"ไม่ได้ที่หนึ่ง ... ไม่ได้แล้ว"

วันที่ 16 ธค. พ.ศ.2563

"ไม่ได้ที่หนึ่ง ... ไม่ได้แล้ว"

 

631217_b.jpg

 

             นี่เป็นครั้งแรกที่ผมตัดสินใจเขียนเล่าประสบการณ์ ด้านการศึกษาของตัวเอง เหตุที่ผมเขียนก็เพราะมี พระอาจารย์รูปหนึ่งท่านมาปรารภกับผมว่า

 

              "เวลานี้ ประเทศไทยเราน่าเป็นห่วง จากสถิติหลายหัวข้อที่เกี่ยวกับ ลูกหลานเราตอนนี้ บ่งบอกว่า ลูกหลานไทยไม่ค่อยจริงจังในเรื่องการ พัฒนาตนเอง เพื่อมาเป็นพลังของประเทศ พอเรียนจบมาแล้ว ยังตอบไม่ ได้ว่า เขาจะช่วยเหลือสังคมและแบ่งเบาภาระเศรษฐกิจของชาติได้อย่างไร ขณะที่เยาวชนในประเทศเพื่อนบ้านของเรา เขาเอาจริงเอาจังกับการพัฒนา ตนเอง ยกตัวอย่างเช่น เด็กชั้นมัธยมปลายส่วนมากของเวียดนาม อ่านวรรณกรรมสำคัญๆ ของโลกจบไปแล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานทาง ความคิดในการพัฒนาประเทศของพวกเขาต่อไปในอนาคต บางทีเด็กไทย อาจต้องการแรงจูงใจในการฝึกตัวเอง ผู้ใหญ่ต้องมาช่วยกันสร้างตรงนี้"

 

              ผมเห็นด้วยกับที่พระอาจารย์ท่านบอกก็เลยตัดสินใจเขียนเล่าเรื่อง ของตัวเองให้น้องๆ ฟัง ผมก็หวังว่า เรื่องเล่าจากพี่ชายคนหนึ่งนี้ จะเป็น ข้อมูลที่ดีที่สร้างแนวทางให้แก่น้องๆ ได้ใช้ในการศึกษาเล่าเรียนของ ตนเองให้ดีที่สุดต่อไปครับ

 

เริ่มต้นชีวิต

 

              ชีวิตของผม เกิดในกรุงเทพฯ นี้เอง ครอบครัวของผมเป็นคนจีน ดั้นด้นมาเมืองไทยในยุคหอบเสื่อผืนหมอนใบ มาอาศัยอยู่แถวคลองเตย ความเป็นอยู่ขัดสน

 

              ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่ เมื่อตอนผมอายุได้เพียงขวบเดียว พ่อของผมไปทำงานก่อสร้าง ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน มีพี่น้องรวมกัน ๕ คน ทำให้ผมต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากินตั้งแต่เล็กๆ

 

              ผมโตที่เชียงใหม่ เรียนจบชั้นมัธยมที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดเชียงใหม่ และจบการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

              เมื่อจบการศึกษา ก็มาทำงานด้านก่อสร้างกับบริษัทใหญ่ๆ หลายแห่ง อาทิเช่น บ. อิตาเลียน-ไทย จำกัด (มหาชน), บ. สยามชินเท็คคอน สตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และเคยเปิดบริษัททำกิจการเกี่ยวกับการผลิต เครื่องใช้ เครื่องเรือนทำด้วยไม้ ส่งออกไปยังต่างประเทศ ปัจจุบันเป็น ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งผลิตเฟอร์นิเจอร์ส่งออกไปยังญี่ปุน และอเมริกา

 

             สาเหตุจูงใจที่ทำให้ผมต้องสอบให้ได้ที่ ๑ ทุกปี ก็มาจากความอยากเรียน อยากมีการศึกษา เพราะเชื่อว่าการศึกษาเป็นเหมือนสมบัติ จักรพรรดิ ใช้ไม่มีวันหมดสิ้น

 

            อะไรทำให้ผมคิดเช่นนี้

 

           เรื่องมีอยู่ว่า เย็นวันหนึ่ง ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๑๔) แม่ของผมก็เรียกเข้าไปพบ บอกกับผมตรงๆ ว่า ฐานะ
ทางบ้านเรายากจนไม่สามารถจะส่งลูกเรียนต่อได้ พี่ชายคนโตก็กำลังเรียนอยู่ และน้องๆ ก็ยังต้องส่งเรียนอีก ๓ คน แม่จึงอยากให้ผมออกมาช่วยงานที่บ้าน

 

