กฎการเดินทางของเวลา เกินกว่า 24 ชั่วโมง

วันที่ 11 เมย. พ.ศ.2563

กฎการเดินทางของเวลา เกินกว่า 24 ชั่วโมง


                   ก่อนที่เราจะเรียนรู้เรื่องการใช้เวลาให้เป็น เรามาทำความเข้าใจเรื่องของ "เวลา" ทั้งทางโลกและทางธรรมในแบบเจาะลึกกันก่อน หลายท่านคงเคยชมภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการย้อนเวลาหาอดีต อย่างภาพยนตร์ที่โด่งดัง ในอดีตเรื่อง "Back to the Future (1985)" แล้วในทางพระพุทธศาสนา เราสามารถเดินทางย้อนกลับไปในอดีต หรือเดินทางไปสู่อนาคตได้หรือไม่


"ย้อนอดีต" ในทางพระพุทธศาสนา


                   ในทางพระพุทธศาสนาสามารถไปในภพอดีตและอนาคตได้ แต่ไปคนละวิธีกับทางวิทยาศาสตร์ ในทางวิทยาศาสตร์นั้น พยายามเดินทางข้ามเวลาไปด้วย "วัตถุ" แต่ในทางพระพุทธศาสนานั้นไปด้วย "จิตใจ"


                    ทางพระพุทธศาสนา การย้อนไปดูอดีตชาติตนเอง เรียกว่า "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" คือ มีญาณหยั่งรู้การไปเกิดมาเกิดของตนเองในอดีต บางคนสามารถระลึกไปได้ร้อยชาติล้านชาติก็มี ยกตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถระลึกชาติได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด


                    การระลึกชาติเพื่อดูการไปเกิดมาเกิดของบุคคลทั้งหลาย หรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย เรียกว่า "จุตูปปาตญาณ" พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมในวันวิสาขบูชา ยามต้นพระองค์ทรงบรรลุ "บุพเพนิวาสานุสสติญาณ" คือ ระลึกชาติตนเอง ยามสองพระองค์ทรงระลึกชาติของสัตว์อื่น เรียกว่า "จุตูปปาตญาณ" ไม่มีที่สิ้นสุด


                    การระลึกชาติไม่ต้องใช้เวลานาน ก็สามารถระลึกชาติไปล้านชาติได้โดยไม่ต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ แต่ใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น  เพราะธรรมะเป็นเรื่องของ "อกาลิโก" คือ "ไม่ถูกจำกัดด้วยกาล"

                   เปรียบว่า เราจะดาวน์โหลดข้อมูลหนังสือเป็นพันหน้าลงคอมพิวเตอร์ เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงแค่วินาทีเดียวก็เสร็จ   พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงระลึกชาติเป็นร้อยล้านชาติโดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีได้นั่นเอง


                   อดีต คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว การระลึกชาติ คือ การไประลึกดูสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิด อนาคตไม่ได้เกิดขึ้นสำเร็จรูปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เราไม่สามารถจะเดินทางไปดักในอนาคต แล้วล่วงรู้ทั้งหมดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่สามารถบอกอนาคตได้เป็นกรณีไป เช่น พระบรมโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีไว้มากจนบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว จะได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า บุคคลผู้นี้จะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อใด เป็นต้น


                    กรณีนี้เป็นความดีที่สั่งสมไว้ยาวนานจนกระทั่งผังชีวิตแน่นอนแล้ว เปรียบเสมือนเราจะซื้อบ้านหลังหนึ่งใช้งบประมาณ 1 ล้านบาท  เราออมเงินไว้ได้ 999,999 บาทแล้ว จึงกล่าวได้ว่า เราจะซื้อบ้านหลังนี้ได้สำเร็จอย่างแน่นอนเพราะขาดอีกเพียงบาทเดียวเท่านั้น


                    แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่า คนนี้อีก 10 ชาติจะเป็นอย่างไร เพราะขึ้นอยู่กับว่า เขาทำอะไรต่อไป ถ้าเขาทำดี ก็จะได้ดี ถ้าเขาทำบาป ก็จะตกนรก ขึ้นอยู่กับตนเองว่าจะทำสิ่งที่เป็นบุญกุศลหรือ เป็นบาปอกุศล นี่คือเรื่องของอนาคต


