ดาวเด่น

วันที่ 03 มีค. พ.ศ.2563

ดาวเด่น


                   ที่จริงแล้ว ข้าพเจ้าก็เคย หลงรูป ความสวยความงามของผู้หญิงด้วยกัน เหมือนกัน ข้าพเจ้าจะเล่าให้ฟัง..
 

                   วันหนึ่ง เพื่อนที่ชื่อ สมพรมาบอกข้าพเจ้าว่า  "หวิน วันนี้เราจะไปที่ตึกโน้นหน่อยนะ ไปด้วยกันมั้ย" เค้ามีการซ้อมละครกัน ดาวประจำรุ่นเราเป็นนางเอกนะ เวลาเห็นกันเราจ้องดูไม่ค่อยถนัด วันนี้จะถือโอกาสทำเป็นไปดูละคร จะได้มองนางเอกได้เต็มตาไม่ต้องกลัวใครว่าไงล่ะ นายไม่อยากดูมั่งเหรอ"


"เออ ไปก็ได้ วันก่อนเราเดินผ่านพบเค้ากลางทาง ไม่กล้าจ้องเค้าเต็มตาอย่างว่าแหละ วันนี้เราถือโอกาสดูไปเลยนะ ดีเหมือนกัน ผู้หญิงอะไร วยจริงเชียว"
ข้าพเจ้าตอบเพื่อน พร้อมกับนึกถึงตัวแสดงที่เป็นนางเอกชื่อ


"คำนึง" เป็นนักเรียนหญิงที่สวยที่สุด ไม่ใช่เฉพาะในรุ่น แต่สวยที่สุดในโรงเรียน เธอเดินไปทางไหนจะมีแต่นักเรียนรุ่นพี่รุ่นน้องจ้องดูจนบาง  ครั้งข้าพเจ้าเห็นเธออาย ต้องเดินก้มหน้ามีกิริยาเก้อเขิน อาการดังกล่าว
ยิ่งเพิ่มคะแนนนิยมว่าเป็นคนน่ารัก ถ่อมตัว


                      ข้าพเจ้ามองหน้าคำนึงครั้งใด ก็มองไม่ได้นาน เกรงจะเสียมารยาท และก็เสียเหลี่ยมตัวเองด้วย แต่ก็ยอมรับว่า คำนึงเป็นคนสวยมากจริงๆสวยเหมือนตุ๊กตาปั้นชนิดที่ช่างฝีมือปั้นจนสวยที่สุด หน้าตา
ของเธอหวานไปหมดทั้งใบหน้า

 

                     ละครที่เธอแสดงในครั้งนั้น ชื่อเรื่อง "ศกุนตลา" เธอแสดงเป็นนางเอกของเรื่อง ถ้อยคำในบทละครตอนชมโฉมของนางเอกว่า
 

"ดูผิวสินวลละอองอ่อน มะลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น
งามเนตรดั่งเนตรมฤคิน นางนี้เป็นปิ่นโลกา"


                       ช่างเป็นคำประพันธ์ที่เหมาะกับความงามของคำนึงจริงๆ การ  ดูละครที่เธอกำลังซ้อมอยู่ ทำให้ข้าพเจ้าเห็นคนงามเต็มตา เป็นการเห็นผู้หญิงที่งามที่สุดที่ตนเองเกิดมาแล้วได้เห็นเป็นครั้งแรก ทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นรูปหน้า ผิวพรรณ ตา คิ้ว จมูก ปาก คอ คาง รูปร่าง แขน ขา นิ้วมือ นิ้วเท้า เหนือคนธรรมดาอย่างเราๆ กระนั้นยังมีบางคนบ่นเล็กน้อยว่า  อะไรๆ ก็ไม่มีที่ติเลย แต่ท้วมไปนิดนึง ซึ่งข้าพเจ้ากลับเห็นว่า ร่างที่ดู
อวบของเธอ กลับทำให้อิ่มเอิบมีน้ำมีนวลยิ่งขึ้น

 

                     ในวันซ้อมละคร คำนึงไม่ได้แต่งตัวเป็นพิเศษอะไรเลยใบหน้าของเธอทาแป้งนวลธรรมดา ผิวเนื้อตรงส่วนอื่นที่โผล่พ้นเสื้อผ้าก็ไม่ได้ทาแป้งแต่งสีใดๆ ทั้งสิ้น ยังดูงามจับตาจับใจ พอถึงวันจริงเธอได้รับการตกแต่งด้วยสีสันต่างๆ ใส่เสื้อผ้าที่สวยงามเป็นประกายระยิบระยับ ใส่เครื่องประดับทั้งที่คอที่แขนที่ขา จึง สวยงามเกินคำพรรณนา

