ภรรยาน้อยสำนึกบาป

วันที่ 27 เมย. พ.ศ.2563

ภรรยาน้อยสำนึกบาป

                รายนี้ตรงข้ามกับรายที่แล้ว ข้าพเจ้าจำเธอได้ดี ในปี ๒๕๑๖ เธออายุ ๒๐ ปีเศษๆส่วนข้าพเจ้ารับราชการเป็นหัวหน้าสถานศึกษาแห่งหนึ่งอยู่ สตรีสาวน้อยนั้นบอกว่า เธอได้อ่านหนังสือ "เดินไปสู่ความสุข" (เล่มแรก) ที่วัดพระธรรมกายพิมพ์แจก ในหนังสือนั้นมีเรื่องที่เด็กๆ ซึ่งปฏิบัติธรรมได้ผล เล่าเรื่อง สวรรค์ นรก ที่พวกเขาได้ไปเห็นมาทางสมาธิเอาไว้ เธออ่านแล้วรู้สึกกลัวตกนรกขึ้นมาเป็นกำลัง เพราะเธอ ประพฤติผิดศีลข้อ ๓ เต็มใจเป็นภรรยาน้อยของพ่อค้าหนุ่มชาวจีนผู้หนึ่ง


                 เคยภาคภูมิใจว่าแย่งสามีมาจากภรรยาหลวงได้สำเร็จ แอบได้เสียกันจนมีลูกคนที่ ๓ ภรรยาหลวงจึงทราบเรื่องและเข้าควบคุมการเงินโดยสิ้นเชิง  สามีไม่มีหนทางยักยอกออกมาให้เธอใช้ได้สะดวกเหมือนเดิม เธอกล่าวว่า


"ตอนนี้หนูกับลูกๆ แทบจะอดตายเลยค่ะพี่"


"อ้าว ทำไมล่ะสามีเค้าเบื่อแล้วเหรอ"


                ข้าพเจ้าถามพร้อมกับนึกในใจว่า เธอผู้นี้มาผิดที่ ข้าพเจ้าไม่ใช่กรมประชาสงเคราะห์นี่ ขืนมาขอให้เลี้ยงเธอกับลูกอีก ๓ คน ข้าพเจ้าคงต้องตายแน่ เพราะเวลานั้นสามีของข้าพเจ้าก็ทิ้งข้าพเจ้ากับลูก ๓ คน ออกจากบ้านไปมีผู้หญิงอื่นเหมือนกัน ด้วยความโกรธเคืองที่ข้าพเจ้าช่วยงานศาสนา แถมยังไม่ดูดำดูดีลูกๆ เจตนาแกล้งให้ลำบากจะได้ง้องอนให้เขากลับ


"เค้าไม่เบื่อหรอกค่ะ ตอนนี้ภรรยาหลวงเค้าจับได้ว่าแอบมามีหนูมีลูกใหม่ ภรรยาเค้าเลยควบคุมเรื่องการเงินหมดทุกอย่าง หนูแทบไม่มี
กินมีใช้ จะส่งตู้เย็นเดือนนี้ยังไม่มีให้เค้าเลย ขาดส่งหลายเดือนบริษัทคงมาเอาคืนแน่ๆ"


"หนูไม่เคยทำงานอาชีพอะไรมาก่อนเลยรึคะ ก่อนที่จะมาอยู่กะบ้านเฉยๆ เลี้ยงลูกยังงี้น่ะ"


"หนูเคยรับราชการเป็นครูค่ะ พอมีเรื่องส่วนตัวเกิดท้องขึ้นมา จดทะเบียนสมรสไม่ได้ เป็นเรื่องผิดวินัย หนูก็จำเป็นต้องลาออกจาก
ราชการน่ะค่ะ"


                   ข้าพเจ้าถอนใจเฮือกอย่างสมเพชแกมหมั่นไส้ เป็นครูสอนคนอื่นได้ ทำไมไม่รู้จักสอนตัวเองซะบ้างก็ไม่รู้ มาจนหนทาง พลอยให้เราต้องมารับฟังความกลุ้มไปด้วย  เธอระบายให้ข้าพเจ้าเห็นใจพร้อมทั้งคาดคั้นเอาคำตอบ


"หนูจะทำยังไงดี พี่ช่วยหนูหน่อยได้มั้ยคะ"


