาตัวรอดจากทุกข์ได้ในวันหนึ่ง แต่คนส่วนใหญ่ มักคิดแสวงหาทุกข์ใหม่ใส่ตัว คือพยายามหาคู่ครองคนใหม่เท่ากับเปลี่ยนจากกลิ่นเหม็นของ "ขี้ไก่" เป็น "ขี้หมา" เท่านั้นเอง
มารดาของผู้ป่วยเป็นคนประเภทนี้ ดังนั้นเมื่อข้าพเจ้าได้ฟังคำบอกเล่าจากคนเจ็บว่า "แม่ของหนูไม่มีศีล ๕ เลย" จึงไม่มีความสงสัยใดๆ มีให้แต่ความเห็นอกเห็นใจ แต่เมื่อได้พูดคุยด้วยก็รู้ว่าหมดหวังที่จะชักชวนให้เอา "น้ำสะอาด" ล้างขี้ไก่ เห็นใจไป แต่ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้
ตัวอย่างคำพูดของเธอหลายประโยคที่ทำให้เกิดความหดหู่เหี่ยวแห้งใจเป็นต้นว่า
"ก่อนเกิดเรื่อง ชั้นกับเค้ามีปากเสียงกันค่ะ เค้าชวนชั้นไปวัดให้ไปทำทานถือศีล หัดทำภาวนามั่ง จะได้ได้บุญ ชั้นก็เถียงเค้าว่า ตอนนี้ร่างกายยังพอมีกำลัง ต้องทำมาหากินไปก่อน เอาไว้ให้หมดแรงทำอะไร ไม่ไหวซะก่อนค่อยไปวัด เค้าส่งเสียงดังทีเดียวว่า แม่ แม่ รู้ได้ยังไง ว่าแม่จะอยู่จนแก่ เราจะตายวันไหนก็ได้ ชีวิตมันแน่นอนเมื่อไรกัน ชั้นโกรธที่เค้าส่งเสียงดัง ชั้นก็เลยหาเรื่องบ่นเค้าเสียหลายเรื่อง"
ข้าพเจ้าลองซักต่อดู "เรื่องอะไรบ้างคะ ที่คุณบอกว่าหาเรื่องบ่นเค้า"
"ก็เรื่องให้เค้ารีบเรียนให้จบ หางานทำ นี่เหลืออีกไม่กี่วิชาก็จะจบแล้ว แต่เขาดูไม่ตั้งอกตั้งใจ ชอบแต่เรื่องทำบุญทำทาน ถือศีล นั่งภาวนา ชั้นก็รู้ว่ามันของดี แต่มันมากเกินไป เรายังทำมาหากินเองไม่ได้ ต้องพึ่ง
เงินคนอื่นเค้าใช้ ยังไม่ควรเอาไปทำบุญนักหรอก เรื่องถือศีลก็เหมือนกัน ศีล ๕ นี่ถือเสียประจำเชียว แล้วก็ยังศีล ๘ อีกก็ถือบ่อย มันก็มีเรื่องขัดกะพี่ๆ เค้าซี เค้าฆ่าสัตว์ โกงอะไรกันบ้าง มีเรื่องชู้ๆสาวๆ บ้าง โกหกบ้าง
กินเหล้ากันบ้าง ถึงแกไม่ว่าอะไรเค้าแต่พวกเราก็ไม่สะดวกสบายใจ
มันให้รู้สึกอึดอัดกันยังไงไม่รู้ ยิ่งเรื่องนั่งภาวนาด้วยแล้ว นั่งบ่อยมากเกินไป ครั้งๆ หนึ่งนั่งอยู่ได้เป็นหลายๆ ชั่วโมง ใครจะมีงานอะไร จะอาศัยไหว้วานมั่ง แกก็ไม่ สนใจจะช่วยเอาเสียเลย"
นี่แค่เริ่มบ่นเรื่องเดียว ฟังแล้วก็แทบพูดอะไรต่อไม่ออกแต่ข้าพเจ้าก็แข็งใจถาม
"ทางบ้านจะวานให้หนูแกทำงานอะไรหรือ จึงไม่ยอมทำให้"
"ก็หยั่งเรื่องพี่สาว เค้ากำลังทุกข์กำลังร้อน ก่อนหย่ากับสามี มีการทุบตีกันเสียสะบักสะบอม ถูกซ้อมเสียลุกไม่ขึ้น เลิกกันแล้วกำลังมองหาคนใหม่อยู่ เวลาคนใหม่เค้านัดกันมากินข้าวที่บ้านตอนวันหยุดหรือตอนเย็นวันธรรมดาก็ตาม จะวานน้องช่วยจัดบ้านช่อง เตรียมหุงหาอาหาร โน่น น้องก็หนีไปวัดเสียแล้ว บางทีเพื่อนๆ พี่ชายมาชอบเสียเอง ชั้นกับพี่ๆ ก็เห็นว่าคนที่ชอบเค้าเป็นคนดีๆ กันทั้งนั้น เป็นผู้ใหญ่ มีการมีงานทำ