                      พวกเราเป็นนักเรียนหญิงด้วยกันยังพากันหลงใหลทั้งโรงเรียน การแสดงบางรอบ มีนักเรียนชายโรงเรียนอื่นมาชม ก็ยิ่งได้ยินเสียงออกปากพูดกันทั่วว่า นางเอกสวยเหลือเกิน ข้าพเจ้าคิดว่า พวกเขาคงไม่ชมแค่ปาก คงเอาไป  นั่งคิดนอนคิด ฝันถึงไปนานทีเดียว นี่ข้าพเจ้าคิดเปรียบเอาจากความรู้สึกของตนเองซึ่งก็มีอาการอย่างเดียวกัน และอาจจะซาบซึ้งตรึงใจกว่า  เพราะครั้งใดที่ข้าพเจ้าถือโอกาสเข้าไปช่วยคำนึงแต่งตัว เธอจะพูดคุยกับข้าพเจ้าด้วยกิริยาท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยทำให้ข้าพเจ้าสุขใจไปหลายๆ วัน

                                                                                                                                                                         จำนวนคนที่มีความรู้สึกและอาการอย่างข้าพเจ้าไม่ใช่มีอยู่เพียงคนสองคน ต้องเรียกว่ามีเป็นฝูง คือนับเป็นสิบ และเราก็มักจะไปออกัน อยู่หลังเวทีการแสดงเพื่อคอยชื่นชมนางเอกของเราเสมอ คำนึงจะยิ้มแย้ม
ให้พวกเราทุกคน ดูไปแล้วเหมือนเธอไม่ให้ความสนใจใครเป็นพิเศษ เธอทักทายพูดคุยเสมอๆ กัน ทำให้เป็นผลดีไปอย่างหนึ่งคือ พวกฝูงคนที่หลงรูปเธอเหล่านี้ไม่มีใครหึงหวงกัน โดยปกติข้าพเจ้าเป็นคนหยิ่งทะนงตนยิ่งนักมีมานะความถือตัวหลายๆ ประการไม่ชอบเห็นใครดีเด่นหรือดังกว่าตน  ตั้งแต่เรียนหนังสือเก่งทำให้กลายเป็นคนขี้อิจฉาไปโดยปริยาย

 

              แต่สำหรับ "นางเอก" ของโรงเรียนเราคนนี้ ข้าพเจ้ายอมแพ้ ความสวยงามของเธอ ซึ่งข้าพเจ้าชื่นชมหลงใหลตามคนอื่นไปด้วย วันใดที่เธอพูดด้วยก็ปลาบปลื้มใจไปทั้งวัน และคงไม่ใช่มองอย่างลำเอียง ข้าพเจ้า
รู้สึกว่าทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไปดูเธอ เธอจะพูดคุยด้วยพิเศษกว่าใคร

              เวลานั้นข้าพเจ้าไม่รู้จักคำสอนของพระบรมศาสดาของเราเกี่ยวกับเรื่องร่างกายคนเราเลย ถ้ารู้ถึงคำ สอนของพระองค์ คงจะห้ามใจตนเองได้บ้าง คำสอนนั้นมีว่า


"กายประกอบด้วยกระดูกและเอ็น ฉาบด้วยหนังและเนื้อ ปกปิดด้วยผิว เต็มด้วยไส้ อาหาร มีก้อนตับ มูตร หัวใจ ปอด ม้าม ไต น้ำมูก น้ำลาย เหงื่อ มันข้น เลือด ไขข้อ ดี เปลวมัน อันปุถุชนผู้เป็นพาล (คนโง่) ย่อมไม่เห็นตามเป็นจริง  อนึ่ง ของอันไม่สะอาดย่อมไหลออกจากช่องทั้งเก้าของกายนี้ ทุกเมื่อ คือขี้ตาจากตา ขี้หูจากหู และน้ำมูกจากจมูก บางคราวย่อมสำรอกออกจากปาก ดีและเสลดย่อมสำรอกออก เหงื่อและหนองฝีซึมออกจากกาย  อนึ่ง อวัยวะเบื้องสูงของกายนี้เป็นโพรง เต็มด้วยมันสมอง คนพาลถูกอวิชชาหุ้มห่อแล้ว ย่อมสำคัญกายนั้นโดยความเป็นของสวยงาม"


ยังมีถ้อยคำขยายความต่อมีเนื้อความว่า


"กายนั้นเมื่อตายลง ก็ถูกนำไปทิ้งไว้ในป่าช้า มีตัวขึ้นพองสีเขียว พวกญาติพี่น้องต่างไม่มีใครห่วงใยสัตว์ต่างๆ มีหมู่หนอน แร้ง กาสุนัข บ้านสุนัขจิ้งจอกสุนัขป่า และสัตว์อื่นพากันมากัดกิน"


