.....โลกต้องการสันติสุข โลกยังต้องการความดีจากคนดี แต่บางมุมของโลกใบนี้ยังมีรอยบาปที่ถูกบุคคลซึ่งขาดความละอาย และเกรงกลัวต่อผลของบาปที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและบุคคลอื่นๆ ในสังคม
.....ผิดชอบชั่วดีใช่ว่าจะแยกแยะกันไม่ได้ แต่เพราะว่าภายในจิตใจนั้นยังปิดป้องละอองของความดีที่จะคลุกเคล้าติดแน่นอยู่ในจิตใจเท่านั้นเอง
.....เรามักจะปลูกฝังคุณธรรมให้แก่ลูกหลานผ่านไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าว่าธรรมะคุ้มครองโลกได้แก่หิริโอตตัปปะ ซึ่งหมายถึงความละอายและเกรงกลัวต่อบาป ที่สังคมปัจจุบันของเราขาดความปลอดภัยไปบ้างในบางโอกาสเป็นเพราะเราคุ้นเราชินกับความหมายหรือเราหลงลืม สับสนกับความหมายที่ถูกต้องกันแน่
หิริโอตตัปปะ ธรรมะที่น่าทบทวน
.....หิริ คือ ความละอายบาป หรือละอายต่อการจะทำบาป ถึงไม่มีใครรู้ แต่เมื่อเรานึกแล้วจะรู้สึกกินแหนงแคลงใจไม่สบายใจ เป็นความรู้สึกรังเกียจ ไม่อยากทำบาป เห็นบาปเป็นของสกปรกที่จะทำให้ใจของเราเศร้าหมองไม่ผ่องใส ถ้าเราละจากบาปได้ แสดงว่าเรามีความละอายต่อบาป
......โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวบาป เป็นความรู้สึกกลัวว่าเมื่อทำไปแล้ว บาปจะส่งผลจะเป็นทุกข์ทรมานแก่เรา จึงไม่ยอมทำบาป
.....บาปเพียงนิดอย่าคิดทำเลยนะครับ เพราะขึ้นชื่อว่าบาปนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน และมีความทุกข์แต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีทุกข์ และเดือดร้อนด้วย ทางมาแห่งทุกข์และผลที่ทำให้เป็นบาปมีได้ทางกาย วาจาและใจ ที่พอจะทบทวนเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
๑. ฆ่าสัตว์ เช่น การฆ่าคน ยิงนกตกปลา รวมถึงการทรมานสัตว์
๒. ลักทรัพย์ เช่น ลักขโมย ปล้น ฉ้อโกง หลอกลวง คอร์รัปชั่น
๓. ประพฤติผิดในกาม เช่น เป็นชู้ ฉุดคร่า อนาจาร
๔. พูดเท็จ เช่น พูดโกหก พูดเสริมความ ทำหลักฐานเท็จ
๕. พูดส่อเสียด เช่น พูดยุยงให้เขาแตกกัน พูดจาใส่ร้ายป้ายสี
๖. พูดคำหยาบ เช่น ด่า ประชด แช่งชักหักกระดูก ว่ากระทบ
๗. พูดเพ้อเจ้อ เช่น พูดพล่าม พูดเหลวไหล พูดโอ้อวด
๘. คิดโลภมาก เช่น อยากได้ในทางทุจริต เพ่งเล็งทรัพย์คนอื่น
๙. คิดพยาบาท เช่น คิดอาฆาต คิดแก้แค้น คิดปองร้าย
๑๐. คิดเห็นผิด เช่น เห็นว่าบุญบาปไม่มี เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณ เห็นว่าตายแล้วสูญ และเห็นว่ากฎแห่งกรรมไม่มี
.....ทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า อกุศลกรรมบถ ๑๐ ครับ ถ้าเราเคยมีพฤติกรรมตรงกับข้อไหน หรือเข้าข่ายใกล้เคียงข้อไหนเมื่อพิจารณาด้วยตัวเองแล้วว่าทำให้จิตใจของผู้อื่น หรือตัวเองนั้นเศร้าหมองไปต้องรีบละรีบเลิกทำซะนะครับ หนทางที่จะฉุดลั้งเราให้ไปทำความไม่ดีหรือทำบาปนั้นไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา หรือใจ เมื่อขึ้นชื่อว่าบาปแล้วก็เป็นสิ่งที่ต้องหลีกและเสี่ยงไม่ให้เข้ามาใกล้เราอย่างเด็ดขาด
.....คนเราประกอบขึ้นด้วยกายและใจครับ เราทราบดีว่าใจจะเป็นผู้ควบคุมกายให้ทำให้พูด หรือไม่ทำไม่พูดสิ่งต่างๆ ตามที่ใจต้องการ อย่างที่เราพูดติดปากว่าใจเป็นนายกายเป็นบ่าวนั่นแหละครับ พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้เหมือนกันครับ ลองพิจารณาและปฏิบัติตามดูนะครับ ผมว่าเป็นวิธีการที่จะทำให้เรางดเว้นจากบาปทั้งหลายทั้งปวงได้
.....“ทุกอย่างมีใจเป็นใหญ่ สำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าใครมีใจชั่วเสียแล้ว การพูดการกระทำของเราก็ย่อมชั่วตามไปด้วย เพราะการพูดชั่วทำชั่วนั้น ความทุกข์ก็ย่อมตามสนองเขาเหมือนวงล้อเกวียน ที่หมุนเวียนตามบดขยี้รอยเท้าโคที่ลากมันไป