                   นิยายวิทยาศาสตร์ที่เราเคยดูกัน บางตอนตัวละครสามารถย้อนเวลาไปอยู่ในอดีตได้ เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นขณะนั้นแล้วตัวละครก็ลงมือแก้ไขอดีตให้ส่งผลไปเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน แต่ในโลกหน้า ความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น


                  "อดีต คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว" การระลึกชาติ คือการไปดูว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่นำตนเองย้อนไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ แล้วเริ่มดำเนินการใหม่โดยไปเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นและสำเร็จบริบูรณ์ไปแล้ว เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ดังนั้น "การระลึกชาติ คือ การไปรู้ไปเห็นสิ่งเหล่านี้เท่านั้น"


การระลึกย้อนไปรู้ไปเห็นในแบบ “ไอน์สไตน์"

                   ถ้าถามว่า แล้วเราย้อนอดีตไปรู้ไปเห็นได้อย่างไร ในทางวิทยาศาสตร์มีการกล่าวถึงเรื่องของ "Time Machine" การระลึกย้อนแล้วนำตนเองไปในอดีตได้เริ่มต้นจาก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) โดยเขาสร้างทฤษฎีสัมพันธภาพขึ้นมา พบว่าในเชิงทฤษฎีมีรูหนอนของกาลเวลาอยู่


                   ปกติเราจะรู้สึกว่า เวลาดำเนินไปเป็นเส้นตรง ไม่ว่าจะเป็น 1 ปีที่แล้ว 3 เดือนที่แล้ว หรือเมื่อวานนี้ เวลาจะค่อย ๆ เคลื่อนไปเป็นเส้นตรง ย้อนไปไม่ได้ แต่จากทฤษฎีสัมพันธภาพพบว่า ทั้งเวลามวลสาร และแรงโน้มถ่วง ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันหมด เราไม่ได้เคลื่อนเป็นเส้นตรง แม้แต่แสงก็ถูกแรงดึงดูดของมวลสารดึงดูดให้เป็นเส้นโค้งได้


                    เพราะฉะนั้น อาจจะกลับกลายเป็นว่า มิติของกาลเวลาและอวกาศนั้นสัมพันธ์กัน เวลากับสถานที่มีความสัมพันธ์กัน ทฤษฎีนี้ทลายกรอบความคุ้นเคยเดิม ๆ ของมนุษย์ ที่คุ้นกับเรื่องของ 3 มิติ คือ มีความกว้าง ความยาว และความสูง เช่น ถ้าเราอยู่ในห้องก็จะบอกได้ว่า ห้องนี้กว้าง ยาว และสูงเท่าไร เรียกว่า “3 มิติ"


                   ยกตัวอย่าง ถ้าเราจะซื้อที่ดิน ก็ต้องวัดความกว้างและความยาวว่ามีพื้นที่ดินกี่ตารางเมตร หรือกี่ไร่ อย่างนี้เรียกว่า “2 มิติ" แต่ถ้าเราจะขุดดินสร้างสระขนาดความกว้าง 30 ไร่ ลึก 5 เมตร  เราจะคำนวณว่าต้องใช้งบประมาณในการขุดสระนี้เท่าไร เราก็ต้องคูณมิติของความลึกเข้าไปด้วย พื้นที่ขนาด 30 ไร่ เป็น 2 มิติ พอมีความลึกก็กลายเป็น 3 มิติ เป็นต้น อย่างนี้คือรูปแบบของ 2 มิติ และ 3 มิติ ในแบบที่คนทั่วไปคุ้นเคย


                  ในทางวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตน์นำเราไปสู่มิติที่ 4 คือ เรื่องของเวลา เพราะทุกอย่างต้องมีเวลามาเกี่ยวข้อง กาลและอวกาศสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด พอรู้ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง ก็มีโอกาสจะมาเจอกันที่เก่า แล้วมีจุดรูหนอนของกาลเวลาเชื่อมกัน ถ้าทะลุตรงนี้ลงไปได้ เราก็น่าจะย้อนเวลาไปในอดีตได้นั่นเอง