                พระบรมศาสดาตรัสอนเหล่าพระภิกษุสงฆ์ต่อไปว่า ขอให้พระภิกษุทั้งหลายฟังคำสอนของพระองค์แล้ว กำหนดรู้จักกายนี้ตามความเป็นจริง ให้เห็นชัดแจ้งทีเดียวว่า ร่างกายที่มีชีวิตอยู่ก็เหมือนร่างที่ตายแล้ว ร่างที่ตายแล้วก็เหมือนกับร่างที่ยังมีชีวิต ไม่มีอะไรต่างกันให้หมด  ความพอใจในร่างกายเสีย ไม่ว่าร่างของตนเองหรือของคนอื่นไม่ว่าร่างภายนอก หรือภายใน ไม่มีความยินดีพอใจ มุ่งปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพาน  พ้นจากการตาย ให้คิดอยู่เสมอว่า กายนี้มีสองเท้า ไม่สะอาดมีกลิ่นเหม็นต้องได้รับ การดูแลรักษาอยู่เสมอ ในกายเต็มไปด้วยซากศพต่างๆ กายต้องถ่ายของสกปรกมีน้ำมูกน้ำลายและอื่นๆ ให้ไหลออกมาทางทวารทั้งเก้า เหงื่อไคลให้ไหลออกทางขุมขน คนที่ไม่เห็นความจริงในเรื่องนี้จะยึดถือความสำคัญ ของร่างกาย ยกย่องตนเองดูหมิ่นผู้อื่นดังนี้เป็นต้น

(นำมาจากวิชยสูตรที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับหลวง เล่ม ๒๕ หน้า ๓๓๑)


                 นี่เป็นเพราะเราพากันติดในสิ่งที่เราสมมุติขึ้นมา ทำให้ลืมความจริง เรารู้จักกลิ่นเหม็นและความสกปรกของร่างกายเราดีทุกคน เคยแคะขี้ฟันดม เคยได้กลิ่นน้ำมูก เหม็นกลิ่นเหงื่อไคล โดยเฉพาะที่รักแร้
อุจจาระ ปัสสาวะ ตลอดจนสิ่งโสโครกอื่นๆ ที่ไหลออกมาทางเดียวกัน

                  
                 เราก็รู้อยู่ว่าไม่สะอาด แต่พอเรา สมมุติกันว่าเอาสิ่งโน้นสิ่งนี้มาดับ เช่น ใช้ยาสีฟัน ยาบ้วนปาก ยาอมดับกลิ่นปาก ใช้สบู่ฟอกกายให้หายเหม็นใช้น้ำมันใส่ผมหรือ สเปรย์ฉีดดับกลิ่นรังแค ใช้น้ำยาดับกลิ่นตัว บางทีก็ใช้น้ำหอมชนิดต่างๆ ฯลฯ ของพวกนี้ทั้งที่รู้ว่าใช้ระงับได้เพียงชั่วคราว ไม่ทำให้หายขาด

                 เพราะของจริงๆ นั้นต้องสกปรกอยู่เสมอ แต่พอเราใช้ของชั่วคราวมาปกปิด เราก็มักลืมของจริง กลับไปหลงเชื่อของปลอม เช่น ทาแป้งที่ใบหน้าให้มีสีชมพู ทาลิปสติกที่ริมฝีปาก พอแต่งสีเสร็จแล้วเรากลับ
ยึดเอาว่าสีนั้นๆ เป็นสีของอวัยวะส่วนนั้นไปเสีย เลยยึดเป็นสวยไม่สวยตามสี นี่เรียกว่าเห็นเท็จเป็นจริง


                ในเวลาที่เล่าให้ฟังเมื่อเกือบ ๔๐ ปีโน้น ข้าพเจ้าตกอยู่ในลักษณะเห็นเท็จว่าเป็นจริงดังกล่าวเต็มที่ ไม่เคยได้ยินได้ฟังคำสอนของพระบรมศาสดาดังที่เล่าไว้นี้เลย จึงพลอยหลงใหลในความงามของเพื่อน แต่มา
คิดดูตอนนี้ ข้าพเจ้าคงจะพอมีบุญเก่าอยู่บ้าง จึงมีเหตุการณ์เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นพอให้ตั้งสติได้ทัน เมื่อมีสติมากขึ้น ปัญญาก็ตามมา ปัญญาทำให้รู้จักคิดในทางที่ถูก คือทำให้รู้ตามความเป็นจริงไม่ใช่รู้ตามเท็จ ข้าพเจ้าจึง
ถอนจิตใจเลิกรักเลิกหลงในนางเอกละครของโรงเรียนลงได้สิ้นเชิง คงรักและปรารถนาดีเหมือนที่รู้สึกต่อเพื่อนคนอื่นๆ ทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ

 

               เรื่องเกิดขึ้นในคืนวันหนึ่ง ก่อนเวลาละครจะเริ่มเล่น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณสองทุ่มเศษ เป็นฤดูหนาว อากาศหนาวจัด บังเอิญวันนั้น ดินฟ้าอากาศวิปริต มีฝนตกลงมาตั้งแต่เช้าเกือบตลอดวัน น้ำท่วมนอง
สูงจนถึงหัวเข่า และก็เอ่ออยู่อย่างนั้นทั้งวัน ไหลลงคลองไม่ได้เพราะเป็นเวลาน้ำทะเลหนุน น้ำจึงเต็มฝั่งตึกที่เราพักนอนอยู่ห่างจากหอประชุม ซึ่งเป็นโรงละครเกือบ ๗๐๐ เมตร เดือนมืด สนิท ไฟฟ้าตามทางเดินจาก

หอประชุมไปตึกนอนเสีย ตามทางจึงมืดน่ากลัว นักเรียนทุกคนออกจากตึกนอนมาที่โรงละครกันหมด มีนักเรียนโรงเรียนอื่นๆ มาชมด้วย ๒-๓ แห่ง
 

                 ข้าพเจ้ากับเพื่อนกลุ่มที่หลงใหลนางเอกละครคงไปอออยู่หลังเวทีอีกเช่นเคย  เหลือเวลาอีกไม่ถึง ๒๐ นาที จะเป็นเวลาละครลงโรงคือ ลงมือเล่น เสียงนางเอกของเราร้องอุทานด้วยความตกใจว่า  "ตายจริง! ทำยังไงดีล่ะ ชั้นลืมเครื่องประดับทั้งหมดไว้ในตู้เสื้อผ้าที่ตึกนอน"   สีหน้าของเธอซีดเผือด


                การแสดงละครโดยไม่มีเครื่องประดับเลยทั้งที่คอที่แขนขานั้น ท่านก็คงนึกภาพออก นางเอกจะสวยเต็มที่ไม่ได้เลยเป็นอันขาด ในเวลานั้นพวกเราไม่มีเวลาพอที่จะวิ่งตามหาภารโรงคนไหนมาช่วยเสียแล้ว
 

                คำนึงมองกวาดตามาทางพวกเราทุกคน แต่ละคนก็หน้าเสียตามเธอไปด้วย เสียงของเธอขณะที่พูดอ้อนวอนขึ้นสั่นสะท้าน  "มีใครช่วยชั้นได้มั่ง กุญแจห้องกับกุญแจตู้อยู่นี่ ใครวิ่งกลับไปเอาให้หน่อยเถอะ"


             เงียบกริบ ไม่มีใครรับคำหรือขันอาสา หลายคนถอยหลังเลี่ยงหลบตัวจากไป เสียงใครคนหนึ่งพูดพึมพำขึ้นว่า
 

" ไกลจะตายใครจะกล้าไป น้ำท่วมเลยเข่า มืดก็มืด ไฟฉายก็ไม่มี ไปไม่ได้ กลัวผี"


                 สีหน้าของนางเอกเหมือนกำลังจะเตรียมร้องไห้ นี่เป็นบทโศกในชีวิตจริงเสียแล้ว ไม่ใช่ชีวิตละคร เธอจะวิ่งกลับไปเอาเองก็ไม่ได้เด็ดขาด  เพราะชุดแต่งตัวยาวคลุมเท้า จะถอดออกก็ไม่ได้ เพราะใช้เข็มร้อยด้ายเย็บติดไว้หลายแห่ง ไม่ใช่รูดซิปอย่าง สมัยปัจจุบัน และผิวเนื้อที่ทาแป้งไว้จนทั่ว จะไปวิ่งลุยน้ำได้อย่างไรกัน กลับมาแต่งตัวใหม่อย่างไรๆ ก็ไม่ทัน


"ไม่มีใครจริงๆ รึเนี่ย ไม่มีใครเห็นใจชั้นสักคนจริงๆ"  เสียงเธอคร่ำครวญพร้อมกับหันจ้องสายตาที่มีน้ำตาเอ่อเต็มเบ้า เตรียมร้องไห้แน่นอนมาที่ข้าพเจ้าเหมือนกับจะตัดพ้อต่อว่า