หลักฐานดี แกก็หนีเค้าเสียทุกรายไป บางทีถึงกับไล่เค้าไปเสียดื้อๆ ไปบอกเค้าตรงๆ ซะเนี่ยว่า ชีวิตนี้ตัวไม่คิดจะแต่งงานกะใคร"
เวลาที่เราพูดคุยกันอยู่นั้น ลูกสาวของข้าพเจ้านั่งอยู่ด้วย ข้าพเจ้าเห็นว่าลูกมีอาชีพเป็นพยาบาล จึงชวนมาเยี่ยมคนเจ็บด้วยกัน เผื่อจะมีทางช่วยเหลืออะไรกันได้บ้าง ฟังมารดาคนป่วยพูด เราแม่ลูก ต่างมองหน้ากัน ใจของลูกคงจะคิดตรงกับข้าพเจ้าว่า
"แม่จ๋า หนูดีใจที่ได้เกิดเป็นลูกแม่ แม่ไม่เคยห้ามหนูเรื่องการสร้างบารมีอย่างแม่ของเด็กคนนี้เลย แม่มีแต่สนับสนุนทุกอย่างคอยตักเตือนมิให้หนูประมาท ความตายไม่แน่นอน มีทั้งตายตามกาลเวลา และตายชนิด
ไม่ใช่กาลเวลา ถ้าตายเพราะหมดอายุ ตายเพราะหมดบุญ หรือตายเพราะหมดทั้งสองอย่าง ก็เรียกว่าตายตามเวลา แต่ถ้าเป็นตายเพราะอุบัติเหตุหรือเหตุที่สร้างขึ้นอื่นๆ ก็ไม่ใช่ตามเวลา แม่จึงบอกหนูอยู่เสมอๆ ว่า
ให้พยายามใช้เวลาที่ยังไม่ตายนี้กอบโกยบุญกุศลติดตัวไปให้มากที่สุด ความตายมาถึงเวลาใด จะได้มีเสบียงเดินทางสำหรับชาติหน้าพร้อมบริบูรณ์ แต่แม่ของคนป่วยนี่ช่างตรงข้ามกับพวกเรา เขาเองประมาท
ในชีวิตเต็มที่คนเดียวยังไม่พอ ยังบังคับให้ลูกประมาทตามไปด้วย น่าอนาถใจ เขาคิดจะเข้าวัดตอนแก่ตอนหมดแรง คิดทำทานตอนรวย ช่างประมาทนัก วัยชราทำสิ่งใดก็ได้พลังไม่มาก เพราะทั้งร่างกาย สติ
ปัญญา และกำลังใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเสื่อมโทรม จะฟังธรรม ประสาทหูก็ตึงจนฟังไม่รู้เรื่อง จะเจริญภาวนาก็เพลียจนหลับแล้วหลับอีก จะถือศีล ก็เพราะหมดแรงทำชั่วเสียแล้ว ไม่เห็นต้องใช้ความพยายาม ใน
การงดเว้น ที่สุดก็จะเหมือนอย่างที่พระภิกษุนักเทศน์องค์หนึ่งท่านกล่าวเสมอว่า เข้าวัดตอนแก่ เอาผ้าขาวนุ่ง แล้วมานอนหลับอยู่ในวัด ก็เหมือนผ้าขาวห่อศพที่นอนกลิ้งอยู่เท่านั้น รกวัดเปล่าๆ ไม่ได้ประโยชน์ทั้งของตนทั้งของคนอื่น"
ส่วนความคิดของข้าพเจ้ามีเพิ่มเติมต่อไปว่า..นี่เอง ที่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่อง มหาวิบัติ ๖ อย่าง ว่าถ้าใครพบแล้วจะต้องมีชีวิตที่วิบัติอย่างยิ่งคือ
๑. กาลวิบัติ เป็นเวลาว่างจากคำสอนของพระพุทธศาสนา
๒. ประเทศวิบัติ อยู่ในประเทศที่ไม่มีคำสอนของพระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปถึง
๓. คติวิบัติ ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ไปเกิดในอบายภูมิ คือ เป็นพวกสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย
๔. อุปธิวิบัติ แม้เกิดเป็นมนุษย์ แต่อวัยวะที่สำคัญบางอย่าง ขาดหายไป หรือไม่สมประกอบ เช่น ตาบอด หูหนวก วิกลจริต ทำให้ไม่สามารถศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาได้
๕. ตระกูลวิบัติ เกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิ
