ดื่มเหล้ารับน้องทำ ลายสมองของชาติ
ช่วงนี้ เปิดเทอมใหม่ ทุกสถาบันจึงอยู่ในฤดูกาลรับ น้องใหม่ ผมเองในฐานะที่เคยเป็นรุ่นพี่รับน้องใหม่ กับเขามาก่อน ก็มีข้อเตือนใจมาฝากทั้งรุ่นพี่และ น้องใหม่ในวันนี้ นั่นก็คือ "การรับน้องใหม่ด้วย อบายมุขจากใจรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง"
อบายมุขทำลายสมองของชาติ
อบายมุข แปลว่า โฉมหน้าแห่งความวิบัติ เสียหาย
การรับน้องด้วยอบายมุข ก็เท่ากับว่า รุ่นพี่เอาความวิบัติเสียหาย จากใจมามอบให้แก่รุ่นน้อง
ทำไมผมจึงกล้าพูดเช่นนี้ครับ
นั่นเพราะว่า ผมเองจบจากมหาวิทยาลัยมาเกือบสิบปีแล้ว มอง เห็นอะไรในโลกใบนี้ มากกว่าตอนใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย แล้วก็พบว่า เพี่อนๆ และน้องๆ ของผมหลายคน ที่ก่อนหน้ามารับน้อง บางคนเป็น เด็กเก่ง มีผลการเรียนดีอยู่ในระดับจังหวัด บางคนเคยสอบได้อันดับ หนึ่งของการตอบปัญหาทางวิชาการของประเทศ
และที่สำคัญ ก่อนที่เขาจะเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยนั้น พื้นฐานครอบครัวก็ดีมาก ไม่เคยข้องเกี่ยวข้องกับอบายมุขมาก่อนเลย แต่พอ เจอการรับน้องใหม่ในมหาวิทยาลัยเข้าไป รุ่นพี่ทั้งประเคน ทั้งอาบอบายมุขเข้าให้ มีตั้งแต่สุรา นารี พาชี กีฬาบัตร มันสมองแห่งความฉลาด ก็เลยถูกแทนที่ด้วยอบายมุข
ตั้งแต่ปีหนึ่งจนปีสุดท้าย จึงมีสภาพแช่อยู่ในอบายมุข แล้วพอ ทุลักทุเลเรียนจบไป ผลสุดท้าย หน้าที่การงานก็พังเพราะอบายมุข
พอไปมีครอบครัวเข้า ครอบครัวก็แตกแยกเพราะอบายมุข
สาเหตุใหญ่ก็มิใช่อื่นไกล เขาพังทั้งชีวิต เพราะเหล้าแก้วแรกที่รุ่น พี่ประเคนให้ดื่มเมื่อวันรับน้อง
เหล้าแก้วแรกเมื่อตอนรับน้องปี ๑ คือจุดเริ่มต้นให้กับเหล้าแก้วๆ ต่อไปตลอดชีวิต
เพราะผมไม่อาจทนดูมันสมองชั้นดีของประเทศถูกทำลายอย่าง
ก่อนที่เขาจะเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยนั้น
พื้นฐานครอนครัวก็ดีมาก ไปเคยข้องเกี่ยว
ข้องกับอบายมุขมาก่อนเลย แต่พอเจอการ
รับน้องใหม่ในมหาวิทยาลัยเข้าไป รุ่นพี่ทั้ง
ประเคน ทั้งอาบอบายมุขเข้าให้ มีตั้งแต่สุรา
นารี พาชี กีฬาบัตร มันสมองแห่งความฉลาด
ก็เลยถูกแทนที่ด้วยอบายมุข
น่าเสียดายเช่นนี้ ผมถึงได้เขียนเตือนรุ่นพี่ทั้งหลายเอาไว้ว่า
"อย่าเอาความวิบัติมารับน้องใหม่ครับ"
น้องๆ ที่เป็นรุ่นพี่หลายคนที่อ่านเรื่องนี้แล้ว อย่าเพิ่งตำหนิว่า ผม เขียนอะไรรุนแรงเกินเลยไป แต่เพราะผมเห็นสภาพจริงๆ ของเพื่อน ของน้องที่เคยมีสมองชั้นดี พังมาหลายรายแล้ว ซึ่งจุดเริ่มต้นก็คือ เหล้าแก้วแรกที่รุ่นพี่หัดให้กินตอนรับน้องใหม่นั่นแหละครับ