          ตอนนั้น ครอบครัวผมเปิดแผงลอยขายนํ้าเต้าหู้ข้างถนน รายได้ ตอนนั้น บางวันไม่ถึง ๒๖ บาท ผมก็คิดหาทางออกว่า ทำอย่างไรถึงจะ ได้เรียนต่อ ความรู้สึกตอนนั้น ผมใจหาย คิดถึงเพี่อนที่เรียนด้วยกันมา เลียดายโอกาสที่จะได้ศึกษาเล่าเรียน ในอนาคตความรู้แค่ ป.๔ คงไม่ สามารถหางานดีๆ ทำได้แน่ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ และครุ่นคิดในภาวะที่บีบคั้น

 

ใจที่แสวงหาหนทาง ย่อมพบทางออก

 

         เป็นจังหวะพอดีที่โรงเรียนมีนโยบายด้านทุนการศึกษาสำหร้บเด็ก ที่สอบได้ที่ ๑ ของระดับชั้น จะได้เรียนฟรี ๑ ปี และนี่เป็นเหมือนแสงสว่าง สำหร้บผม

 

         ชั้น ป.๔ ที่ผมเรียนนั้น มี ๓ ห้อง รวมกันแล้วก็ประมาณ ๑๐๐ คน ถ้าผมสอบได้ที่ ๑ ของระดับชั้น ผมก็จะได้เรียนฟรี (ตอนนั้นผมสอบได้ที่ ๗ ของห้อง) แต่การไปขอกับแม่ ก็คงยาก เพราะที่บ้านไม่มี ใครช่วยงาน ผมจึงเริ่มหันเป้าหมายไปที่พ่อ ซึ่งเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ใจดี

 

        ผมเริ่มหาวิธีการที่จะพูดกับพ่อ โดยทุกวันหลังกลับจากโรงเรียนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็เข้าไปช่วยงานคั้นกากถั่วทำนํ้าเต้าหู้ ตามปกติ ผมก็ขยันอยู่แล้ว แต่หลังจากที่มีความหวัง ผมก็ยิ่งเพิ่มความขยันใน การช่วยงานพ่อเป็นสองเท่า

 

        ผ่านไปเดือนหนึ่ง พ่อพอใจในตัวผมมาก ก็เอ่ยปากว่า ถ้าลูก อยากได้อะไรให้บอกพ่อนะ เป็นโอกาสที่ผมรอมานาน ผมรีบพูดทันทีว่า "พ่อครับ ผมอยากเรียนต่อ" พ่อถึงกับอึ้ง ผมก็ถามอีกว่า "ทำไมพี่ชาย ให้เรียนต่อได้ล่ะ ผมก็ลูกพ่อเหมือนกัน" ผมมีนิสัยช่างสังเกตช่างเปรียบ เทียบมาตั้งแต่เล็ก เลยถามออกไปอย่างนั้น ในที่สุด พ่อก็รับปากว่าจะ พูดกับแม่ให้

 

        วันหนึ่งพ่อสังเกตเห็นแม่อารมณ์ดี เลยยกเรื่องนี้มาพูด ผมเห็น สีหน้าแม่เปลี่ยน เลยรีบเข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย เล่าทุกอย่างที่เป็น ประกาศของโรงเรียนให้แม่ทราบ

 

         "ถ้าผมสอบได้ที่หนึ่ง แล้วได้ทุน แม่จะให้ผมเรียนต่อไหม" เเม่ไม่เคยเห็นผมได้ที่ ๑ มาก่อน ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจ ผมบอกแม่ว่า "ถึงแม่จะไม่เคยเห็น ก็ขอให้ผมได้มีโอกาสลองดูสักครั้ง"

 

         แม่นั่งนิ่งไปครู่แล้วพูดว่า "ลองดู" พอแม่อนุญาต ผมรู้สึก                                                                                                                                                         สาเหตุจูงใจที่ทำใหัผมต้องสอบให้ได้ที่ ๑ ทุกปี 

       

        ก็มาจากความ อยากเรียน อยากมีการศึกษา 

         

         เพราะเชื่อว่าการศึกษา เป็นเหมือน สมบัติจักรพรรดิ ใช้ไม่มีวันหมดสิ้น 

       

         เหมือนได้รับโอกาสจากสวรรค์ ผมดีใจมาก และคิดหาหนทางที่จะสอบให้ได้ที่ ๑

 

ไม่ได้ที่หนึ่ง ไม่ได้แล้ว

 