๖. ทิฏฐิวิบัติ เป็นคนมีมิจฉาทิฏฐิเสียเอง
คนป่วยรายนี้ พบกับความวิบัติในข้อที่ ๕ คือเกิดอยู่ในครอบครัวมิจฉาทิฏฐิ จึงต้องพบความคับแค้นใจอย่างหนัก ผู้คนที่แวดล้อมล้วนแต่เป็นญาติสนิท จะหนีจะทิ้งไปไหนก็ไม่ได้ จะปลงใจไม่เอาเรื่องเอาราวก็ไม่ได้ ล้วนแต่เป็นผู้คนที่มีบุญคุณต่อตน ควรช่วยเหลือให้เขาได้พบแสง สว่างบ้าง จึงจะเป็นการ สมควร นี่ช่วยเขาไม่ได้ แล้วตนเองยังถูกขัดขวางอย่างเต็มที่ ความเป็นเด็ก มีอายุเยาว์ประสบการณ์ชีวิตก็ยังน้อย แม้จะเริ่ม สนใจธรรมปฏิบัติแล้ว ปัญญาก็ยังไม่แก่กล้าพอจะหาทางออก
ที่สมควร จึงใช้การประท้วงที่สาหัสเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ฉีดสารพิษใส่ตัว คิดให้ร่างกายเจ็บป่วยหนัก ผู้คนในครอบครัวจะได้เลิกบีบคั้น แต่ตนเองไม่ใช่หมอ ย่อมไม่รู้ว่าพิษภัยของสารนั้นมีอานุภาพรุนแรงเพียงใด นี่ยัง
ไม่รู้เลยว่า ชีวิตจะรอดหรือเปล่าเลยนะหนูน้อยเอ๋ย..
ข้าพเจ้านิ่งคิดเพลินไปชั่วครู่ มาหยุดคิดลงเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่ายว่า
"ทำไมคะ วัดพระธรรมกายนี่สั่งสอนหนุ่มสาว ไม่ให้คิดแต่งงานหรือคะ"
ฟังคำถามแล้วรู้สึกงง แต่ก็พยายามชี้แจงไปว่า
"ก็ไม่เคยได้ยินพระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนอย่างที่คุณถามหรอกนะคะ เห็นแต่ท่านพูดตามหลักความจริงน่ะค่ะ ท่านว่า เราทุกคนก่อนแต่งงานก็หวังว่าเมื่อแต่งแล้วคงจะมีความสุข เหมือนคนซื้อล็อตเตอรี่ ซื้อไว้แล้วก็ตั้งความหวังไว้ว่า คงจะถูกรางวัลที่หนึ่ง แต่เมื่อประกาศผลออกมา กลับผิดหวัง ชีวิตแต่งงานก็ทำนองเดียวกัน รายไหนก็รายนั้น"
ปากพูดตอบเขาเพียงแค่นั้น แต่ใจนึกตำหนิติเตียนเขาไปเสียยืดยาว โธ่เอ๊ย ยายโง่ ชีวิตตนเองก็บ้านแตกจนกลายเป็นคนขี้เหล้ากันไปทั้งผัวทั้งเมีย ลูกชายตัวเองพอเขามีลูกมีเมีย ก็ไม่คิดให้เงินเลี้ยงแม่สักบาท เขาก็ทิ้งไปหมด ลูกสาวเล่า ก็เต็มไปด้วยทุกข์ที่ไปได้สามีนิสัยเลวทราม จนต้องหย่าร้างกัน นี่ยังจะไล่ลูกสาวคนเล็กให้เข้าไปในกองไฟทุกข์เหมือนอย่างตัวอีกคน ลูกไม่ยอมก็ใช้วิธีบีบคั้นจิตใจด้วยการบ่น บ่น บ่น ใครมันจะทนไหว
เรื่องการมีชีวิตครอบครัวนั้น ในทางธรรมปฏิบัติถือว่าเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงในการสร้างบารมี ไม่ว่าคู่ครองจะเป็นคนเลวหรือคนดีเพียงใด ล้วนแต่ทำให้เกิดความกังวลห่วงใยไม่จบสิ้น เป็นเครื่องถ่วง ทำให้สร้างกุศลกรรมไม่เต็มที่ ผู้ปรารถนาใช้ชีวิตสร้างสมบารมีธรรมให้เต็มเปี่ยม จึงมักบำเพ็ญเนกขัมมบารมี คือ ครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิต เป็นพื้นฐานรองรับการสร้างบารมีอื่นๆ