"พวกเธอมาดูชั้นทุกวัน เอาอกเอาใจชมเชยยกย่อง ทำให้หลงดีใจว่าพวกเธอรักชั้น แต่เมื่อถึงคราวคับขัน ไม่มีใครยอมช่วยเหลือเลยยังงี้เรียกว่าไม่ได้รักกันจริงน่ะซี"  เห็นเธอหมดที่พึ่งดังนั้น ข้าพเจ้าจึงตัดใจแสดงตัวเป็นคนเก่ง  ยื่นมือออกไปพูดว่า


"เอ้า! เอากุญแจมานี่ ชั้นจะไปเอามาให้นะ คอยเดี๋ยว"  คนสวยยิ้มให้ทั้งน้ำตา ข้าพเจ้าถอยออกมาหันไปทางเพื่อนๆ พูดว่า


"ใครไปเป็นเพื่อนกะเราหน่อยซี" ทุกคนเดินหนีห่างไปพร้อมกับสั่นหน้า


                     ขณะที่เล่าให้ท่านฟังอยู่นี่ ข้าพเจ้านึกบรรยากาศคืนนั้นออก  เหมือนกำลังเกิดอยู่เฉพาะหน้า ทางเดินมืด สนิท เงียบและวังเวง มีน้ำท่วมเป็นระยะๆ แต่แรกไม่ลึกมาก เมื่อใกล้ตึกนอนเข้าไปจึงลึกเข้าทุกทีๆ ตึกนอนตั้งอยู่ตะคุ่มๆ เป็นระยะห่างๆ กันทั้ง ๙ ตึก มืดสนิทและเงียบ
 

                เพราะนักเรียนทุกคนออกจากตึกไปในงานกันจดหมดตั้งแต่ก่อนค่ำ เสียงแมลงตอนกลางคืนร้องระงมครวญคราง ลับกับเสียงอึ่งอ่างดังก้องอื้ออึง  เดินบ้างวิ่งบ้างลำพังคนเดียวในความมืดและเงียบอย่างนั้น ใจคอเต้นระทึกตูมตาม ไหนจะกลัวงูพิษซึ่งมีอยู่ชุกชุมจะว่ายน้ำมากัด ไหนจะกลัว ผีดุซึ่งมีประวัติเคยหลอกผู้คนไว้หลายครั้งเพราะเป็นวังโบราณ ใจคอจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


                  ที่คับขันที่สุดคือ อีกประมาณ ๒๐๐ เมตรจะถึงตึกนอนของเพื่อนคนสวย น้ำท่วมทางเดินเข้าตึกสูงเกือบถึงเอว ข้าพเจ้าถลกกระโปรงขึ้นไปพันไว้รอบเอวแล้วลุยน้ำ ความกลัวทำให้ใจเต้นแรง ไม่รู้สึกหนาว  ทั้งที่อากาศหนาวมาก น้ำก็เย็นเฉียบ ในความมืดมีเศษไม้ใบหญ้าลอยน้ำ มาปะทะขาอยู่บ่อยๆ ทำให้หวาดระแวงเรื่องสัตว์ร้ายจะกัดต่อย

 

                  ทันใดขณะที่ข้าพเจ้าใช้ท่อนขาออกแรงลุยน้ำอยู่นั้น มีเสียงดังซู่ซ่าตามข้างหลังราวกับมีใครสักคนหนึ่งลุยตามมาด้วย ข้าพเจ้าหันขวับกลับหลังไปดู  ว่างเปล่า! ไม่มีสิ่งใดในความมืด สลัวที่พอมองไปได้ไกลพอ สมควร(เพราะวิ่งมาหลายนาทีสายตาชักชินต่อความมืด) เมื่อหันหลังไปดู  เสียงลุยน้ำตามก็หายไป ครั้นพอลุยต่อก็มีเสียงลุยตามอีก ข้าพเจ้าจึงลองหยุดลุย  แต่ไม่หันหน้าไปมอง ก็ยังคงได้ยินเสียงลุยน้ำ


                 เวลานั้นในใจคิดทันทีว่า "ผีหลอก" รู้สึกหนาวยะเยือก ใจสั่น สะท้าน พลอยให้ตัวสั่นได้ทั้งตัว แข้งขาพากันแข็งเดินต่อไปไม่ออกอยากจะหวีดร้องแล้ววิ่งหนี แต่ก็ส่งเสียงไม่ออก ขาก็ก้าวต่อไปไม่ได้ยืนแช่น้ำ
นิ่งอยู่ครู่ใหญ่  ความสลดใจก็เกิดขึ้น นึกสังเวชตนเอง พูดตำหนิอยู่ในใจว่า


