นินทากาเล
ผมมารู้จักความเจ็บแสบของการนินทาลับหลัง ว่ามันแย่ขนาดไหน ก็ตอนมาเรียนอยู่มหาวิทยาลัย นั่นเอง
เรื่องก็มีอยู่ว่า พอผมรู้ตัวว่ากำลังถูกนินทา ผมก็เลยใช้วิธีด่าคืนไปบ้าง ทำอย่างนี้บ่อยๆ
ผลสุดท้ายก็คือได้นิสัยไม่ดีมา กว่าจะแก้นิสัยพูดไม่เพราะได้นี่ หมดเวลาไปหลายปี ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนพูดเพราะ
คราวนี้ ผมก็อดย้อนมาห่วงน้องๆ ทั้งหลาย ไม่ได้ว่า ถ้าไปเจอ การนินทาว่าร้ายเข้า จะรับมืออย่างไรกันดี เพราะถ้าใช้วิธีด่ากลับแบบที่ผมเคยพลาดมา เดี๋ยวก็ต้องมานั่งแก้นิสัยพูดไม่เพราะแบบผมอีก อาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ผมเคารพรัก ท่านผ่านโลกมามากกว่า ท่าน แนะนำว่า
ไอ้หนูเอ๊ย..นินทากาเลเหมือนเทนํ้า คงไม่ชอกชํ้าเหมือนเอามีด มากรีดหิน เรื่องนินทากันเป็นเรื่องธรรมดาๆ ก็เราเองบางทียังนินทาชาวบ้านเลย ระวังคำพูดของเราก็แล้วกัน เวลาเขาเอาเรื่องคนโน้นคนนี้ที่ว่า เรามาฟ้อง จริงไม่จริงยังไม่รู้เลย เขาอาจจะฟังมาผิดๆ ก็ได้ พอเราพูดผางกลับไปด้วยความโกรธ เขาก็เลยเอาคำพูดที่เราพูด ไปบอกคนโน้น คราวนี้ล่ะ เราปฏิเสธไม่ได้ เพราะเราพูดจริง พูดหยาบกว่าด้วย เพราะเราโกรธ ทางโน้นเลยแล่นมาซัดเราเข้าให้ กลายเป็นเรื่องลุกลามใหญ่โต เลยทีนี้
เพราะฉะนั้น อย่าไปถือสาอะไรกับลมปาก ที่เราพูดกัน นี่มันลมนะ โกรธไปก็แค่โกรธลม โกรธแล้งแค่นั้น ทำหูทวนลมเสียบ้าง หรือหัดทำใจให้หนักแน่นเหมือนขุนเขาเสียบ้าง เหมือนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ว่า
สโล ยถา เอกฆโน วาเตน ณ สมีรติ
เอวํ นินฺทาปสํสาสุ น สมมิชนฺติ ปณฺฑิตา.