.....แต่ถ้ามีใจบริสุทธิ์ การพูด การกระทำ ก็ย่อมบริสุทธิ์ตามไปด้วย เพราะการพูดการกระทำที่บริสุทธิ์ดีงามนั้นความสุขก็ย่อมตามสนองเขา เหมือนเราที่ไม่พรากไปจากร่างฉะนั้น”
.....การที่คนเรามีความปรารถนาความสุขและความก้าวหน้าทั้งหลาย จึงต้องฝึกใจของตนให้งดเว้นจากบาป ซึ่งทำได้โดยฝึกใจของเราให้ละอาย และเกรงกลัวต่อบาปหรือมีหิริโอตตัปปะนั่นเอง
.....หมั่นสำรวจใจของเราอย่างสม่ำเสมอเถอะครับ คนเรามีลมหายใจอยู่ในโลกนี้ไม่นานอย่าผัดวันประกันพรุ่ง ไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือวันพรุ่ง หรือจะอีกกี่วันที่เรามีลมหายใจขอให้ทำแต่ความดี ทำแต่กุศลกรรมที่หลีกเลี่ยงจากบาปทั้งปวงเถอะนะครับ
เคล็ดลับข้อคำนึงของใจที่ใฝ่หิริและโอตตัปปะ
.....หมั่นคำนึงถึงความเป็นคนหรือชาติตระกูลว่าเราอุตส่าห์ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วทำไมเราจึงต้องฆ่าสัตว์ ลักขโมย เพราะว่ากริยานั้นมันเป็นความปกติของสัตว์เดียรัจฉาน ที่ไม่รู้จักแยกแยะหรือแม้แต่คู่ครองคู่ชีวิตของใคร ถ้าไม่ใช่คู่ของเราก็ไม่ควรที่เราจะครอบครอง หรือแย่งชิงความเป็นเจ้าของจากใคร
.....คำนึงถึงอายุ พิจารณาดูสักนิดครับว่าเราอายุก็ป่านนี้แล้วจะไปเกี้ยวพาราสีใครที่เขามีเจ้าของหรือจะไปขโมยของคนอื่นเขาทำไม
.....คำนึงถึงความดีที่เคยทำ ความดีที่เราเคยทำเพราะใจขณะนั้นของเราชนะฝ่ายบาป และละบาปได้สำเร็จ ความสำเร็จที่เราคิดคำถึงบ่อยๆ จะทำให้มีความสุขและผ่องใสใจของเราจะเกิดหิริ ต่อความชั่วไปโดยปริยาย
.....คำนึงถึงความเป็นพหูสูต เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถต้องหยิ่งและระลึกในศักดิ์ศรีของบุคคลที่มีความรู้ และความสามารถของตน
.....คำนึงถึงพระศาสดา เรามีต้นแบบแห่งความดีที่บริสุทธิ์ ถ้าเราหมั่นระลึกและเดินตามรอยบาทพระพุทธองค์ เราจะเกิดหิริที่จะทำบาปได้
.....คำนึงถึงครูอาจารย์ และสถานศึกษา ศักดิ์ศรีของครูอาจารย์ และสถานศึกษาที่ให้ความรู้ รวมทั้งศักดิ์ศรีของตนที่เป็นศิษย์มีครูนี้จะทำให้เรามีความละอายต่อบาปได้เช่นกัน
.....ส่วนโอตตัปปะ หรือความเกรงกลัวต่อบาป มีเคล็ดลับง่ายๆ คือ กลัวคนอื่นติเตียน คือเมื่อเราคิดจะทำความชั่วหรือทำบาปให้ระลึกว่าเราอาจโดนคนอื่นติเตียนชื่อเสียง เกียรติยศ เราอาจพังพินาศได้ กลัวการลงโทษเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งที่เราน่าจะนำมาเป็นข้อกำหนดเด็กๆ เราไม่ทำผิด เพราะกลัวพ่อแม่หรือครูตี พอโตขึ้นมาอีกระดับเราก็จะพิจารณาผิดชั่วด้วยตัวบทกฎหมาย กฎระเบียบของสังคม เวลาคิดจะทำผิดแล้วเกรงกลัวในบทลงโทษ เกรงกลัวที่จะถูกตำรวจจับ คิดได้อย่างนี้เราจะเกรงกลัวต่อบาปกรรมที่เราจะทำได้
.....ส่วนความเกรงกลัวขั้นสุดท้าย หรือความเกรงกลัวสูงสุดที่ต้องศึกษาให้รู้จริงรู้แจ้งนั่นคือ กลัวการเกิดในทุคติ หรือมีทุคติเป็นที่ไปหลังชีวิตของความตาย เวลาที่เราจะทำบาปทำความเศร้าหมองให้เกิดแก่ตัวและหัวใจ ให้เกรงกลัวที่จะทำให้เรานี้ไปสู่อบาย หรือทุคติเถิดครับ
จิตเต สังกิลิฐเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา
เมื่อจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป
จิตเต อสังกิลิฐเฐ สุคติ ปาฏิกังขา
เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป
.....ขอทุกทุกท่านจงป้องกันทุกข์ภัย และความเศร้าหมองทั้งหลายด้วยการเจริญในธรรมที่คุ้มครองโลก อันได้แก่ หิริโอตตัปปะอย่างสม่ำเสมอ เป็นนิจศีลเทอญ โลกจะบังเกิดแต่สันติสุขที่ทุกชีวิตล้วนแสวงหาความจริง สันติสุขของโลกอยู่แค่เอื้อม เพียงแต่ทุกคนร่วมมือกันทำแต่ความดี ละซึ่งทางมาแห่งความชั่วเกรงกลัวต่อบาปกรรมเท่านั้นแหละครับ ทุกท่านจะสมหวังเริ่มจากตัวท่านก่อนในวันนี้ และวันแห่งสันติสุขในวันนั้นต้องเกิดขึ้นสักวันแน่นอน
วีระ สุภะ