ความรักในวันวาเลนไทน์

วันที่ 06 มค. พ.ศ.2564

ความรักในวันวาเลนไทน์

 

640106_b.jpg

 

                เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีมาถึง เทศกาลหนึ่งที่ หนุ่มสาวไทยรับเอามาจากวัฒนธรรมตะวันตก อย่างเต็มๆ ก็คือ เทศกาลวันวาเลนไทน์ และทุกๆ ปีกลับมาเสมอ

 

                ผมเองเมื่อสมัยยังเรียนอยู่ชั้นปี ๑-๔ ก็เคยร่วมกับเพื่อนๆ ในภาค วิชา ช่วยกันหาเงินรับน้องจากช่วงเทศกาลวาเลนไทน์นี้ ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เป็นการฝึกทำงานเป็นทีมแบบร้อยกว่าคนอย่างเป็นระบบพร้อมกัน ซึ่งสนุกสนานมากครับ

 


               วิธีการก็คือ พวกเราจะแยกย้ายกันเดินไปทุกคณะ เพื่อรับจัด ส่งดอกไม้ทั่วมหาวิทยาลัย พอได้ยอดสั่งของ และทำทะเบียนจัดส่งได้ชัดเจนดีแล้ว เย็นวันที่ ๑๓ กุมกาฯ ก็มีตัวแทนรุ่นขับรถไปปากคลองตลาด เพื่อชื้อดอกไม้นานาชนิดมาจัดเป็นช่อ เป็นกระเช้า เป็นดอกเดี่ยว ดอกคู่ ตามที่มีผู้สั่งจองมา

 


              ในคํ่าวันนั้น เพื่อนๆ ทั้งรุ่นจะมารุมช่วยกันจัดดอกไม้ตามยอดที่ สั่งจนกระทั่งถึงเช้าตรู่วันที่ ๑๔ กุมกาพันธ์ ทันเวลาพอดี

 


               วันนี้พวกเราก็ขออนุญาตอาจารย์ทุกวิชาว่า ขอหยุดเรียนหนึ่ง วันเพื่อทำกิจกรรมหาเงินรับน้องแบบพร้อมเพรียงกันทั้งรุ่น คณาจารย์ท่านก็กรุณาอนุญาตให้หนึ่งวัน

 


              พอแปดโมงเช้า นิสิตหญิงชายเริ่มทยอยมาถึงมหาวิทยาลัย ฝ่าย ส่งดอกไม้ก็ออกทำงาน เดินส่งดอกไม้ไปทั่วมหาวิทยาลัย ใครแอบ หมายปองใคร เขียนคำอวยพรแบบเก๋ไก๋ขนาดไหน วันนั้นคนรับก็ยิ้มกัน แก้มปริล่ะครับ

 


              พวกเราสนุกมากครับ เพราะนั่นเป็นการทำงานเป็นทีมครั้งแรก ของเด็กปีหนึ่ง ที่มีพื้นฐานทางบ้านแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางคนรวยล้นฟ้า แต่บางคนแสนลำบากยากจน แต่งานนั้นก็ทำให้พวกเรารู้จักกัน และรักกันมากขึ้น

 


              หลังจากส่งดอกไม้หมดแล้ว คิดบัญชีหักต้นทุนเบ็ดเสร็จ ปรากฏว่า ได้กำไรมาตั้งแสนกว่าบาท ลองคิดดูสิครับว่า เด็กปี ๑ อายุเฉลี่ย ๑๘  ปีทั้งนั้น สามารถช่วยกันทำงานวันเดียว ได้เงินตั้งแสนกว่าบาท มันน่า ภูมิใจขนาดไหน

 


               แต่ในเบื้องหลังความสำเร็จที่ผมและเพื่อนๆ ประทับใจมากกว่า เงินก็คือ การได้เห็นทุกคนมีความสุขจากการทำงานเป็นทีม รอยยิ้มเหล่านี้แหละ ที่ไม่มีใครสามารถใช้เงินสร้างขึ้นมาได้ เพราะทุกอย่างเกิด มาจากความร่วมแรงร่วมใจของทุกคน และนั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้ เรียนรู้การบริหารงานแบบนอกตำราเรียนร่วมกัน

 


               ความรู้พวกนี้ ต้องได้มาจากการทำงานล้วนๆ ไม่มีใครเขียนไว้ ในตำราหรอกครับ และนี่ก็เป็นประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้รับจากวาเลนไทน์ปี พ.ศ. ๒๕๓๖

 