"โธ่เอ๋ย คนโง่เง่า หลงรักเขาจนยอมเป็นทาส ดูซี คนเป็นฝูง ไม่มีใครเขายอมลำบากเหมือนเราเลย ยอมเสี่ยงต่องูกัด ยอมเสี่ยงต่อผีหลอก เพียงเพื่อจะเอาใจคนที่ตัวชอบเท่านั้น นี่ถ้าต้องมาเป็นอะไรตอนนี้ ถูกงูกัดตาย หรือผีหลอกจนเป็นบ้า มันคุ้มกันแล้วหรือ พ่อแม่เลี้ยงมาแทบตาย เคยเสียสละให้ท่านสักแค่ไหนกัน ต้องมาตายเพราะความสวยบ้าๆ นี่"


เมื่อนึกสมเพชตนเองดังนี้ ความหลงรักในร่างอันงดงามของเพื่อนก็มลายหายสิ้นจากใจไม่มีเหลือ ฝืนควบคุม สติของตนเองตั้งใจขึ้นมาใหม่ว่า


"ในการเสียสละมาเอาเครื่องประดับให้เพื่อนในครั้งนี้ ขอให้ถือว่า ข้าพเจ้าช่วยเหลืองานของโรงเรียน เพราะโรงเรียนจัดแสดงละครเพื่อเก็บค่าเข้าชมจากผู้ดู นำรายได้นั้นมาบำรุงกิจการต่างๆ ของโรงเรียน วันนี้
ถ้าไม่มีเครื่องประดับ นางเอกของเรื่องคงออกแสดงไม่ได้แน่นอน  ข้าพเจ้าช่วยเพื่อนครั้งนี้ ขอให้เป็นการช่วยงานโรงเรียน คงจะพอเป็นความดีบ้างกระมัง ให้ความดีนี้ปกป้อง ไม่ให้เกิดความกลัวแม้แต่ภูตผีปีศาจ"


ข้าพเจ้านึกได้อย่างนี้ขึ้นมาเอง โดยไม่รู้ว่านั่นคือการทำบุญทางใจ เป็นกุศลจิต ถือเอาการช่วยงานเพื่อนเป็นการช่วยงานโรงเรียนเป็นเวยยาวัจจมัยกุศล เมื่อเกิดบุญขึ้นแล้ว ก็นึกเรียกเอามาช่วยตนเองยามคับขัน บุญก็เข้าเป็นเพื่อนช่วยคุ้มครองได้ทัน ข้าพเจ้าเกิดมีพลังใจเข้มแข็งขึ้นทันที ไม่กลัวไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร


พอคิดไม่กลัวเท่านั้น แข้งขาก็ยอมทำงาน ออกเดินลุยน้ำต่อจนถึงบันไดตึก ขณะที่กำลังยืน สลัดแข้งขาให้น้ำหล่นอยู่สิ่งหนึ่งก็เดินผ่านเฉียดข้าพเจ้าไป มันเป็นสุนัขสีดำ สนิท ดวงตาลุกโพลงสีแดงข้าพเจ้ารู้ว่า ไม่ใช่สุนัขจริง ต้องเป็นสุนัขผีแน่ๆ เพราะตัวของมันโตมากความสูงเกือบเท่าเอวข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่เป็นสุนัขพันธุ์ไทยขนเกรียน ถ้าเป็นสุนัขพันธุ์ฝรั่งตัวโตเท่าที่เห็นจะเป็นเรื่องธรรมดา ในโรงเรียนแห่งนั้นไม่มีครูอาจารย์
คนไหนเลี้ยงสุนัขตัวโตเท่านี้ พอมันเดินเลี้ยวมุมตึก ข้าพเจ้าก็ได้ สติวิ่งตามไปดูทันที มุมตึกกับที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ห่างกันเพียง ๓-๔ ก้าว เมื่อมันเลี้ยวไปแล้ว มีทางเดินรอบตึกอีกยาวเป็นร้อยเมตร อย่างไรก็จะต้องพอมองเห็นมันเดินต่อ ข้าพเจ้ากลับเห็นแต่ความว่างเปล่าไม่มีเสียงเดิน วิ่ง หรือลุย
น้ำแต่อย่างใดทั้งสิ้น มีแต่ความมืดและเงียบ สนิทจริงๆ

 


