หลุมพรางสำหรับนักศึกษา

วันที่ 18 มค. พ.ศ.2564

หลุมพรางสำหรับนักศึกษา

640119_b.jpg


             สำหรับเรื่องนี้ ผมอาจจะพูดอะไรล่วงหน้าชีวิต น้องๆ ไปสักนิดหนึ่ง ก็ทนๆ ฟังหน่อยแล้วกันนะครับ เรื่องก็มีอยู่ว่า ด้วยความที่มาเรียนอยู่ห่างไกลจาก สายตาของคุณพ่อคุณแม่ บวกกับความเข้าใจว่าตัว เองเป็นผู้ใหญ่แล้ว เลยทำให้รุ่นน้องๆ ของผม หลายคนทำอะไรผิดพลาดไปมากอย่างน่าเป็นห่วง

 

            ทั้งๆ ที่เมื่อตอนรับน้องใหม่ ผมก็พยายามบอกพวกเขาบ่อยๆ ว่า "วันแรกที่พวกเราเข้ามาเรียน มีอยู่ด้วยกันเท่าไหร่ วันสุดท้ายที่ เรียนจบ ก็ต้องขึ้นไปรับริญญาจำนวนเท่านั้น"

 

            แต่ความเป็นจริงคือ ไม่มีน้องๆ รุ่นไหนของผมเลย ที่เรียนจบได้ ครบถ้วนตามจำนวนที่มีในรุ่น ผมจึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า "อะไรทำให้พวก เขาเรียนไม่จบ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนโง่"

 

           แม้จะเรียนจบไปแล้ว แต่ผมก็เฝ้าทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายปี จน กระทั่งวันหนึ่ง ผมได้ไปอ่านหนังสือธรรมวิภาค สำหรับพระภิกษุใช้สอบ นักธรรมตรี ผมจึงได้ข้อสรุปเรื่องนี้ว่า สาเหตุที่ทำให้เรียนไม่จบ ทั้งที่สติ ปัญญาดี ก็เพราะไปตกหลุมพรางอยู่ ๔ หลุมใหญ่ด้วยกัน คือ


           ๑) ไม่ฟังคำทั่งสอนของครูอาจารย์
           ๒) ไม่รู้จักประมาณในการใช้จ่าย
           ๓) จมอยู่ในอบายมุข
           ๔) หมกมุ่นอยู่ในเรื่องรักใคร่

 

หลุมพรางที่ ๑ ไม่ฬงคำสั่งสอนของครูอาจารย์

 

            น้องๆ ของผมหลายคนที่โดนรีไทร์ออกไป ก็เพราะไม่ฟังคำสั่งสอน ของครูอาจารย์

 

            สาเหตุของเรื่องนี้มีหลายอย่าง เช่น พวกหนึ่งขาดความเคารพครู อาจารย์ ชอบดูถูกครู ใจเลยบอด ปิดใจไม่รับวิชาความรู้ของครู

 

            บางพวกเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ทางบ้านปล่อยให้ทำอะไรตามใจ ตัวเองจนเคย พอเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่อยากเรียนวิชาไหน หนี เรียนได้ก็หนี แต่ถ้าหนีไม่ได้ ก็มานั่งจับผิดอาจารย์ฆ่าเวลาเสียนี่

 

            คนเราพอขาดความเคารพในอาจารย์แล้ว วิชาความรู้ที่อาจารย์ สอนในห้องมีมากเท่าไหร่ ก็เลยไม่สนใจ เพราะมัวแต่จับผิดอาจารย์ พอเรียนจบชั่วโมง คนอื่นได้วิชาความรู้ แต่เจ้านี่กลายเป็นคนขี้จับผิดเสียแล้ว

 

            ความจริงแล้ว เราควรจะจับประเด็นให้ถูกว่า เราเข้ามาเรียนใน มหาวิทยาลัยเพื่ออะไร

            คำตอบ คือ เพื่อต้องการความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมใน การใช้ประกอบอาชีพตามคณะวิชาที่ตัวเรียน

            แล้วถ้าเรามานั่งจับผิดอาจารย์ เราจะได้ความรู้หรือไม่ ? ไม่ได้ แล้วเราจะได้อะไร ? ได้นิสัยว่า เข้าไปตรงไหน จะต้องจับผิดคน อื่นทันที

 