แต่เหตุผลดังนี้ พูดให้อีกฝ่ายฟัง อย่างไรเสียเขาก็คงไม่มีทางเข้าใจ เหมือนปลาที่มันอยู่ในน้ำ ไม่เคยขึ้นมาเห็นบนบกเลย เต่าซึ่งเคยขึ้นมาเห็นบนบกจะเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ตนเห็น ปลาก็นึกภาพไม่ออกไม่เข้าใจอยู่นั่นเอง ข้าพเจ้าจึงกล่าวเพิ่มเติมแต่เพียงว่า
"พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเปรียบกับเรื่องล็อตเตอรี่ ท่านหมายถึงชีวิตครอบครัวที่เป็นสุขสมหวังก็มีอยู่ แต่จำนวนน้อยมากเหมือนคนที่ถูกรางวัลที่หนึ่งนั่นแหละค่ะ"
อธิบายเพิ่มอย่างอ่อนโยนตรงข้ามกับใจคิด หวังว่าเขาจะเข้าใจถูกต้องขึ้นมา แต่แววตาของเขาก็ยังแสดงความดื้อดึงเต็มไปด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ เหมือนนักเลงการพนันที่ผีพนันสิงอยู่ในสายเลือด นี่ข้าพเจ้าคงจะหมดหวังเสียแล้วกระมัง ทำให้พาลคิดไปว่า หนูเอ๊ยถ้าต้องมีแม่ยังงี้ เป็นป้าก็อยากตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเหมือนกัน
ชาติหน้าเวลาจะเกิด ถ้ามีสิทธิ์เลือกได้ เลือกเอาแม่ที่ใจบุญ เป็นสัมมาทิฏฐิเถอะ จะยากจนแค่ไหนก็ยังไม่ตัดทอนโอกาสร้างบารมีเราถึงขนาดนี้ ข้าพเจ้าไม่ถามต่อแล้วว่าบ่นเรื่องอะไรอีก ได้รับคำตอบมา เรื่องเดียวก็เกินพอ คิดแล้วข้าพเจ้าอยากจะมีเงินให้หลายๆ ล้าน ทำทุนอุปการะเด็กที่ตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ เราเอาเด็กมาอุปการะเสียเลย
สนับสนุนให้เด็กทำงานให้ส่วนตัวและส่วนรวม ด้วยการตั้งหน้าบำเพ็ญ คุณงามความดี โดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องขอเงินจากทางบ้าน และต้องตามใจผู้ปกครองไปในเรื่องโง่เขลาของชาวโลก คือ คิดแต่เพียงว่าชีวิตนี้
ขอเอาเพียงหาเงินให้มากๆ เพื่อแสวงหาความสุขทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หาคู่ครอง แล้วก็นั่งทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงลูก พอลูกโต ก็เลี้ยงหลาน แล้วก็แก่ แล้วก็ตาย
ถ้าข้าพเจ้าทำเรื่องทุนอุดหนุนได้ เราคงจะได้คนรุ่นหลังจำนวนมากที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นคนมีค่า
ที่หาได้ยาก มาช่วยกันทำงานสืบทอด จรรโลง ฟื้นฟูงานรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ อันเป็นโครงงานใหญ่ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ไม่ใช่เพียงเพื่อเกิดมาให้เสียชาติเกิดอย่างผู้คนชาวโลกที่เป็นกันอยู่
ดังกล่าวแล้ว
"..ถ้าเกิดมาเพียงแต่จะมาคิดหาอาหารกินสืบพันธุ์ แล้วก็แก่ก็ตาย โดยไม่คิดสร้างบารมีทั้งสิบให้เพิ่มพูนขึ้น เพื่อจะมีโอกาสเลิกเวียนว่ายตายเกิดแล้วละก็ ไม่จำเป็นต้องเกิดเป็นคนหรอก เกิดเป็นเดรัจฉานชนิดไหนๆ มันก็ทำสิ่งเหล่านี้ได้.."
