อยู่คนเดียว หรือว่าแต่งงานดี ทางสองแพร่งของนิสิตหญิง
วันนี้ผมมีเรื่องของการมีแฟนในวัยเรียนมาฝาก น้องๆ ที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ขณะนี้ครับ ผม อยากให้ลองฟังความคิดของผมดูบ้าง เผื่อว่าจะได้ อะไรดี
เนื่องจากว่า ในช่วงนี้ ค่านิยมเรื่องการทดลองอยู่ด้วยกันก่อนแต่ง เข้ามามีอิทธิพลอย่างมากต่อหมู่นักศึกษาเหลือเกิน ทำให้หลายๆ คู่ก้าว เข้าคู่ประตูวิวาห์กันไปโดยที่พ่อกับแม่ทั้งสองฝ่ายไม่รับรู้ ซึ่งผมเห็นแล้ว ก็อดเป็นห่วงน้องๆ เหล่านั้นไม่ได้ และก็รู้สึกเห็นใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ ขึ้นมาอย่างจับใจเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้ ผมก็เคยคิดจะมีครอบครัว แต่พอผมเห็นอะไร หลายๆ อย่างในชีวิตมากเข้าแล้ว ผมจึงเชื่อว่า การอยู่คนเดียวมีความ สุขที่สุด
เพื่อนๆ ของผมหลายคนไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ก็เลยแต่งงานกันไป หลายคู่แล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีคู่ไหนไม่ทะเลาะกันสักคู่ สุดท้ายก็ต้องมาทน กัดฟันกรอดๆ ฮึ่มๆ กันทั้งวัน มีน้อยคู่เหลือเกินที่จะสวีทหวานเหมือน นํ้าตาลเรียกพี่ได้ทุกวัน
ส่วนอีกพวกหนึ่ง หลังจากที่ค้านผมว่า ไม่จริง มันก็เดินหน้าหาคู่ ชีวิตของมันต่อไป พอวันเวลาผ่านไปหลายปี อายุใกล้จะเลยเลข ๓๐ แล้ว ก็ยังไม่เจอคนในฝันสักที ตอนนี้ก็เลยชักจะไม่รอบคอบ เลือกผิดเลือกถูก หรือไม่ก็ไม่ทันดูให้ดี แล้วก็ไม่สนอะไรเท่าไหร่ สนใจแต่ว่าจะรีบแต่ง เพื่อแข่งกับวัยเท่านั้นเอง
ผมเห็นแล้วก็อดพิจารณาสังขารไม่ได้ พิจารณาเหมือนกับที่พระ ท่านพิจารณาผ้าบังสุกุลในงานศพนั่นแหละครับ ว่า
"อนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตตะวา นิรุตชันติ เตสัง วูปสโม สุโข"
แปลว่า สังขารทั้งหลายมีความไม่เที่ยงแท้ มีเกิดขึ้นและเสื่อมไป เป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ความสงบระงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข
ผู้หญิงส่วนใหญ่คิดจะแต่งงานก็เพราะรู้สึกว่า
ชีวิตขาดความมั่นคง พอมีผู้ชายสักคนที่
สอบผ่านเงื่อนไขชีวิตของตนเองเข้ามา และ
สามารถทำให้ตนเองรู้สึกมั่นคงได้ ก็เลยคว้า
ตัวเอาไว้เป็นสามี ไปยอมให้จากไปไหน
ทำไมผมถึงคิดเช่นนั้น
ก็เพราะว่าคนเราที่แต่งงานกันส่วนมากมันก็หลงเนื้อหนังมังสาของ สังขารนี่แหละ พอเสื่อมโทรมเมื่อไหร่ก็เบื่อกันอีก
ผมเห็นตรงนี้ ผมจึงได้ข้อคิดว่า
ชีวิตของลูกผู้หญิงนี่ น่าเห็นใจครับ