            คนเรา ถ้าขนาดอาจารย์เข้ามาให้ความรู้แก่ตนเองแท้ๆ ยังมัวมา นั่งจับผิดกันได้ ก็คงยากจะทำอะไรสำเร็จ เพราะมองไม่เห็นความดีของ ผู้อื่นเสียแล้ว เมื่อติคนอื่นเอาไว้มาก ตัวเองจะไม่กล้าทำอะไร เพราะกลัว เขาจะติคืนบ้าง ผลสุดท้ายก็คือทำไม่เป็น

 

           ในการเรียนมหาวิทยาลัยนั้น อย่างที่ได้เคยพูดไว้แล้วว่าครูอาจารย์ ท่านอยู่ด้วยกัน ๔ แบบ โดยจะมีอยู่ ๓ แบบเท่านั้นที่ให้ความรู้ เราได้แต่ละแบบ เราก็ต้องมีวิธีที่จะรับความรู้จากท่าน ซึ่งผมขออนุญาต เล่าทบทวนอีกรอบ คือ

 

          ๑) บางท่านแนะดี แต่นำไม่ดี คือ สอนในชั่วโมงเรียนดี แต่ความ ประพฤติส่วนตัวไม่ดี เช่น ท่านชอบชวนกินเหล้า ถ้าได้เรียน กับอาจารย์ลักษณะนี้ ก็ต้องรับเอามาเฉพาะความรู้ของท่าน แต่อย่าไปรับเอานิสัยของท่านมา


           ๒) บางท่านนำดี แต่แนะไม่ดี คือ ความประพฤติดี มีความรู้ดี แต่สอนในชั่วโมงไม่ดี ถ้าได้เรียนกับอาจารย์ลักษณะนี้ ต้อง รีบเข้าหา เพราะการได้อยูใกล้ท่าน จะทำให้เราได้นิสัยที่ดีๆ ติดมา แล้วก็หาโอกาสซักถามให้เป็น ถามให้น่าตอบ ถาม ด้วยความเคารพ แล้วเราก็จะได้ความรู้แบบพิเศษๆ ที่นอก เหนือจากห้องเรียน

 

           ๓) บางท่านแนะดี และนำดี คึอ นอกจากท่านจะมีความรู้ดี มี ความสามารถในการสอนแล้ว นอกเวลาสอน ท่านก็ยังมี ความประพฤติดีด้วย เช่น ท่านไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ท่านหมั่นค้นคว้าศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ เพี่อมา ปรับปรุงการสอน เพี่อหาทางฝึกลูกศิษย์ของท่านให้เก่งๆ เสมอ ถ้าเจอครูอาจารย์อย่างนี้ต้องตั้งใจเรียนให้เต็มที่นอกเวลาเรียน หากมีอะไรที่พอจะช่วยท่านได้ ให้รีบอาสาไปช่วยท่านทำ แล้วจะได้วิชาความรู้แบบพิเศษ ชนิดที่ประหยัดเวลาเล่า เรียนเขียนอ่านไปได้หลายปีทีเดียว

 

            ถ้าน้องๆ หลายๆ คนของผมสามารถแยกประเภทครูอาจารย์ได้แต่ แรกอย่างนี้ ก็คงจะไม่ถูกรีไทร์กันเป็นทิวแถว นี่คือหลุมพรางแรกที่นักคึกษาจะต้องระวัง คือ ขาดความเคารพครูอาจารย์

 

             เพราะฉะนั้น เมื่อทราบแล้วก็ต้องหาครูดีให้เจอ ฟังคำครู ตรองตาม คำครู และทำตามคำครู จึงจะได้มีความรู้เหมือนครูยังไงล่ะครับ

 

หลุมพรางที่ ๒ ไปรู้จักประมาณในการใช้จ่าย

 

             สำหรับน้องๆ นิสิตนักคึกษาใหม่ส่วนมาก ที่พึ่งสอบเข้ามาเรียน ในมหาวิทยาลัย นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ต้องรับผิดชอบเงินก้อนโตเดือนละ

 

             บางพวกเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ทางบ้าน

             ปล่อยให้ทำอะไรตามใจตัวเองจนเคย พอเข้า

             มาเรียนในมหาวิทยาลัย ไม่อยากเรียนวิชาไหน

             หนีเรียนได้ก็หนี แต่ถ้าหนีไม่ได้ ก็มานั่งจับผิด

             อาจารย์ฆ่าเวลาเสียนี่

 