ข้อความข้างบนนี้ข้าพเจ้ามักนำมาพูดให้ผู้คนฟังอยู่เสมอ เพราะด้วยข้อความเหล่านี้เอง ทำให้ข้าพเจ้าได้คิดมาถึง ๒๕ ปีแล้ว พบบทความที่ว่าคนกับสัตว์เหมือนกันอยู่ด้วยเรื่องกินอาหาร การนอน หลับพักผ่อน การเสพกามสืบพันธุ์ การกลัวต่อความตาย ต่างกันอยู่เพียงเรื่องเดียว คือคนเรามี ธรรมสัญญา คือรู้ผิดชอบชั่วดี เรียกว่ารู้จักทำคุณงามความดีเป็น ถ้าใครไม่คิดสร้างสมคุณธรรมความดีแล้ว เขาผู้นั้นก็ไม่แตกต่างอะไรกับสัตว์
ข้าพเจ้าได้คิดเพราะข้อความนี้ จึงพยายามนำมาพูดบ่อยๆ บางทีอาจจะพบคนที่มีบุญเก่าแต่เดิมเหมือนข้าพเจ้ามาบ้าง เกิดได้ยิน แล้วได้คิดขึ้นมา ก็จะเป็นบุญกุศลทั้งของผู้ฟังและผู้พูดไม่น้อยทีเดียว
วันนั้น แม้ในความรู้สึกของข้าพเจ้าจะรู้ว่าไม่สามารถกลับใจให้มารดาของคนเจ็บรู้ถึงความหมายของคุณค่าของชีวิตในเวลานั้นได้ แต่ก็ยังสบายใจที่ได้ฟังคำพูดจากปากของเขาว่า
"เจ้าประคุณเอ๋ย ถ้าหนูแกไม่เป็นอะไร รอดตายในครั้งนี้
ชั้นจะไม่ว่า ไม่บ่นอะไรอีกแล้ว จะตามใจหมดทุกอย่างเลย อยากไปวัดก็ให้ไป ไม่อยากแต่งงานก็ไม่ว่า อยากเป็นลูกหลวงพ่อก็จะไปกล่าวคำถวายด้วยตัวเองเลย จะขอยกให้ท่าน ขออย่างเดียวให้ลูกมีชีวิตอยู่"
ความรักของแม่ แม้จะเป็นแม่ที่ขาดปัญญา เป็นรักที่ประกอบด้วยโมหะ ก็ยังประกาศคุณค่าของความรักแท้อยู่เสมอ คือเป็นรักที่พร้อมจะเสีย สละเพื่อลูกอยู่ตลอดเวลา นึกถึงพระรัฐปาลเถระใน มัยพุทธกาล กว่าจะได้รับอนุญาตจากบิดามารดาให้บวช ต้องอดข้าวปลาเสียหลายวัน ถ้าไม่ให้บวชก็ยอมตาย บิดามารดาจึงยินยอมเพราะความรักลูก กลัวลูก จะตาย ถ้าให้บวช ถึงอย่างไรก็ยังได้เห็นหน้า ในรายนี้ก็เป็นทำนองเดียวกัน
ต่างกันแต่ว่า ไม่รู้เด็กสาวคนนี้จะรอดชีวิตหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ากับกัลยาณมิตรที่ไปด้วยก็ตัดสินใจช่วยเหลือจนสุดความสามารถ โทรศัพท์ติดต่อเพื่อนที่เป็นแพทย์หญิงท่านหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ เราจัดรถรับคนป่วยไปโรงพยาบาลเอง กัลยาณมิตรที่เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลถูกเรียกตัวมาให้ช่วยกันเต็มที่
ข้าพเจ้าบอกให้คนเจ็บเลิกคิดเรื่องทั้งหมด เอาใจบำเพ็ญภาวนาไปอย่างเดียว ไม่ต้องห่วงกังวลกายเนื้อและเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เราจะช่วยกันแก้ปัญหา แม้แต่เรื่องเรียน หายดีแล้วเราจะหาทุนให้ รับปากเด็กไว้ก่อนทั้งที่ยัง