                    ช่างยกปัญหาให้แก้ง่ายเสียจริง ตนเองผูกเรื่องทำปัญหาให้เกิดขึ้นยุ่งยากนุงนังมากมายเข้าตาจน ยกให้คนอื่นแก้ได้ง่ายๆ ช่างไม่รู้บ้างเลยหรือว่า ทุกคนเขาก็มีปัญหาของตัวเขาเองทั้งนั้น


"หนูเคยไปขอขมา รับผิดอะไรกะภรรยาหลวงเค้ามั่งมั้ย เผื่อเค้าจะเห็นแก่เด็กๆ บ้าง" ข้าพเจ้าถามเธอไปอย่างนั้น เพราะนึกถึงเรื่องของตนเองขึ้นมา คิดว่าถ้าภรรยาน้อยมาขอโทษ ข้าพเจ้าก็จะให้ความรักความเห็นใจเขาเป็นอย่างดี แต่นั่นเหละมันก็เป็นเรื่องแปลก ช่างไม่มีภรรยาน้อยคนไหนทำอย่างที่ข้าพเจ้าอยากให้พวกเขาทำเลย ยกเว้นรายเดียวที่ข้าพเจ้าเล่าไว้ข้างต้นเรื่องนี้เท่านั้น ในชีวิตนี้พบรายเดียวจริงๆ


"หนูไม่กล้าไปพบภรรยาหลวงเค้าหรอกค่ะ หนูทำฤทธิ์กะเค้าไว้มาก"


"ทำอะไรเข้าล่ะค่ะ ไหนลองเล่าให้พี่ฟังหน่อยเถอะ"


"ตอนที่หนูเริ่มชอบกับแฟนหนู หนูไม่รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษอะไรเอาเลยค่ะพี่ หนูไม่รู้ว่าการไปแย่งสามีคนอื่นเค้าน่ะเป็นเรื่องผิดศีล
ข้อกาเมสุมิจฉาจาร หนูแย่งมาได้กลับภูมิใจเสียนักหนาว่าเป็นฝ่ายชนะ


                   หนูสาวกว่าสวยกว่า มีความรู้สูงกว่าสามีต้องรักต้องหลงหนูมากกว่า  หนูคิดยังงี้แหละค่ะ แล้วก็ทำทุกอย่างให้ฝ่ายภรรยาหลวงเจ็บช้ำน้ำใจ  หนูขอให้สามีพาหนูไปฮันนีมูนที่ชายทะเล เราสนุกและมีความสุขกันอย่างผัวหนุ่ม เมียสาว กลับจากทะเล ก็ดูหนังฟังเพลงเที่ยวเตร่กัน เป็นประจำทุกค่ำคืนสามีก็หลงใหลรักใคร่หนูมากจริงๆ พาไปเที่ยว ตามใจทุกอย่าง แล้วก็ไปกันอย่างเปิดเผย ยิ่งภรรยาหลวงรู้เข้าเสียใจ โกรธแค้น หนูก็ยิ่งชอบใจ"


                 ข้าพเจ้าฟังเธอเล่าแล้วก็ให้รู้สึกเจ็บปวดหัวใจแทนไปด้วย คิดถึงอกของภรรยาหลวง เจ็บช้ำน้ำใจแค่ไหน ต้องตั้งหน้าทำมาหากิน เลี้ยงลูกเป็นโขยงสามีก็เอาแต่หาความสำราญกับหญิงอื่น


                   นี่เอง ที่มีคำสอนในหลักพระพุทธศาสนาว่า คนไม่รู้ว่าอะไรเป็นบาปเป็นความชั่ว เมื่อต้องพลาดไปทำเข้า ก็จะทำอย่างเต็มที่ ไม่มียับยั้ง ถ้ารู้ว่าเป็นบาป ก็ยังพอระวังตัวบ้าง เหมือนคนที่ไม่รู้ว่าถ่านไฟลุกแดงนั้น มันร้อนจัด เมื่อต้องการจับก็จะหยิบเสียเต็มมือ ความร้อนก็เผาเอาเต็มที


                  เด็กสาวผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าจับถ่านไฟเสียเต็มมือ ความร้อนกำลังแผดเผาเธออย่างหนัก พอนึกถึงว่าเธอทำผิดเพราะ ความไม่รู้ ก็ให้รู้สึกสงสาร