            หลายพันบาทด้วยตนเอง ทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่าเดินทาง และค่าเล่าเรียน

 

            น้องๆ ของผมหลายคนที่ทางบ้านปลูกฝังวินัยเรื่องการใช้เงินมาดี ก็สามารถบริหารเงินเดือนของตัวเองได้ดี แถมยังมีเหลือเก็บไว้ใน ธนาคารอีกด้วย ก่อนจะเรียนจบก็มีทุนเก็บเอาไว้สำหรับอนาคตอยู่หลาย หมื่นบาท

 

             ขณะที่น้องๆ ของผมอีกส่วนมาก กลับล้มเหลวทางด้านการเงิน บางคนได้เงินเดือนจากทางบ้าน มากถึงหมื่นบาทต่อเดือนก็จริงอยู่ แต่ ด้วยความที่ทางบ้านไม่เข้มงวดกวดขันเรื่องวินัยการใช้เงิน เด็กจึงใช้เงิน ตามใจชอบ เช่น เห็นอะไรสนุกคะนองอยากลอง ก็ซื้อมาลอง นึกอยาก ไปเที่ยวกลางคืน ไปกินเหล้าเมายา ก็ไป อยากได้แฟชั่นอะไรแพงๆ ก็ซื้อ เพื่อมาอวดเพื่อน อยากให้เพื่อนชื่นชมว่ามีรสนิยมวิไล ก็ลงทุนใช้เงินทำ ทุกอย่างดังนั้นยังไม่ทันสิ้นเดือนเงินก็หมดลงต้องกู้หนี้ยืมสินจากเพื่อนฝูง ในที่สุด จึงกลายเป็นนักหมุนเงิน คือยืมคนนั้น เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้คนนี้ เพื่อวันหลังจะได้กลับมายืมคนนี้ เพื่อไปใช้หนี้คนโน้น กว่าจะเรียนจบก็ มีหนี้สะสมอยู่หลายหมื่น

 

              ใครก็ตามที่ล้มเหลวทางการบริหารเงินตั้งแต่ยังเรียนไม่จบอย่างนี้ ก็ทำนายอนาคตได้ว่า เขายากจะตั้งหลักตั้งฐานได้สำเร็จ

               ทำอย่างไรจึงจะบริหารการเงินในขณะเรียนหนังสือได้ดี ?

              คำตอบ ก็คือ แยกแยะให้ได้ว่า อะไรคือความจำเป็น อะไรคือความ ต้องการ


              จำเป็น คือ ขาดไม่ได้ ขาดแล้วตาย ได้แก่ ที่พัก อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค

              ต้องการ คือ มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร ได้แก่ สิงที่นอกเหนือจาก ปัจจัย ๔

 

              การจะใช้เงินแต่ละครั้ง ต้องคิดแล้วคิดอีกว่า นั่นคือความจำเป็น หรือความต้องการ
             เราจ่ายเงินออกไปแล้วจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ชื้อมาคุ้มค่าหรือไม่ การเข้มงวดกวดขันวินัยการใช้เงินของตัวเอง จึงเป็นสิงที่น้องๆ ควรทำ โดยฝึกให้วางแผนการใช้จ่ายด้วยการแบ่งงบประมาณเป็น ๔ ส่วน คือ

 

             ๑) แบ่งเก็บสะสมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าอุปกรณ์การเรียนที่ราคาแพง


             ๒) แบ่งเอาไว้ใช้จ่ายเป็นค่าปัจจัย ๔ในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเสือผ้า

 

             ๓) แบ่งเอาไว้เป็นค่าเล่าเรียนประจำปีการศึกษา เพื่อแบ่งเบา ภาระของพ่อแม่


             ๔) แบ่งเอาไว้ทำบุญ เช่น สงเคราะห์เพื่อนที่เดือดร้อน ถ้าใครก็ตามจัดระเบียบการเงินของตนเองได้อย่างนี้จะมีเงินเหลือ เก็บ และสามารถใช้เป็นทุนในอนาคตยามที่เรียนจบไปทำงาน และยากที่ จะไปตกหลุมพรางของความสุรุ่ยสุร่าย

 

หลุ่มพรางที่ ๓ จมอยู่ในอบายมุข

 