ภูเขาศิลาล้วน เป็นแท่งเดียว ย่อมไม่สะเทือน ด้วยแรงลมฉันใด บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมไม่เอนเอียงเพราะคำนินทาและสรรเสริญ ฉันนั้น
อย่าไปถือสาอะไรกับลมปาก ที่เราพูดกับนี่ บันลบนะ โกรธไปก็แค่โกรธลบโกรธแล้งแค่นั้น ทำหูทวนลมเสียบ้าง หรือหัดทำใจให้ หนักแน่นเหมือนขุนเขาเสียบ้าง
คนเราถ้าจะอยู่ในสังคมให้เป็นสุขได้ และพอจะหาความเจริญ ก้าวหน้าให้กับตัวเองได้ คุณสมบัติพื้นฐานขั้นตํ่าสุดของเขาเลยคือ
๑. ควบคุมตัวเองได้
๒. ไม่จับผิดใคร
๓. ช่วยตัวเองได้
ถ้าจะพูดในเชิงปฏิเสธก็คือไม่ต้องพึ่งใครสามารถยืนอยู่ด้วยขาของ ตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองได้ ถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ อยากจะทำอะไรก็ทำ ในที่สุดการกระทำนั้นจะกลับมาทำลายตัวเอง แล้วก่อความเดือดร้อน ให้ผู้อื่นด้วย
ถ้าไม่จับผิดใครก็แล้วไป แต่ถ้าไปจับผิดผู้อื่นเข้า ก็จะยิ่งวุ่นวาย หนักขึ้น เพราะความหลงตัวเองว่าวิเศษ จะไปทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน
ถูกข่มเหงถูกเบียดเบียน ถูกจับผิด
การช่วยเหลือตัวเองจึงสำคัญ ถ้าช่วยตัวเองไม่ได้ก็เป็นกาฝาก เป็นภาระแก่สังคม บ้านเมืองเราเดี๋ยวนี้มีคนประเภทชอบจับผิด ชอบแซวคนอื่นมากเหลือเกิน ตื่นเช้าออกจากบ้านเจอรถติด ถ่ายไม่ออก กินข้าวไม่ลง ก็โทษรัฐบาล โทษสิ่งแวดล้อม โทษชาวบ้าน ในโลกนี่ไม่มีใครดี เห็นดีอยู่คนเดียว คือตัวเอง
นี่คือสาเหตุแห่งความเดือดร้อนของคนทั้งโลก เกิดขึ้นเพราะคน ที่มีลักษณะอย่างนี้ใครเข้ามาเป็นรัฐบาลก็แทบตายทั้งนั้น
ถ้าคนในสังคมไทยควบคุมตัวเองได้ ไม่จับผิดใคร แล้วก็ช่วยเหลือตัวเองได้ ความสงบความสุขก็เกิดขึ้นมาได้
สังคมไทยหรือสังคมชาวพุทธตั้งแต่โบราณมา เป็นสังคมที่ตั้ง อยู่บนพื้นฐานของการควบคุมตัวเองได้ ไม่ชอบจับผิดใคร และช่วย เหลือตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งใคร บ้านเมืองเราจึงสงบร่มเย็น ได้รับการ ขนานนามว่า สยามเมืองยิ้ม มานานแสนนาน แต่ว่าตอนนี้ชัก จะยิ้มกัน
ไม่ออกแล้ว
ก็ขอเตือนว่า ต่างคนต่างต้องหันกลับมาสำรวจตัวเองแล้วว่า เราสามารถรักษาคุณสมบัติพื้นฐาน ขั้นต่ำสุดชองชาวพุทธได้มากน้อยแค่
ไหน ถ้าน้อยไปหรือขาดไปก็ต้องรีบแกัไข
อีกประการหนึ่งเมื่ออายุมากเป็นใหญ่ขึ้น สิ่งที่ควรจะคิดก็คือเรา เหมือนไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ความดีอะไรยังไม่ได้ทำ ควรรีบทำ ความเสียหาย อะไรที่สำรวจดูแล้วมีอยู่ในตัวเราที่จะต้องแก้ไข ต้องรีบแกัไข จะได้
บ้านเมืองเราเดี๋ยวนี้มีคนประเภทชอบจับผิด ชอบแซวคนอื่นมากเหลือเกิน ตื่นเช้าออก จากบ้านเจอรถติด ก็โทษรัฐบาล ถ่ายไม่ออก กินข้าวไม่ลง ก็โทษรัฐบาล โทษสิ่งแวดล้อม โทษชาวบ้าน ในโลกนี้ไม่มีใครดี เห็นดีอยู่คน เดียว คือตัวเอง
เป็นต้นแบบที่ดีแก่เด็กที่เกิดมาในรุ่นหลัง ให้เขาได้อยู่ในบ้าน เมืองที่ สงบสุขตลอดไป"
และนี่ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์ให้ข้อคิดแก่ผมในเรื่องของการไม่สนใจต่อ คำนินทา และเอาเวลาไปฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นคนมีคุณภาพของ ประเทศดีกว่าอย่างอื่นทั้งหมด
เรื่องเล่า...ของพี่ชายคนหนึ่ง
โดย ชัยภัทร ภัทรทิพากร