คือผู้หญิงส่วนใหญ่คิดจะแต่งงานก็เพราะรู้สึกว่า ชีวิตขาดความ มั่นคง พอมีผู้ชายสักคนที่สอบผ่านเงื่อนไขชีวิตของตนเองเข้ามา และ สามารถทำให้ตนเองรู้สึกมั่นคงได้ ก็เลยคว้าตัวเอาไว้เป็นสามี ไม่ยอมให้ จากไปไหน
พอแต่งงานไปแล้ว ผู้หญิงส่วนมากก็เตรียมอนาคตไว้ ๒ อย่าง คือถ้าไม่ได้เป็นภรรยาหลวง ก็ต้องเป็นภรรยาน้อย เพราะโดยมากผู้ชายที่สร้าง ภาพพจน์ว่าตัวเองดี หญิงสาวก็มักจะติดกับดักแทบทั้งนั้น แต่พอ แต่งงานไปแล้ว จึงได้รู้ว่า ชีวิตคู่ของตนมีคนมาก่อนมาหลังเสียแล้ว
คราวนี้ สมมติว่าถ้าได้ผู้ชายดีๆ สักคนมาเป็นสามีผู้จงรักภักดีต่อ ภรรยาของเขา คือเขาไม่คิดนอกใจไปมีใครอื่นล่ะ ก็ต้องมีลูกด้วยกัน
ผู้หญิงก่อนจะได้เป็นแม่คน ก็ต้องเจอความเสี่ยงอีก นั่นคือ ลูกที่ คลอดออกมา มี ๒ อย่าง ถ้าไม่ได้ลูกแข็งแรงปกติ ก็ได้ลูกพิกลพิการ
ถ้าได้ลูกแข็งแรงก็รอดตัวไปอีกระดับ แต่ถ้าได้ลูกพิการ ก็เตรียม เป็นคนรับใช้ลูกไปชาติหนึ่ง
เฮ้อ...ทุกข์จริงๆ น่าสงสาร เพราะถ้าเป็นแบบนี้ อนาคตของ ครอบครัวก็มีสองทาง
ทางแรก ชีวิตครอบครัวก็ค่อนข้างจะขาดความภูมิใจในลูกไปเยอะ โดยเฉพาะฝ่ายพ่อนั่นแหละเริ่มคิดจะหาทางออกแบบมีบ้านที่สองอีกแล้ว (เฉพาะบางบ้านนะครับ)
ทางที่สอง ถ้าบ้านไหน รักลูก คิดว่าเป็นบุญกรรมทำร่วมกันมา ตั้งใจ เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี เด็กก็มีสิทธิที่จะเติบโตมาสร้างความภูมิใจให้พ่อกับ แม่ได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ถ้าบ้านไหนไม่เจอปัญหาลูกพิการ ก็ถือว่าโชคดีไป
คราวนี้ สมมติว่า คุณแม่คลอดลูกที่ร่างกายแข็งแรงมาเลี้ยงต่อไปก็พบว่า คุณแม่คนใหม่จะต้องไปเจอผลการเลี้ยงออกมา ๓ แบบ คือ
๑. เลี้ยงลูกได้ดี ได้ลูกเป็นมหาบัณฑิต
๒. เลี้ยงแบบเข้าข้างลูกเมื่อทำผิด สุดท้ายเลยได้มหาโจร
ปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัวเกิดขี้นมาแล้ว
และถ้าบ้านไหนเคลียร์ตรงนี้ไม่ค่อยได้
สุดท้ายก็มักจะเกิดควานรู้สึกว่า มีฝ่ายหนึ่ง
ฝ่ายใดเอาเปรียบกัน ในที่สุด เมื่อหมดความ
อดทนกันไป ก็หย่าร้างทางใครทางมัน คนที่
รับเคราะห์ก็คือลูก
๓. เลี้ยงแบบสะเปะสะปะ ไม่มีความรู้ ก็เลยแล้วแต่บุญแต่กรรม ของลูก ซึ่งโดยมากจะหัวปานกลาง ปัญหาที่ตามมาก็คือ ถ้าได้ลูกประเภทมหาบัณฑิต ทรัพย์สมบัติของ พ่อแม่แม้จะน้อย แต่เขาก็สามารถบริหารให้งอกเงยรํ่ารวยเป็นมหา เศรษฐีขึ้นมาได้
แต่ถ้าได้ลูกมหาโจร ถึงพ่อแม่เป็นเศรษฐี เดี๋ยวม้นก็ผลาญสมบัติ เอาจนตระกูลล้มละลายจนได้