              ปัจจุบัน อบายมุขเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายในมหาวิทยาลัย เดิมทีก่อนผม จะมาเรียนในมหาวิทยาลัยนั้น ผมเข้าใจว่า เรื่องสุรายาเสพติด การเที่ยว ผู้หญิง การเที่ยวกลางคืน การพนัน คงจะไม่มีในมหาวิทยาลัย แต่ที่ไหนได้ ตอนที่จมอยู่กับอบายมุขอย่างมากที่สุด ก็ตอนอยู่ในมหาวิทยาลัยนี่ แหละ และเจ้าอบายมุขนี่เอง ที่ไปทำลายความฉลาดของปัญญาชน ระดับประเทศ จนบางครั้ง ผมอดคิดไม่ได้ว่า มหาวิทยาลัยคืออะไรกันแน่

 

              อบายมุขทั้งหมดมาจากเพื่อนชั่ว น้องๆ ของผมหลายคน ตอน ก่อนเช้ามหาวิทยาลัยเล่นไพ่ก็ไม่เป็น เล่นสนุ้กเกอร์ก็ไม่เป็น กินเหล้าก็ ไม่เป็น เที่ยวผู้หญิงก็ไม่เป็น แต่พอไบ่คบเพื่อนชั่วเข้าเท่านั้น พอเรียน ผ่านไปปีเดียว เล่นเป็นหมดทุกอย่าง แถมตอนหลังยังเป็นตัวตั้งตัวตีใน เรื่องอบายมุขต่างๆ เองด้วย

 

              ผลสุดท้าย เดิมทีคุณพ่อคุณแม่ส่งลูกมาเรียนหนังสือ หวังจะได้ เห็นใบปริญญาของลูก แต่ปรากฏว่า ได้ลูกขี้เมา ได้ลูกโกหกเก่งมาแทน ได้ลูกเป็นโรคเอดส์ แถมยังโดนให้ออกกลางทางเสียอีก

 

              ถ้าหากเราไม่อยากให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ มีทางเดียวคือ ใครก็ตาม ที่ชวนเราไปยุ่งกับอบายมุข ให้รู้ไว้ว่าคนๆนั้นคือ "เพื่อนชั่ว" กำลังชักชวน เราไปวิบัติเสียหาย ให้รีบออกห่างให้ไกล อย่าได้ไปคบค้าสมาคมด้วย เดี๋ยวจะติดเชื้อพาเพื่อนดีๆ ไปจมอบายมุขโดยไม่รู้ตัว

 

เรื่องที่ ๔ หมกมุ่นในเรื่องรักใคร่ 

 

                 ความจริงแล้ว วัตถุประสงค์หลักของการเข้ามาเรียนใน มหาวิทยาลัย คือ การเรียนหนังสือ แต่ก็มีน้องๆ ของผมหลายคน ต้อง เสียคนไปเพราะเรื่องหมกมุ่นในความรัก ซึ่งพอไปยุ่งกับเรื่องนี้แล้ว ยากที่จะมีสมาธิเรื่องการเรียน ไม่ว่าจะสมหวัง หรือผิดหวัง ก็เครียดเหมือนกัน เพราะจริงๆ แล้ว ช่วงนี้ยังไมใช่ช่วงที่จะต้องเร่งรีบแสวงหาคู่ครอง แล้วต่างก็ยังต้องขอเงินพ่อแม่ทั้งคู่ แล้วก็ยากต่อการจะห้ามใจไม่ให้ เลยเถิด หรือหาทางออกที่ถูกต้องในเรื่องความเครียดอันเกิดจากรัก

 

                  ๑ พวกที่ผิดหวัง บางคนถึงขั้นประชดชีวิตจะฆ่าตัวตาย บางคนเครียดถึงขั้นมีอาการทางประสาท บางคนกลัดกลุ้มหนัก ก็ไปดักฉุดเขาเอาดื้อๆ บางคนหาทางออกด้วยการไปหลอกคนอื่น ล้างแค้น ชดเชยกับที่ตนเองเจ็บปวด บางคนเป็นสิงห์ขี้เมา ขี้ยาไปเลย ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เป็นการทำร้ายตัวเอง และปิดฉาก อนาคตตนเอง อย่างไม่สมควร เพราะจริงๆ แล้ว หน้าที่ของ ตัวเอง คือ เรียนหนังสือ แต่ว่าไม่เรียนไปคิดจะหาคู่ครองเสียนี่ สุดท้ายคนที่บอบชํ้าที่สุด ก็คือ ตัวเอง และคนที่น่าสงสารที่สุดก็คือ พ่อแม่ ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่า เราเลี้ยงลูกอย่างไร ลูกของเราถึงได้หาทางออกให้กับปัญหาความรักไม่สมหวังอย่างนี้