                มาถึงวาเลนไทน์ปีนี้ คือ พ.ศ.๒๕๔๖ ผมและเพื่อนก็เป็นใหญ่ ขึ้นมากแล้ว มุมมองเรื่องเทศกาลวาเลนไทน์ ก็ย่อมเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา แล้วก็ค่อนข้างเป็นห่วงเรื่องความรักที่มักจะปราศจากการยับยั้งชั่งใจของ หนุ่มสาวสมัยนี้อีกด้วย เพราะกำลังนิยมใช้อบายมุขต่างๆ เป็นตัว กระตุ้นจิตใจให้กล้าบ้าบิ่นในเรื่องความรัก ผลสุดท้ายเลยกลายเป็นรักที่ เลยเถิด เสียหายกันทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เห็นแล้วก็อดเป็นห่วงแทน เจ้าตัวไม่ได้

 


                นอกจากนี้ ผมยังกลัวว่า รักที่เลยเถิดของค่ำคืนวันวาเลนไทน์จะ กลายเป็นสิ่งที่สร้างปัญหาสังคมตามมาอีกนับไม่ถ้วน

 


                เพราะฉะนั้น ฉบับนี้ก็เลยมีข้อคิดธรรมะมาฝากกันคร้บ อย่างน้อย ก็เป็นสิ่งที่ใช้เตือนจิตใจไม่ให้มองความรักเพียงด้านเดียว แต่ต้องมอง ให้เห็นด้านที่เป็นโทษของมันด้วย เวลาจะรักใครจะได้คิดใคร่ครวญให้ดี มิใช่เอาอารมณ์รักเป็นใหญ่กว่าเหตุผล ต้องมองถึงความรับผิดชอบใน สิ่งต่างๆ ที่จะตามมาด้วย

 

พระอาจารย์ท่านบอกว่า


              "ก่อนจะไปรักใคร เราควรรู้ก่อนว่า ความรักที่แท้จริงโดยปราศ จากราคะเจือปน ก็คือความรักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อชาวโลกซึ่งเป็นความรักที่อยากจะให้ปุถุชนคนธรรมดาหมดกิเลส และแตกต่าง จากความรักของหญิงชายที่แอบแฝงไว้ด้วยวัตถุประสงค์ในเรื่องกาม


             ความรักระหว่างหญิงชายคือต้นเหตุแห่งความทุกข์ที่แฝงมาในรูป ของความสุข เหมือนยาพิษที่ถูกเคลือบไว้ด้วยนํ้าตาล เพราะเมื่อความรักเกิดในบุคคลใดแล้ว ก็ทำให้เกิดความกังวล ห่วงใย เกิดความ หวงแหนในคนรัก กลัวไปว่าเขาจะเป็นอื่น คือยิ่งรักก็ยิ่งห่วง ยิ่งห่วงก็ยิ่ง หวง ยิ่งหวงก็ยิ่งหึง เมื่อยิ่งหึงก็ยิ่งเป็นทุกข์ ใครมีรักหนึ่ง อย่างน้อยก็ ทุกข์หนึ่ง มีรักเป็นร้อยก็ทุกข์เป็นร้อย พูดง่ายๆ มากรัก ก็มากนํ้าตา


            เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่มีรักก็ไม่ต้องเสียนํ้าตาและจะเป็นคนมีความ สุขที่สุด อย่าว่าแต่ความรักระหว่างหญิงกับชายเลย แม้แต่ความรัก ระหว่างสายเลือดระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ได้ คือเมื่อถึงคราวต้องล้มหายตายจากกันไป ก็ทำ ให้เป็นทุกข์อยู่ดี"


           แล้วพระอาจารย์ท่านก็ให้ "ข้อคิดสำหรับคุณลูก" เนื่องในวัน วาเลนไทน์แก่ผมอีกว่า


          "ในวันนี้ขอให้กลับไปรักคุณพ่อคุณแม่ให้มากเป็นพิเศษกว่าวันอื่นๆ เพราะกว่าท่านจะเลี้ยงเรามาได้ขนาดนี้ ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพันหลาย รอบเพี่อปกป้องชีวิตเรา


            เมื่อกลับไปหาท่านแล้ว ก็ขอความกรุณาให้ท่านช่วยชี้แนะด้วยว่า เรามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง และโปรดอธิบายวิธีแก้ไขให้เราเข้าใจด้วย เพราะที่ผ่านมาเราอาจจะเคยดื้อ อาจจะเคยทำให้คุณพ่อกับคุณแม่



              คนโดยทั่วไปไม่มีใครรู้หรอกว่า ชาติที่แล้ว

             เป็นอะไรกัน ชาติที่แล้วไม่รู้ไม่เป็นไร ชาตินี้รัก

             ใครชอบพอใคร ก็ทำบุญร่วมกับเขาไว้
             อย่างน้อยบุญใหม่นี้ แม้ไม่ได้เป็นคู่ครองกัน

             ก็ได้เป็นเพื่อนคู่หูกัน เป็นกลุ่มเป็นพวก

             เดียวกันอีกจนตลอดชาติ


           ลำบากใจอยู่บ้าง แต่วันนี้พร้อมแล้วที่จะรับฟังคำสอนจากท่าน"