มองไม่เห็นหนทาง แต่เชื่อมั่นในกุศลเจตนาว่า ถ้าคิดจะทำต้องทำได้
เรื่องอย่างนี้เคยทำมามากแล้ว สมัยรับราชการเคย สงเคราะห์เด็กที่ยากจนและมีปัญหา มิใช่ราย สองราย แต่ช่วยกันเป็นพันๆ ราย ยังทำได้ นี่แค่รายเดียวนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องนี้ยังไม่ทราบตอนจบของเรื่อง ยังไม่ทราบจะรอดชีวิตหรือเปล่า ข้าพเจ้าจึงตั้งชื่อเรื่องถามท่านผู้อ่านไว้ว่า "คุณว่านี่เป็นเรื่องสายเกินไปหรือเปล่า" เป็นชื่อเรื่อง คำถามในชื่อเรื่องนี้ถามท่านผู้อ่านด้วย
ถามตัวข้าพเจ้าและนักเผยแผ่หลักธรรมของศาสนาด้วย ถามมูลนิธิหรือองค์การ หรือวัดของศาสนาด้วย ถามไปจนถึงองค์การของเอกชนและองค์การของรัฐด้วย ที่ต้องถามท่านผู้อ่าน ก็เพื่อให้ท่านหันกลับมองดูในครอบครัวของท่าน ว่ามีปัญหาเช่นเดียวกับครอบครัวนี้บ้างหรือเปล่า ถ้ามี ได้เตรียมการแก้ไขไว้อย่างไรที่จะทำให้ไม่สายเกินไป จะเตรียมหาทางออกอย่างไร ที่นิ่มนวล รัดกุม ให้ผลดีต่อทุกฝ่าย ถ้าครอบครัวของท่านมีศีลเสมอกัน มีทิฏฐิเสมอกัน อุปนิสัยใจคออย่างเดียวกัน นับเป็นบุญลาภอย่างยิ่ง ควรดีใจ ภาคภูมิใจ คงคุณงามความดีนั้นๆ ให้ สม่ำเสมอไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
สำหรับสมาชิกในครอบครัวท่านใด ที่ยังไม่สนใจบำเพ็ญกุศลกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด หรือหลายๆ อย่าง เช่น กุศลกรรมบถ ๑๐ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ท่านจะเริ่มสนใจลงมือปฏิบัติได้แล้วหรือยัง จะรอจนแก่ทำอะไรๆ ไม่ไหวเหมือนมารดาคนป่วยรายนี้หรืออย่างไร คงจะสายเกินไปแน่นอน กรรมทุกอย่างที่ทำลงไปล้วนแต่มีผลของกรรมเกิดตามมาทั้งสิ้นสร้างกรรมดีก็ได้ผลดี สร้างกรรมชั่ว ผลที่รับก็ต้องเลวต้องชั่ว ผลกรรมจะติดตามตัวผู้กระทำดั่งเงาวิ่งไล่ตามตัว ถ้าได้รีบทำกรรมดีๆไว้ตั้งแต่อายุยังน้อย ผลกรรมดีจะได้ติดตามให้ได้มีโอกาสใช้ทันในชีวิตนี้
จะคิดทำความดีเอาตอนแก่ จะหวังให้ผลกรรมตอบ สนองตอนใดของชีวิต คงจะต้องไปนั่งคอยรับผลกันในชาติหน้าเสียละกระมัง ท่านคงจะไม่คิดเป็นคนโง่ถึงขนาดนั้นใช่ไหม นี่ข้าพเจ้าถามท่านผู้อ่าน