 

                   ๒) พวกที่สมหวังบางคนนึกว่ามีแฟนจะทำให้เกิดกำลังใจ ส่งเสริม

                   พ่อแม่ต้องสอนเรื่องการเลือกคู่ไว้ด้วยว่า

                   การหาสามี หรือหากรรยาให้ตัวเองนั้น

                   ไปใช่เรื่องยาก แต่หาพ่อหรือแม่ที่ดี

                   ประพฤติดี เป็นต้นแบบของลูกตัวเองได้

                   เป็น เรื่องยาก

 

                 การเรียนให้ดีไปด้วยกันแต่จริงๆ แล้วก็เปล่า เพราะยังเด็กทั้งคู่ ยังเอาแต่ใจตัวเองกันทั้งคู่ เลยมีลักษณะตามหึงตามหวงกัน ไม่สิ้นสุด แล้วก็เลยหาทางที่จะผูกมัดกันด้วยแบบความคิด เด็กๆ คือ ฝ่ายหญิงก็ยอมจะมีเพศสัมพันธ์ด้วย เพราะคิดว่า แฟนจะร้บผิดชอบ ส่วนฝ่ายชาย ก็กลัวว่าจะสูญเสียเขาไป ก็หาทางที่จะเป็นเจ้าของร่างกายฝ่ายหญิงให้ได้ แม้แต่ใช้ ยาสลบก็เอา

 

               ครั้นเมื่อต่างฝ่ายก็หาทางออกกันอย่างนี้แล้วก็กลายเป็นสามีภรรยา กันตั้งแต่ยังเป็นนิสิตนักศึกษา มันสมองที่จะคิดถึงการตอบแทน พระคุณพ่อแม่ก็เลยถูกทำลายไป เงินแต่ละเดือนที่พ่อแม่ให้มา ก็เอามารวมเป็นกระเป๋าเดียวกันบ้างพยายามจะสร้างครอบครัวในหอพักนักศึกษา เพราะพื้นที่ใจช่วงนี้ มีแต่วิมานรักสีชมพู แต่ทว่าก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะ ต่างคนก็ต่างอ่อนเยาว์กันทั้งคู่ ยังไม่เคยรับผิดชอบตนเองอย่างเต็มตัว

 

              แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของการหาคู่ในวัยนี้นั้น ห้ามยาก เพราะ อยู่ในวัยที่ฮอร์โมนเพศทำงานเต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้อง เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงในเรื่องนี้

 

             ถ้ามีลูกผู้หญิงก็ต้องสอนวิธีประคับประคองตัวสอนให้ลูกรู้จักการ รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองก่อน เพราะการสร้างครอบครัวไม่จำเป็น ต้องรีบเร่งในช่วงนี้ เรียนให้จบก่อนก็ไม่เสียหาย หากมีใครเข้ามาจีบ ก็ อย่าไปกลัวว่าจะไม่มีคู่ แล้วก็อย่าไปทอดสะพานให้ใคร อย่าให้ความ หวังใคร อย่าหลอกใคร เพราะลูกจะได้รับอันตราย ถ้าเขาผิดหวัง หรือ บางทีลูกก็อาจจะกลายเป็นสาเหตุให้เขาประชดชีวิต ควรแสดงจุดยืนให้ ชัดว่า ต้องการทำหน้าที่เรียนหนังสือให้ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว อย่างอื่น
ยังไม่พร้อมจะคิดตอนนี้

 

            ส่วนลูกผู้ชาย ก็ต้องสอนให้ลูกรู้จักหน้าที่หลักของตนเองคือการ เรียน เพราะถ้าเขาเรียนไม่จบ จะมีผลถึงอนาคตของเขาเอง ไม่ว่าจะ สมหวังหรือผิดหวังถ้าพลาดพลั้งไป ก็จะเจ็บตัวอย่างหนัก เพราะ ยังไม่สามารถรับผิดชอบตนเองได้