                 การย้อนอดีตแบบไอน์สไตน์นั้น ไม่ใช่การขึ้นขี่ยานอวกาศแล้ววิ่งแข่งกับเวลาด้วยความเร็วเหนือแสง แต่เป็นลักษณะของการทะลุไปที่รูหนอนของกาลเวลา แต่ในเชิงของความจริง "ยังไม่เคยมีใครพบปรากฏการณ์การทะลุรูหนอนกาลเวลาได้จริง"


                  เราพบว่า หากจะย้อนเวลาไปได้ต้องใช้อนุภาคที่เล็กมาก เช่น "โฟตอน" (Photon) หรืออนุภาคของแสง เพราะรูหนอนกาลเวลาไม่เสถียร ถ้ามนุษย์เข้าไปจริง ๆ อาจจะถูกย่อยสลายไปก่อนได้ แต่ถ้าเป็นอนุภาคเล็ก ก็จะมีโอกาสรอดผ่านไปได้


                   ซึ่งในทางทฤษฎี "แค่มีโอกาสเท่านั้น" ความจริงยังไม่สามารถหาวิธีการทำให้รูหนอนของกาลเวลาเสถียร จนสามารถส่งสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ให้ทะลุผ่านไปได้ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นแค่ทฤษฎี จึงมีเพียงการนำมาสร้างภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ต่าง ๆ มากมายในปัจจุบันเท่านั้น


นึกถึงพระอาทิตย์ ก็ไปถึงพระอาทิตย์ได้ทันที

                  ทางด้านพุทธศาสตร์ เราระลึกชาติได้โดยไม่ต้องใช้รูหนอนกาลเวลา แต่ใช้จิตของมนุษย์ "นึกถึงพระอาทิตย์ ก็ไปถึงพระอาทิตย์ได้ทันที" แต่จิตที่จะไปถึงได้จริงต้องเป็นจิตที่เป็นสมาธิ ตั้งมั่นจนกระทั่งเกิดญาณทัศนะ ซึ่งในกระบวนการทำงานของจิตมีความละเอียดอ่อนมาก โดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะถูกเก็บไว้ในดวงจิตนั่นเอง


                  ดวงจิตไม่ได้ย้อนเวลาด้วยการอาศัยยานอวกาศวิ่งไปอย่างรวดเร็วเหนือแสงร้อยเท่าพันเท่า แต่เรื่องของดวงจิตเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ คือ ถ้าเป็นของหยาบที่เราคุ้นเคย "ของใหญ่จะอยู่ข้างนอก ของเล็กอยู่ข้างใน" เช่น ตัวเราจะอยู่ในห้องได้ เราต้องเล็กกว่าห้อง เราจึงเข้ามาในห้องได้ "ข้างในเล็ก ข้างนอกใหญ่" แต่ถ้าเป็นเรื่องของดวงจิตซึ่งเป็นของละเอียด ยิ่งเข้าไปข้างใน จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ "ของใหญ่อยู่ในของเล็ก"
แปลกไหม..

  
                 ในครั้งพุทธกาลมีพระภิกษุรูปหนึ่งเกิดความสงสัยจึงกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "พระพุทธเจ้าค่ะ กายของพระองค์ไม่ได้เล็กลง เมล็ดพันธุ์ผักกาดก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้น แล้วทำไมพระองค์ถึงสามารถเดินจงกรมอยู่ในเมล็ดพันธุ์ผักกาดได้ "


                   พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ว่า ถ้ายังปฏิบัติไม่เข้าถึง ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็เข้าใจได้ยาก จึงมอบกระจกบานหนึ่งให้แก่พระภิกษุรูปนั้นนำไปส่องพระสถูปเจดีย์ พอพระภิกษุรับกระจกบานนั้น แล้วนำไปส่องก็เห็นพระสถูปเจดีย์ทั้งองค์ปรากฏอยู่ในกระจก