อย่าทำชั่ว เพราะเกรงใจคนอื่น
พี่ชายที่เคารพรักของผมคนหนึ่งซึ่งมารู้จักกันตอนทำงานแล้ว ท่าน เล่าให้ฟังว่า
"ผมถือศีล ๕ ตั้งแต่เรียน ม. ๔ พอสอบเอนทรานซ์เข้า มหาวิทยาลัยได้ ก็ตั้งใจถือศีลเรื่อยมา จนวันหนึ่งยืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้าย ใจของผมก็คิดว่า วันนี้ตั้งใจจะถือศีล ๘ เป็นวันแรก
พอดีจังหวะนั้น มีรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งกำลังจะไปกินเหล้า เดินมาที่ป้าย รถเมล์พอดี พอเห็นผมเข้า ก็ตรงรี่เข้ามาชวนกินเหล้าทันที ผมเป็นน้องใหม่ ทีแรกๆ ผมก็ปฏิเสธ แต่ว่าความเกรงใจรุ่นพี่ ผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ก็เลยต้องไปกินเหล้ากับเขา
อาการเมาค้าง ทำให้ผมไปเรียนไม่ไหว แล้วก็เลยไม่ได้เรียน ผลสุดท้าย ผมทำข้อสอบไม่ได้ ต้องรีไทร์ออกมาตอนปี ๑ รุ่นพี่ที่เคยมาชวน ผมกินเหล้า ก็หายไปหมด ไม่มีใครมารับผิดชอบ มีแต่ผมเดินออกมาจากมหาวิทยาลัยคนเดียว"
เรื่องไม่จบเท่านี้ครับ เพราะความที่กลัวแม่จะเสียใจ พี่ชายคนนี้ก็ เลยปิดเรื่องรีไทร์เอาไว้ แล้วขึ้นเหนือไปทำงานที่ จ.แม่ฮ่องสอน อยู่อีก ๓ ปี รอจนกระทั่งครบกำหนดเรียนจบ จึงค่อยกลับลงมาบอกแม่
พี่ชายที่ผมเคารพรัก ท่านฝากให้ผมมาบอกรุ่นน้องด้วยว่า
"อย่าทำชั่ว เพราะเกรงใจคนอื่น ถ้าเขาจะไม่คบเรา เพราะเราไม่ กินเหล้า ก็ไม่เป็นไร ไปคบคนอื่นก็ได้ ยังมีคนอีกตั้งแยะที่ไม่กินเหล้า"
ผมฟังเรื่องนี้แล้ว ก็ยิ่งอยากจะยํ้าว่า รุ่นพี่จะสอนน้องให้ทำอะไรก็ตาม ต้องนึกถึงอนาคตของน้องด้วย โดยเฉพาะยิ่งเรื่องอบายมุขรับน้องด้วยแล้ว ผมคิดว่าเราควรจะเลิกวงจรพวกนี้เสียที เพราะรุ่นพี่ที่ดีไม่ควร เป็นคนที่ทำลายอนาคตของน้อง ด้วยแล้ว ทำลายมันสมองของชาติด้วยอบายมุข
รุ่นพี่จะสอนน้องใหัทำอะไรก็ตาม ต้องนึกถึง
อนาคตของน้องด้วย โดยเฉพาะยิ่งเรื่อง
อบายมุขรับน้องด้วยแล้ว ผมคิดว่าเราควร
จะเลิกวงจรพวกนี้เสียที เพราะรุ่นพี่ที่ดี ไม่
ควรเป็นคนที่ทำลายอนาคตของน้อง
ทำลายมันสมองของชาติด้วยอบายมุข
ดื่มเหล้าแค่ไหนจึงจะถือว่าขาดสติ
บางท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะค้านว่า "ถึงผมจะดื่มเหล้า แต่ผม ก็ไม่เคยเมาจนเสียการเสียงาน"
ผมก็ขออาราธนาคำเทศน์ของพระอาจารย์ท่าน มาอธิบายคำว่า "เมา" กับคำว่า "สติ" ให้เข้าใจเสียก่อน
ท่านบอกว่า "สติ แปลว่า ความระลึกได้ หมายถึงระลึกได้ นึกได้ก่อนจะทำ และพูด
เรามักใช้คำนี้คู่กับคำว่า สัมปชัญญะ แปลว่ารู้ตัว หรือระลึกได้ ชัดขณะกำลังทำ และขณะพูด
โดยทั่วไป คนเราแม้ยังไม่ได้ดื่มสุราก็เมาอยู่แล้ว คือ