 

            ถ้าลูกชายคิดจะมีแฟนจริงๆ ห้ามไม่อยู่ ก็ต้องมีเงื่อนไขว่า ในวัน เสาร์อาทิตย์ ก็ต้องรีบกลับมาช่วยกันรับผิดชอบงานของพ่อแม่ คือช่วย พ่อแม่หาเงินค่าเล่าเรียนของตัวเองให้เพียงพอไปตลอดจนกระทั่งเรียน จบก่อน ส่วนที่หาเงินได้เกินจากนั้น จึงเป็นเงินที่จะไปใช้หาคู่ เพราะว่า พ่อกับแม่มีหน้าที่หาเงินให้เฉพาะค่าเล่าเรียน ค่ากิน ค่าที่อยู่ของลูก แต่ ไม่มีหน้าที่ส่งเงินให้ลูกไปจีบผู้หญิง ชื้อเหล้า ชื้อเบียร์มาสังสรรค์กัน

 

             อีกอย่างหนึ่งก็คือ พ่อแม่ต้องสอนเรื่องการเลือกคู่ไว้ด้วยว่า การ หาสามี หรือหาภรรยาให้ตัวเองนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หาพ่อหรือแม่ที่ดี มีความประพฤติดี เป็นต้นแบบของลูกตัวเองได้ เป็นเรื่องยาก ถ้าไปเจอ คนประเภทที่ไม่เชื่อว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีความรับผิดชอบหน้าที่ การเรียนของตัวเอง และทำอะไรไม่นึกถึงความรู้สึกของพ่อแม่ตัวเองล่ะก็ อย่าเลือกมาเป็นแฟนเด็ดขาด เพราะว่าถึงเราจะทำดีขนาดไหน ก็คงไม่ เกินพ่อแม่ของเขา ถ้าเลือกเอามาเป็นแฟน ก็มีแต่ปัญหาความแตกแยก ทะเลาะเบาะแว้งตลอดชีวิตเป็นแน่ เพราะฉะนั้น อยู่คนเดียวไปก่อนดีกว่า สบายดี ไม่เครียด ไม่ต้องหึง ต้องหวง เรียนได้เต็มที่ ดูแลพ่อแม่ได้เต็มที่ และไม่เปลืองเงิน

 

             เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เรื่องของความรักนี้ ไม่ว่าจะสมหวัง หรือผิดหวัง หากไปยุ่งในวัยเรียนนี้เข้า มีแต่เครียดกับเครียด เพราะ ไม่ใช่หน้าที่หลักของการเป็นนักศึกษานั่นเอง ซึ่งเรื่องนี้ ผมคิดว่า คุณพ่อ คุณแม่ก็ต้องเป็นพี่เลี้ยง ส่วนคุณลูก ก็อย่ารีบร้อน คิดจะทำอะไรในเรื่องนี้ ก็ต้องปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ เพราะท่านมีประสบการณ์มากกว่าเรา มิฉะนั้น ถ้าเราเอาตัวไปทุ่ม เอาเวลาไปทุ่ม เอาเงินไปทุ่ม ไปหมกมุ่นกับมันมาก ผลสุดท้าย จะหมดอนาคตทั้งตัวเอง แล้วก็บอบชํ้ามาถึงพ่อแม่

 

            สุดท้ายนี้ผมขอจบเรื่องหลุมพรางสำหรับนักศึกษาด้วยข้อคิดที่มอง เห็นโทษของการตกลงไปในหลุมพรางทั้ง ๔ ว่า คงไม่ดีแน่ ถ้าชีวิตนี้ตัอง ผิดพลาด เรียนไม่จบ ติดหนี้สิน ติดโรคร้าย ได้สามีหรือภรรยาที่ยังหา เลี้ยงตัวเองไม่ได้ และได้ลูกที่ไม่ตั้งใจจะให้เกิด หรือต้องไปทำแท้ง อย่างที่เป็นๆ กันอยู่ในสังคมขณะนี้ขอให้น้องๆ ทุกคนดูแลตัวเองให้ดี ด้วย อย่างน้อยก็ทำเพื่อตัวเองคร้บ

 

เรื่องเล่า...ของพี่ชายคนหนึ่ง
โดย ชัยภัทร ภัทรทิพากร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.031152268250783 Mins