                  ตัวไม่รู้ คือไม่รู้อะไรตามจริงนี้ เป็นอันตรายที่สุดในการดำเนินชีวิต เป็นมิจฉาทิฏฐิที่จะทำให้ต้องเดินทางชีวิตไปอย่างคนมืดบอดไร้แสงสว่างคือปัญญานำทาง ย่อมทำชีวิตขาดทุน เดินทางผิดไปตลอดเพราะความไม่รู้ สตรีผู้นี้อาจจะวาดลวดลายทำร้ายจิตใจภรรยาหลวงยิ่งกว่าที่เธอเล่านี้อีกกี่เท่าก็ไม่แน่ แต่เมื่อรู้ตัวว่าตนทำผิดก็ถือว่าเป็นบัณฑิตได้ เพราะยังมีโอกาสแก้ไขข้อเสียหายของตนเองด้วยความรู้สึกเห็นใจข้าพเจ้าจึงพูดว่า


"หนูจะไม่ลองไปสารภาพผิดสักหน่อยเหรอ เผื่อภรรยาหลวงเค้าจะเห็นแก่ลูกเล็กๆ ของหนูมั่ง"


                  เมื่อได้ยินคำปฏิเสธเป็นคำรบสอง ข้าพเจ้าจึงต้องตัดสินใจพูดว่า


"เอางี้นะพี่จะลองไปคุยกับภรรยาหลวงเค้าดู พี่เป็นคนอื่น  เค้าคงไม่กล้าอาละวาดใส่พี่ อย่างมากก็คงแค่ระบายความคับแค้นอะไรๆ ออกมาให้ฟังเท่านั้น"


                   เมื่อฝ่ายนั้นไม่ขัดข้อง ข้าพเจ้าก็ถามถึงที่อยู่ของภรรยาหลวงและเดินทางไปพบในเย็นวันนั้น เวลาเดินทางไปใจก็คิดไป


"เออ.. ทำความดีนี่มันยุ่งยากแท้ๆ เย็นวันนี้เลิกงานแล้ว เราควรจะได้กลับจากงานไปรับลูกเล็กๆ ที่โรงเรียนกลับบ้าน อยู่เห็นหน้ากันตามประสาแม่ลูก นี่กลับต้องมาตะลอนๆ ขึ้นรถเมล์ไปหาใครก็ไม่รู้  ไปช่วยเหลือคนที่ทำผิดศีลผิดธรรมด้วยซ้ำไป นี่ถ้าไม่เห็นแก่ลูกเล็กๆ ของเค้าทั้ง ๓ คน ซึ่งก็ตัวเท่าๆ ลูกของเรา  จะไม่มีอะไรกินแล้วละก็  จ้างก็ไม่ยอมให้ตัวเองทุเรศยังงี้ ดูซี ต้องมายุ่งเรื่องลูกคนอื่น ปล่อยให้ลูกเล็กทั้ง ๓ คนของตนเองจูงมือกันเดินข้างถนนแล้วขึ้นเรือข้ามฟากกลับบ้านเองไม่รู้ลำบากกันแค่ไหน ฝนจะตกรึเปล่าก็ไม่รู้ ยังไงก็อย่าพากันตกน้ำป๋อมแป๋มที่ท่าเรือก็แล้วกัน.."


                   ห่วงไปตามประสาแม่ที่เลี้ยงลูกคนเดียว คิดเอาว่าถ้าเราทำกุศลช่วยลูกคนอื่น กุศลคงส่งให้ลูกเรามีความสุขความปลอดภัยไปด้วย  ไม่อยากเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังถึงเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหน้า


                  ภรรยาหลวงของสตรีผู้นั้นเลย ความทุกข์ ความเจ็บใจ ความคั่งแค้น  ทั้งหลายพรั่งพรูออกมาอย่างระงับยับยั้งไม่ไหว ข้าพเจ้าฟังเสียเมื่อยหู ไปทีเดียว เวลาฟังก็ต้องเห็นใจเธอไปด้วย เพราะว่าที่จริงแล้วมันก็คือ ความรู้สึกของตัวข้าพเจ้าเองเหมือนกัน เพียงแต่ข้าพเจ้ามีสติยับยั้งชั่งใจ ดีกว่า และด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงกว่าจนต้องสร้างความอดทน ได้อย่างเข้มแข็ง ไม่แสดงออกดังอาการของสตรีผู้เป็นภรรยาหลวงของหญิงคนนี้