ในใจร้องลั่นขึ้นทันทีอีกว่า "ผีหลอก ผีหลอก โอ๊ย ผีหลอก!"  พอนึกได้ว่าถูกผีหลอกอีกเท่านั้นเอง มีความรู้สึกว่าตัวเย็นวาบชาไปหมดทั้งตัวอีก ยืนนิ่งเหมือนแท่งหินอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนขนตามตัวจะลุกตั้งได้เองโดยอัตโนมัติ รวมทั้งเส้นผมก็ตึงไปหมดทั้งศีรษะ  เวลานั้นข้าพเจ้าไม่มีที่พึ่งจริงๆ คาถากันผีใดๆ ก็ไม่เคยท่องบ่น
ไว้ พระห้อยคอก็ไม่มี คงเก็บไว้ที่ตู้เสื้อผ้าของตนเอง ข้าพเจ้านึกบทสวดมนต์ได้บทเดียวคือ นะโมตัสะ ฯลฯ และก็ไม่รู้ความหมายของถ้อยคำเหล่านี้เลยแม้แต่นิดเดียวว่า แปลว่าอะไร

 

หมดหนทางเข้าก็ต้องงัดขึ้นมาท่อง  ช่างเจ้ากรรมเจ้าเวรเสียจริง ท่องออกเสียงไม่ได้ปากเกิดหนักอ้าไม่ขึ้น
จึงท่องในใจ ขึ้นต้นว่า นะโมตัสะ วรรคต่อไปก็นึกอะไรไม่ออก กลัวจนลืมหมด  ความรู้สึกบอกตนเองว่า ต้องท่องให้ได้ มิฉะนั้นตายแน่เดี๋ยวผีมันกลับมาหลอกอีก การคิดจะจำบทสวดมนต์ให้ได้ ทำให้มีสติขึ้นลืมเรื่องผี
ไปชั่วขณะ ตั้งนะโมใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า นะโมตัสะอยู่หลายครั้งเต็มที่  จึงจะหลุดไปถึง ภะคะวะโต อะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสะ คิดเสียเหนื่อย


พอความจำทะลุปรุโปร่งได้ ข้าพเจ้าก็นึกท่องเสียถี่ยิบทีเดียว ท่องไม่ยอมเลิก  ครู่ใหญ่ร่างกายจึงค่อยขยับเขยื้อนได้ นี่ถ้าข้าพเจ้าทราบคำแปลคาถาบทนี้ว่า


"ข้าพเจ้าขอน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเล ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง..."

 

คงจะอบอุ่นใจยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณว่า ตนเองได้ระลึกถึงพระพุทธองค์มาเป็นที่พึ่ง   พอร่างกายขยับได้ สติก็คืนมาเป็นปกติ จึงเริ่มสั่ง สอนตนเองต่อไป

"ความกลัวผีนี่เกิดจากอะไร" สติถาม


"เกิดจากการได้เห็นรูปที่น่ากลัว" ใจเป็นผู้ตอบ


"รูปหมานี่น่ากลัวแค่ไหน มันเห่าเจ้าหรือ มันกัดเจ้าหรือ" ถามต่อ


"เปล่า มันแค่เดินผ่านเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำอันตรายอะไรเลย ตอนนี้ก็ไม่เห็นแล้ว" ตอบ


"ตอนเห็นนั่น รู้สึกกลัว ตอนนี้เลิกเห็นแล้ว ก็ต้องเลิกกลัวซี" สติให้คำสอนที่เป็นปัญญา


"ถูกแล้ว น่าจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เลิกเห็นแล้ว ควรต้องเลิกกลัว แต่ถ้าเค้ามาให้เห็นอีก จะกลัวต่ออีกได้มั้ย" ใจถามต่อ แสดงความคิดโง่ๆ ออกมา สติต้องดุออกมาว่า


"ความกลัวมัน สนุกดีหรือ ใจก็เต้นถี่ยิบแทบจะหยุด แทบจะขาดใจ ตัวก็แข็งทื่อ ปากก็อ้าไม่ออก เหมือนจะตายอยู่ตรงนี้ เอาหรือชอบหรืออย่างนี้น่ะ"


"โอยไม่ชอบเลย ไม่ชอบอาการอย่างนี้เลย"


"เมื่อไม่ชอบก็ไม่ต้องทำเป็นกลัวอีก รู้มั้ย" เสียง สติคุกคามใจเป็นการใหญ่


"จ้ะ จ้ะ จะมาให้เห็นอีกรึไม่มา ต่อไปนี้ไม่กลัวแล้วจ้ะ" ใจที่เริ่มมีปัญญาให้คำตอบ


พอหายกลัว ใจก็คิดถึงผีในแง่ดีขึ้นมาได้


"โถ..ผีเห็นชั้นมาคนเดียวรึไง เลยสงสาร อุตส่าห์ลุยน้ำตามมาเป็นเพื่อน เอาละ..ขอบใจนะ..ขากลับไม่ต้องลุยน้ำตามไปส่งอีกล่ะพอแล้วจ้ะ"


คิดได้ โดยไม่มีความรู้มาก่อนว่า การมองอะไรๆ ในทางดีนั้น  ทำให้จิตมีพลังพิเศษเกิดขึ้น ความจริงในเวลานั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักว่า สติ กับ จิต หรือ ใจ โต้ตอบกันอยู่ รู้แต่เพียงว่า เหมือนมีคนสองคนโต้เถียงกันอยู่ภายในตัวเอง..