ที่ต้องถามฝ่ายเผยแผ่อบรมสั่งสอน ก็ตรงที่ว่า เราจะทำอย่างไรกันดี ที่จะให้คำสอนนั้นเข้าไปตรึงใจผู้คนในครอบครัวให้หมดทุกคน จะทำในรูปหนังสือ รูปนวนิยาย รูปละคร รูปเพลง หรืออะไรๆ อื่นๆ อีก ป้อนให้ทุกคนได้รับทราบ เรียกว่าต้องโปรดผู้คนให้ได้มากคนที่สุด ถ้าจะใช้วิธีเผยแผ่อยู่เฉพาะที่วัด คนที่มีบุญบารมีเก่ามามากก็ไปฟังการอบรมสั่งสอนแล้วปฏิบัติตามส่วนพวกมีบุญน้อยอยู่ที่บ้านอีกมากมายหลายคนไม่รู้เรื่อง ก็จะกลายเป็นฝ่ายต่อต้านไป อย่างกรณีเรื่องที่เล่านี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นศาสนาทำให้บ้านช่องเขาแตกแยกผู้คนเดือดร้อน สังคมอลเวง พวกมิจฉาทิฏฐิก็จะได้ช่องถือโอกาสโจมตี
ที่ต้องการถามองค์การต่างๆ ไม่ว่านิติบุคคลหรือฝ่ายราชการก็ตรงที่ว่า มีบ้างไหม ที่ใครจะคิดทำกองทุนอุดหนุนผู้ประสงค์กระทำคุณงามความดี ไม่ว่าบุคคลนั้นๆ จะเป็นคนชนิดใด เพศใด วัยใด ความรู้เพียงใด ให้เขาได้มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังทุนทรัพย์ พอจะประคับประคองชีวิตให้เพียงอยู่ได้โดยไม่ต้องหวังพึ่งปัจจัยสี่จากผู้คนมิจฉาทิฏฐิ ถ้าเรามีกองทุนอุดหนุนกันดังนี้ อย่างที่บางลัทธิศาสนาเขา มีอยู่เราจะได้กำลังคนที่มาช่วยงานอีกมากมายนักหนา กองทัพธรรมะ กองทัพอันเกรียงไกรที่จะชักชวนผู้คนพลโลกให้ละทิ้งความชั่วสั่ง สมแต่กุศลกรรมความดีงาม ปฏิบัติธรรม ชำระจิตใจให้ผ่องใสะอาดปราศจากมลทินของกิเลส กำจัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ เลิกเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นงานใหญ่ของผู้มีใจใหญ่อย่างพวกเราหลายๆ คนที่กำลังกระทำอยู่จะทำงานได้สะดวกนัก
ข้าพเจ้าถามมาแล้วสำหรับชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตอบแล้ว ลงมือกระทำแล้ว กระทำอย่างเต็มที่เต็มความสามารถของตนเองแล้ว สำหรับท่านเล่า ตอบข้าพเจ้าหรือตอบคำถามนี้บ้างแล้วหรือยัง ชีวิตท่านสายเกินไปหรือเปล่าที่จะสร้างคุณความดีให้ตัวเอง ให้ผู้อื่น ให้สังคมหรือให้อะไรๆ ก็ตามที แท้ที่จริงก็คือสร้างเสบียงติดตัวนั่นเอง ลงมือกระทำกันเถิดถ้าท่านคิดว่า ยังไม่สายเกินไป
จากหนังสือ จากความทรงจำเล่ม1
อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล
*หมายเหตุ คนป่วยรายนี้รอดชีวิต และมารดาอนุญาตให้ทำ
กุศลกรรมทุกอย่างได้ตามใจชอบสมความปรารถนา