ถ้าได้ลูกหัวปานกลาง ก็ไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อยอย่างไร ในการ บริหารทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ท่ามกลางสังคมที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กแบบนี้
เท่านี้ยังไม่พอคร้บ สมมติว่าเลี้ยงลูกได้ดีล่ะ แต่ทว่ายิ่งเลี้ยงค่าใช้ จ่ายในครอบครัวก็เพิ่มขึ้น แต่เดิมกินแค่ปากเดียว ก็ไม่ค่อยจะพอ อุตส่าห์แต่งงานกะว่า สองปากจะช่วยมาหาเลี้ยงได้พอขึ้น กลับยิ่งไม่พอ เข้าไปใหญ่ แล้วยังมีปากที่สาม สี ห้า คือลูกเพิ่มมาอีก ๓ คน ปัญหา เศรษฐกิจในครอบครัวเกิดขึ้นมาแล้ว และถ้าบ้านไหนเคลียร์ตรงนี้ไม่ค่อยได้ สุดท้ายก็มักจะเกิดความรู้สึกว่า มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเอาเปรียบกัน ในที่สุด เมื่อหมดความอดทน ก็หย่าร้างกันไปทางใครทางมัน คนที่รับ เคราะห์ก็คือลูก
ส่วนมากฝ่ายผู้ชายก็ไปหาบ้านใหม่ ฝ่ายผู้หญิงก็หอบลูกไปเลี้ยงที่ บ้านแม่ของตนเอง
เมื่อมาถึงตรงนี้ฝ่ายหญิงจึงได้คิดว่าตอนแรกอยู่ลำพังตัวคนเดียว รู้สึกว่าชีวิตขาดความมั่นคง ก็เลยตัดสินใจมีคู่และแต่งงาน เพราะหวัง
จะได้ความมั่นคงจากฝ่ายชาย แต่เมื่อเหตุการณ์วันนี้เกิดขึ้นจึงได้รู้ว่า ความมั่นคงในชีวิต คือ การพึ่งตัวเองได้
"อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"
แต่ตอนนี้ก็มีลูกติดสอยห้อยตามมาอีก ๑-๓ คนแล้วไม่ใช่ตัวคน เดียวเหมือนแต่ก่อน ก็ต้องสู้กันต่อไป เพื่อสร้างฐานะความมั่นคงของ ครอบครัวด้วยตัวเองให้ได้ ผมก็ได้แต่ให้กำลังใจ และก็ได้แง่คิดมาว่า ถ้าแต่งงานไปแล้ว ถึงแม้จะมีเงินล้าน ก็ชื้อปัญหาครอบครัวพวกนี้ไม่ได้
เรื่องนี้จึงเป็นอุทาหรณ์เตือนสติน้องๆ นักคึกษาทั้งหลาย ที่กำลังจะ ทดลองอยู่ด้วยกันก่อนเวลาอันสมควร ถ้ามีปัญหาขึ้นมา มันไม่สนุกเลย ไหนจะการเรียนของเรา ไหนจะพ่อแม่ของเรา ไหนจะอนาคตของเรา พี่ขอเตือนว่า อย่าทำ รอให้ถึงเวลาก่อนดีกว่า เพราะชีวิตจริงๆ มันไม่ หวานเหมือนแรกรักตลอดไปหรอก
เพราะฉะนั้น พอได้ฟังเพลง "เป็นโสดทำไม อยู่ไปก็เศร้าเหงาทรวง ไม่คิดจะหาคู่ควง..." (ร้องว่าไงต่อ จำไม่ได้) ผมก็ให้นึกตลกไม่ได้ว่า ใคร จะแต่งงานก็แต่งไปเถิด อยู่แบบนี้ดีกว่า สบายใจ ไปไหนก็คล่องตัวดี ไม่ต้องมีปัญหาครอบครัวให้ปวดหัว ไม่ต้องรับผิดชอบใคร แค่ดูแลพ่อ กับแม่ก็หมดเวลาแล้ว แถมมีเงินร้อยก็ได้ใช้ร้อย มีเงินพันก็ได้ใช้พัน แล้วมันก็สบายใจกว่ากันเยอะเลย จะคิดอ่านอะไร ก็ไม่ไปติดไปตันอยู่ที่ การมีครอบครัว เลยทำให้มองโลกไปได้กว้างไกล อิสระในความคิดกว่า คนอื่นๆ อีกเยอะเลยทีเดียว
เรื่องเล่า...ของพี่ชายคนหนึ่ง
โดย ชัยภัทร ภัทรทิพากร