สั่งสอนตนเองด้วยถ้อยคำต่างๆ อยู่นานเป็นครู่ใหญ่ ข่มความกลัวได้แล้วจึงเดินขึ้นบันไดตึก เปิดไฟฟ้าให้ ว่างขึ้น ไขกุญแจห้อง กุญแจตู้หยิบของที่ต้องการออกมา  เวลาจะกลับข้าพเจ้ายืนชั่งใจอยู่อีกครู่


"เอ เราจะเปิดไฟทิ้งไว้ หรือจะปิดดีนะ ถ้าเปิด ก็จะผิดระเบียบ  คนยามมาเห็นเข้าจะนำไปฟ้องอาจารย์ผู้ปกครอง เดี๋ยวสอบสวนกันขึ้นมาก็เป็นเรื่องยุ่งอีก ควรต้องปิด แต่ถ้าปิดก็ต้องเดินลุยน้ำกลับมืดๆ อย่างเมื่อกี้"


ท้ายที่สุดข้าพเจ้าตัดสินใจปิดไฟ เดินกลับมืดๆ แรกๆ ความกลัวสุนัขผีวิ่งเข้ามาจับใจอีก แต่เมื่อคิดว่าเขาไม่ได้ทำอะไร นอกจากลุยน้ำเป็นเพื่อน ไม่เห็นน่ากลัว ก็หักใจได้ กลับมาถึงโรงละคร จวนถึงฉากที่นางเอก  จะต้องออกปรากฏตัวเต็มที ทุกคนยืนรอข้าพเจ้าอย่างกระวนกระวาย เมื่อข้าพเจ้ายื่นให้ ได้ยินเสียงขอบคุณละล่ำละลักและรอยยิ้มแย้มแสดงความดีใจเต็มที่


แต่ใจของข้าพเจ้าเวลานั้นเฉยชา ไม่ชื่นใจต่อรอยยิ้มและเสียงขอบคุณ รวมทั้งเสียงชมเชยจากหมู่เพื่อนที่พูดว่า ข้าพเจ้าเป็นคนเก่ง  กล้าหาญชาญชัย ฝ่าความมืดไปได้ไม่กลัวผี ข้าพเจ้าเฝ้าสำนึกแต่เรื่องสงสารตนเองเต็มหัวใจ


"ไม่น่าโง่รักคนสวยเลยเรา ไม่มีประโยชน์อะไรสักนิด นอกจากความทุกข์ ที่แม้จะเล่าให้ใครฟัง ก็คงไม่มีใครเชื่อ ถึงแม้เชื่อเขาก็ไม่รู้ซึ้งถึงความรู้สึกหวาดกลัวสุดขีดที่เราพบจริงๆ นั่นหรอก เล่าไปก็ไม่ได้รับความเห็นใจจากใคร คงจะมีแต่คนสมเพชและสมน้ำหน้าเอาเท่านั้น ยิ่งสำหรับนางเอกคนสวยด้วยแล้ว เรายิ่งปริปากบอกให้รู้ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเขาจะหมดความชื่นชมในความเก่งกล้าเสียสละของเรา แล้วความทุกข์สาหัสที่เราพบมาเราต้องทนเก็บไว้คนเดียวยังงั้นหรือ ต่อไป  จะพบกับเรื่องทำนองนี้อีกมั้ยเนี่ย พบแล้วไม่มีใครเห็นแม้แต่คนที่เราหลงใหลก็ไม่รู้คุณค่า เราจะนั่งบ้าอยู่เพื่อประโยชน์อะไรกัน โธ่เอ๊ย เลิกบ้าซะทีเถอะ..คำนึง ต่อไปนี้ฉันขอเลิกหลงรักรูปโฉมของเธอแล้ว"


นับแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าไม่เคยไปเฝ้าดูเธออีก เห็นหน้ากันครั้งใดคงทักทายตามปกติของความเป็นเพื่อน  ความรักแบบโง่ๆ โบยบินจากใจไปอย่างไม่เหลือเชื่อ คงมีเหลืออยู่แต่ความปรารถนาดีเท่านั้น

 

ชื่อเรื่องเดิม เพื่อนคนสวย

Cr.อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล

จากความทรงจำ เล่ม๓

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.027606066068014 Mins