          แล้วพระอาจารย์ท่านก็ให้ข้อคิดสำหรับ"คุณพ่อคุณแม่"ไว้อีกด้วย ซึ่งผมขออนุญาตเล่าแถมให้น้องๆ ฟังด้วยก็แล้วกัน เพื่อจะได้รู้ว่า ใน มุมมองของพ่อแม่ นั้นท่านรู้สึกต่อเราอย่างไรในเรื่องนี้


           พระอาจารย์ท่านบอกว่า


         "ประการที่ ๑ ในกรณีที่ลูกของเรายังเป็นวัยรุ่น และกำลังคิดจะมี แฟน ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่คนในวัยนี้ จะต้องมีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ตามประสา
โลก จะห้ามไม่ให้เขามีคนรัก แล้วมาบวชเป็นพระทุกคนคงจะไม่ได้ แต่ ว่าจะปล่อยไปเลย โดยไม่ให้ข้อคิดประจำใจแก่ลูกเลยก็ใช่ที่


          ในกรณีอย่างนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักมองโลกให้ถูก ต้องตรงตามความเป็นจริงว่า


           หากลูกจะรักจะใคร่กับใครอย่างไรก็ตามที ในความรักความใคร่ ของตัวเองนั้น จะต้องอยู่ในกรอบของศีลธรรม ของขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม อย่าไปทำอะไรผิดศีลผิดธรรมเข้า เพราะมันจะเป็น แผลตัว แผลใจ ทั้งชาตินั้นและชาติหน้าต่อไปอีก


          ส่วนคนที่ชอบพอรักใคร่กันอยู่แล้ว ก็ควรจะใช้วันนี้ เป็นวันเริ่ม ต้นประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยกันทั้งคู่ เพื่อว่าต่อไปเมื่อร่วมหอ ลงโรง กันในวันข้างหน้า จะได้รู้จักใช้หลักธรรมถนอมน้ำใจกัน


          ประการที่ ๒ ในวันวาเลนไทน์นี้ คุณพ่อคุณแม่ควรแนะนำ หรือ สนับสนุนให้ลูกที่เป็นหนุ่มเป็นสาวพาคู่รักคู่หมายไปตักบาตร ทำบุญที่วัดไปฟังเทศน์ ไปนั่งสมาธิร่วมกัน เพื่อเป็นการเช็คความรู้ในเรื่องศีลธรรม ก่อนจะมีครอบครัวด้วยว่า แต่ละคนมีมากน้อยเพียงไร พร้อมกับต้อง อธิบายให้เขาฟังว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้ว่าคนเราที่จะอยู่ด้วยกันได้ จะแต่งงานเป็นคู่ครองกันได้โดยเหตุ ๒ ประการ คือ


         ๑) ในอดีตชาติเคยทำบุญร่วมกันมา พอชาตินี้มาพบหน้ากัน ก็รักก็ชอบกันทันที ลักษณะนี้เรียกว่า ผูกกันมาด้วยบุญ


         ๒) ชาติที่แล้วไม่เคยพบกัน แต่ว่าชาตินี้มาสนิทสนมคุ้นเคยกัน ก็เข้าลักษณะมาสร้างบุญใหม่ร่วมกันในชาตินี้ ก็เลยทำให้ อยู่ร่วมกันครองคู่กันได้ เป็นลักษณะเอาบุญผูกใจซึ่งกันและ กันไว้


         คนโดยทั่วไปไม่มีใครรู้หลอกว่า ชาติที่แล้วเป็นอะไรกัน ชาติที่ แล้วไม่รู้ไม่เป็นไร ชาตินี้รักใครชอบพอใครก็ทำบุญร่วมกับเขาไว้ อย่างน้อยบุญใหม่นี้ แม่ไม่ได้เป็นคู่ครองกัน ก็ได้เป็นเพื่อนคู่หูกัน เป็นกลุ่มเป็นพวกเดียวกันไปอีกจนตลอดชาติ


         เพราะฉะนั้น ต่อไปหากวันวาเลนไทน์มาถึง เราก็ใช้วันนี้ให้เป็น ประโยชน์แก่ชีวิตของเราให้ได้ เพราะวันนี้ ทั้งคนแก่ และคนหนุ่มคนสาว จะได้มาเข้าวัดพร้อมกัน แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็จะไม่ต้องผิดหวังกับลูกๆ วัยรุ่นอีกต่อไป ถ้ารีบปลูกฝังความคิดมุมมองที่ถูกต้องอย่างที่แนะนำมา เสียตั้งแต่วันนี้"


นี่ก็เป็นข้อคิดที่พระอาจารย์ท่านเอามาเตือนสติในวันวาเลนไทน์

 

เรื่องเล่า...ของพี่ชายคนหนึ่ง
โดย ชัยภัทร ภัทรทิพากร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.025843751430511 Mins