                   กระจกไม่ได้มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่พระสถูปเจดีย์องค์ใหญ่ไป ปรากฏอยู่ในกระจกบานเล็ก ๆ นั้นได้ ถามว่า "พระสถูปเจดีย์นั้นเล็กลงหรือไม่" ตอบว่า "ไม่ได้เล็กลงเลย"


                   ถ้าเรานำกระจกไปส่องมุมดี ๆ ภูเขาใหญ่ ๆ ทั้งลูกก็เห็นอยู่ในกระจกได้ ภูเขาไม่ได้เล็กลง กระจกก็ไม่ใหญ่ขึ้น ทำไมภูเขาลูกใหญ่โตถึงไปอยู่ในกระจกบานเล็ก ๆ ได้ มันเป็นอย่างนั้นเอง


                 สำหรับของละเอียดนั้น ยกตัวอย่าง หากเราอยากจะไปดูให้รู้ว่า ในขณะนี้ดาวดวงอื่นที่ห่างจากโลกไปล้านปีแสงเป็นอย่างไรบ้าง   เราจะสามารถเดินทางไปดาวดวงนั้นได้ด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เดินทางไปโดยไม่ต้องใช้ดวงจิตวิ่งไปข้างนอกเลย แต่ใช้การเอาใจหยุดนิ่งเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย ดิ่งเข้าไปภายในศูนย์กลางกายเล็ก ๆ เท่ากับปลายเข็ม พอใจจรดนิ่งเข้าไปตรงกลางจะพบว่า   ศูนย์กลางกายเดิมที่เล็กเท่ากับปลายเข็ม มันขยายใหญ่ขึ้นเหมือนกับมีกล้องขยาย


                    สมมุติว่า จุดเล็ก ๆ ขนาดราว 1 มิลลิเมตร ที่ศูนย์กลางกาย พอเอาใจจรดนิ่งแตะที่ศูนย์กลางของจุดนั้น จุดนั้นก็จะขยายวูบขึ้นมา จนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 วา พอเอาใจจรดไปที่จุดเล็ก ๆ ที่ศูนย์กลาง
ของดวงนั้นอีก ก็ขยายวูบขึ้นมาอีก เชื่อหรือไม่ว่า เราสามารถดำเนินจิตเข้าไปในกลางของกลางอย่างนี้ได้ไม่มีที่สิ้นสุดเลย


                      เราสามารถเดินทางเข้าไปในจุดเล็ก ๆ ไปถึงจุดที่ละเอียดแบบไม่สิ้นสุด ยิ่งเข้ากลางไปเท่าไร ถึงจุดที่เล็กมากเท่าไร จะปรากฏว่าใจเราจะขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับ คลุมไปทั้งโลก คลุมไปทั้งกาแล็กซี คลุมไปทั้งเอกภพนับไม่ถ้วน อยู่ในศูนย์กลางกายที่เล็ก ๆ นั่นแหละ  แต่ขยายคลุมทั้งหมด “ของเล็กคลุมของใหญ่“


                     เพราะฉะนั้น เวลาเราต้องการจะไปดูอะไรให้ดูในตัว ดูตรงศูนย์กลางกายนี้เอง ไม่ได้วิ่งไปดูนอกตัวเลย ถ้าจะไปดูดาวดวงอื่น ก็ดูจรดเข้าไปตรงกลาง จะไปดูอดีตชาติ ก็จรดไปตรงกลาง เรียกว่า เห็นได้หมดเดี๋ยวนั้นเลย นี่คือความมหัศจรรย์ทางจิตที่ว่า  "จิตมนุษย์ลึกล้ำนัก"


ถ้าเป็นของหยาบที่เราคุ้นเคย
"ของใหญ่อยู่ข้างนอก ของเล็กอยู่บ้างใน"


แต่ถ้าเป็นเรื่องของดวงจิตซึ่งเป็นของละเอียด
"ของใหญ่อยู่ใน ของเล็กอยู่นอก"

 

 

จากหนังสือ  24ชม.ที่ฉันหายใจ

โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑโฒ)

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.012651101748149 Mins