๑. เมาอยู่ในความเป็นหนุ่มเป็นสาว คือคิดว่ายังไม่แก่ ยังมีเวลา สนุกอยู่อีกนาน
๒. เมาในความเป็นผู้ไม่มีโรค คือเผลอสติคิดว่าตัวเองจะเป็น คนที่แข็งแรงต่อไปอีกนาน หารู้ไม่ว่าโรคร้ายจะมาเยือนเรา เมื่อไหร่ก็ได้
๓. เมาในชีวิต คือ เผลอสติคิดว่าความตายยังอยู่ห่างไกล อีกนานกว่าความตายจะมาถึงตัว หารู้ไม่ว่าความตายนั้นไม่มี เครื่องหมาย อะไรบอกล่วงหน้า
เพราะฉะนั้น แม้ลำพังไม่กินเหล้า พวกเราก็มีความเมาอยู่แล้ว ดังนั้น คนที่ดื่มเหล้าจึงล้วนแต่เพิ่มความขาดสติให้แก่ตนมากมากยิ่งขึ้น ทำลายความเป็นคนของตัวเอง คือ ฆ่าได้ ลักขโมยได้ เจ้าชู้ได้ โกหกได้ และทำสิ่งที่น่าอายได้
คนส่วนมากเข้าใจว่า คนที่ดื่มเหล้าเมาจนเดินไม่ไหว หรือพูดไม่รู้เรื่องแล้ว คือคนขาดสติ แต่จริงๆ แล้วในทางธรรม ถือว่าเขาขาดสติ แล้วตั้งแต่คิดจะดื่ม คิดจะซื้อ ยิ่งลงมือเปิดขวดรินเหล้าใส่แก้ว แล้วดื่ม ล่วงลำคอเข้าไป เขาก็ยิ่งขาดสติมากยิ่งขึ้นตามลำดับ
ยิ่งดื่มมากเท่าไร ความเป็นคนก็ค่อยๆ ลดลงไปทุกทีๆ เมื่อความเป็นคนเหลือน้อย ความดีก็ลดลงตามลำดับ
เพราะฉะนั้นขึ้นชื่อว่าเหล้าแล้ว อย่าว่าแต่จะคิดซื้อมาดื่มเลย แม้แต่เอาขวดเหล้าเข้าบ้านก็ยังไม่ควร"
นี่ก็เป็นคำของพระอาจารย์ที่ท่านเตือนสติมา
รุ่นพี่ทั้งหลายครับ จากประสบการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เราคงเห็น พ้องต้องกันแล้วว่า การจะคิดดี พูดดี ทำดี เป็นคนดีอยู่ได้ ก็เพราะมี "สติ" ยั้งคิดนี่แหละ แต่ถ้าสติถูกทำลาย ก็หมดความยั้งคิด หมดความเป็นคน
เพราะฉะนั้น น้องนักศึกษาบางคนก่อนหน้าจะมารับน้อง ก็เป็น คนมีความยั้งคิดที่ดี แต่อดีตที่ผ่านมา หลายๆ คนพอโดนรุ่นพี่บังคับให้ รุ่นน้องกินเหล้า เพียงแค่แก้วแรกแก้วเดียวเท่านั้น ก็ทำ ให้คนดีๆ คน หนึ่งขาดความยั้งคิดไปตลอดชีวิตได้เลยนะครับ
ผมคิดว่าไม่มีใครอยากได้ชื่อว่า รุ่นพี่ที่ทำลายอนาคตของน้อง ทำ ลายสมองของชาติหรอกครับ ! เพราะฉะนั้น ช่วยกันรับผิดชอบอนาคต ของน้องใหม่ในมหาวิทยาลัย อย่ารับน้องด้วยอบายมุข สร้างวัฒนธรรม แห่งความสุขแบบไม่มีอบายมุขกันเถิดนะคร้บ
ปล. สำหรับน้องใหม่ ก็อย่าทำลายสมองตัวเองเพราะเกรงใจรุ่นพี่ที่ชวน กินเหล้า ถ้าเขาจะไม่รับเราเป็นน้องเพราะไม่กินเหล้าก็ไม่เป็นไร เราทำถูกต้องแล้ว ชีวิตเราอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้อยู่ได้ด้วยการมีเพื่อนชวนกินเหล้า เหล้าไม่ใช่ของวิเศษที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น นึกถึงอนาคตของตัวเองให้มากๆ อย่าเอาอนาคตมาจมอยู่ในวงเหล้าเลยครับ
เรื่องเล่า...ของพี่ชายคนหนึ่ง
โดย ชัยภัทร ภัทรทิพากร