                  คนที่มีความทุกข์อย่างเดียวกัน ฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายอย่าง กรณีที่ข้าพเจ้ากระทำอยู่ ข้าพเจ้าจึงสามารถปลอบใจอีกฝ่ายได้ดีที่สุด ให้ความเห็นใจมากที่สุด ปลอบใจด้วยถ้อยคำดีที่สุด เมื่อภรรยาหลวง ดังกล่าวเห็นว่าข้าพเจ้าเห็นใจเขามากกว่าอีกฝ่าย การพูดจาต่อมาก็ค่อยอ่อนโยนลงมาก แต่กระนั้น พอพูดถึงเรื่องให้อภัยก็ต้องขอคิดดูก่อน


"ทำกะอั๊วไว้มากจิน จิน น่อ อั๊วะยังไม่ยอมมังนา.."


                   ข้าพเจ้าย้ำก่อนจากกันว่า "หนู..แกรู้สึกตัวว่าแกเป็นฝ่ายผิดเต็มที่ แล้วก็กลัวบาปกลัวกรรมแล้วด้วย อยากจะมากราบขอโทษคุณด้วยตนเอง ยังไงคุณก็อย่าเก็บความเคียดแค้นไว้ตลอดไปเลยนะ ค่อยๆคิดดูเถอะ โกรธใครก็ตาม ไฟโกรธนั่นมันเผาตัวเองก่อนเพื่อนเลย  แล้วจึงลุกลามไปเผาคนที่เกี่ยวข้องอื่นๆ"


"ตองนี้อั๊วยังทำจาย..ไม่..ล่าย น่อ.. ขอคิกลูนางๆ น่อ" ...  เธอตอบข้าพเจ้าด้วยลักษณะอาการที่เพลาความโกรธลงอย่างเห็นได้ชัด


                   วันนั้นข้าพเจ้ากลับถึงบ้านมืด ลูกๆ คอยแม่จนหลับไปก่อน


                  เมื่อสตรีผู้นั้นมาฟังคำตอบ ข้าพเจ้าเล่ารายละเอียดให้เธอฟังตามที่ได้พบมา


"พี่ดูแล้ว เห็นว่าภรรยาหลวงเค้าเย็นลงมากแล้ว หนูคอยเวลาอีกหน่อยนะ ตอนนี้ขอให้หนูบอกสามี ให้เค้าพูดยกย่องความดีงามของฝ่ายโน้นให้มาก ให้ติหนูเรื่องเลี้ยงลูกไม่เป็นบ่อยๆ เดี๋ยวทางโน้นจะต้องใจอ่อนลง มีอะไรหนูก็ฝากไปให้ลูกๆ ทางเขาบ้าง หรือจะรับอาสากวดวิชาให้ก็ยิ่งดี เราเคยเป็นครูมาก่อนอยู่แล้ว ทางโน้นจะได้ใจอ่อนโยนลง  วันหนึ่งอาจเข้ากันได้ หนูต้องอดทนให้มากเข้าไว้ ทำฝ่ายเขาเจ็บใจมาเป็นปีๆ จะให้ดีในวันสองวันมันย่อมยาก อยากพ้นเวรกรรมก็ต้องเชื่อพี่ทนเอาไว้"


                  สตรีผู้นั้นจากข้าพเจ้าไปด้วยใบหน้ามีความหวัง เราไม่ได้พบกันอยู่หลายปี พบกันอีกครั้งและเป็นประจำตลอดมาคือที่วัดพระธรรมกาย


                  ครอบครัวของเธอเข้าใจกันได้ พากันมาวัดทั้งสองบ้าน บางครั้งสามีของเธอยังนำเงินก้อนใหญ่มาถวายผ้าป่า กล่าวคำถวายเองเสียงดังแจ้ว นี่ตัณหาพาทุกข์ แก้ไขได้จึงมีความสุขขึ้นหน่อย

 

Cr.อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล

จากความทรงจำ เล่ม๔

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.007328983147939 Mins