         ผมรีบไปขอยืมสมุดพกเพื่อนที่สอบได้ที่ ๑ มานั่งดู เทียบคะแนน กันแล้ว ผมได้คะแนนมากกว่าทุกวิชา แต่มีวิชาเดียวที่ผมได้น้อยกว่าเขา คือวิชาพัฒนาการทางนิสัย ผมได้น้อยกว่าเขาถึง ๑๙ คะแนน ผมเป็น เด็กซนมาก แต่เพื่อนคนนั้นเป็นเด็กเรียบร้อย ทุกเช้าจะมีดอกไม้มาใส่ แจกันบนโต๊ะครูเป็นประจำชั้น เมื่อเห็นจุดอ่อนนี้ ผมก็รีบหาทางแก้ไข

 

         ผมตั้งใจเรียนมาก แม้ป่วย ก็ไม่ยอมขาดเรียนเลยแม้แต่วันเดียว นั่งเรียนไม่ไหว ขอนอนเรียนหลังห้องก็ยังดี ได้ยินครูสอนทุกวิชาต่อ เนื่องกัน เหมือนดูหนังตั้งแต่ต้นเรื่องก็เลยเข้าใจ พอกลับถึงบ้าน ผมก็ใช้ เวลาให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ เวลาช่วยงานบ้าน ผมก็เอาหนังสือมา วางใกล้ๆ สองมือทำงาน สองตาดูหนังสือ ปากท่องไป ใจก็คิดทำความ เข้าใจไปด้วย ทำบ่อยๆ ก็จะเข้าใจ เมื่อเข้าใจ ทำข้อสอบทีไรก็สบาย ผมทำอย่างนี้จนกลายเป็นนิสัยติดตัว ทำให้รู้ว่าควรวางแผนทำอะไรก่อนทำ อะไรหลัง ก็เลยทำให้ผมสอบได้ที่ ๑ ทุกปี ตั้งแต่ ป.๔ เป็นต้นมา

 

        ผมคิดว่า น้องๆ สมัยนี้มีโอกาสทางการศึกษามากกว่าสมัยก่อนมาก ทั้งวิทยาการเทคโนโลยีต่างๆ ก้าวหน้ามาก สถานศึกษาก็มีให้เลือกมากมาย สอบเข้าที่ไหนไม่ได้ ก็เลือกสถานศึกษาเอกชนได้อีก ทำให้เด็กส่วนใหญ่ ขาดการกระตือรือร้น

 

        อีกอย่างคือ คนรุ่นพ่อแม่เคยผ่านความลำบากมากมาย จึง พยายามเอาใจลูกหลาน ไม่อยากให้ลำบากเหมือนตัวเอง ซึ่งโดยมากจะ เน้นไปที่วัตถุสิ่งของมากกว่าจิตใจ ทำให้น้องๆ ที่ควรจะสนใจเรียนหลายๆ คนหันเหไปในเรื่องฟุ่มเฟือยมากกว่า เลยขาดแรงกระตุ้นที่จะสนใจเรียน บางทีความอยากให้ลูกสบาย ก็บั่นทอนอนาคตของลูกโดยไม่รู้ตัว พอลูกโตขึ้น ประเทศชาติก็เลยขาดกำลังสำคัญไปอย่างน่าเสียดาย

 

การตั้งใจเรียน ก็เป็นการช่วยชาติอย่างหนึ่ง

 

          คนที่จะช่วยประเทศชาติได้ ต้องฝึกความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ตนเองในแต่ละด้าน เช่น เป็นลูกก็ต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ ทำ ให้ ท่านสบายอกสบายใจที่ได้เราเป็นลูก ช่วยให้ท่านชื่นอกชื่นใจ เมื่อเป็น นักเรียน ก็มีหน้าที่หมั่นศึกษาหาความรู้ ตั้งใจเล่าเรียน ซึ่งจะต้องเริ่มจาก "ใจ" ที่มุ่งมั่นจะฝึกตัวเองให้มีความรับผิดชอบ ตัวเราเองก็จะก้าวหน้า ครอบครัวก็จะเจริญขึ้น เมื่อเราออกสู่โลกกว้าง เราไปตรงไหน ก็ช่วยทำ ให้สังคมเจริญขึ้นได้ ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยชาติระดับรากหญ้าทีเดียว

 

          ผมหวังว่า ข้อเขียนชิ้นนี้ จะเป็นแรงกำลังใจให้น้องๆ ใช้โอกาส ทางการศึกษาที่มี ตั้งใจเรียนให้เต็มที่ ให้สมกับที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งความ หวังเอาไว้ และมุ่งฝึกฝนตัวเองให้เป็นคนดีและคนเก่ง เติบใหญ่ขึ้นมาก็ จะได้เป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติในอนาคตครับ

 

 

 

เรื่องเล่า...ของพี่ชายคนหนึ่ง
โดย ชัยภัทร ภัทรทิพากร

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.015906369686127 Mins