กิจวัตรบ่อเกิดนิสัยคน
ช่วงนี้ มหาวิทยาลัยปิดเทอมแล้ว ตอนนี้ก็จะมี น้องๆ กลุ่มที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัย ต้องปรับตัวใหม่ เหมือนเป็นเฟรชชีในช่วงเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ต่างกันตรงที่ว่าเที่ยวนี้เป็นการเข้ามหาวิทยาลัยชิวิต มีสถานที่เรียนคือ องค์กร บริษัท หน่วยงาน ห้างร้าน ที่เราไปทำงานด้วย แน่นอนว่าตารางเวลาชีวิตของเรา จะต้องปรับด้วย
การปรับตารางเวลาย่อมมีผลต่อนิสัยใจคอของเราโดยเฉพาะน้อง ใหม่ไฟแรง เวลาทำงานจะมุ่งเอางาน โดยไม่สนใจผลกระทบ บางครั้งจึง เกิดการกระทบกระทั่งได้ง่าย ดังนั้น เราจึงต้องมีทัศนคติในการทำงาน อยู่ประการหนึ่งไว้ว่า "งานทุกงานคือบทฝึกคุณธรรมและความสามารถของเรา" ถ้าคิดอย่างนี้ เราจึงจะไปได้ดีในมหาวิทยาสัยชีวิต
มีข้อคิดประการหนึ่งที่ผมอยากให้ทราบไว้ก่อน นั่นคือเวลาเราทำงานมากๆ สิ่งที่เรามักจะลืมดูก็คือ นิสัยใจคอของตัวเอง ว่าเปลี่ยนไปใน ทางดีหรือในทางร้ายอย่างไร หากไม่ระวังเรื่องนี้ ผลที่ได้อาจกลับไม่คุ้ม กับผลงานที่ได้
อาจารย์ท่านหนึ่งของผมสอนว่านิสัยของคนเราเกิดจากการยํ้าคิด ยํ้าพูด ยํ้าทำ
ถ้ายํ้าคิด ยํ้าพูด ยํ้าทำ ในทางที่ดี ได้นิสัยดี ถ้ายํ้าคิด พูด ทำใน ทางเลว ได้นิสัยเลว ซึ่งสิ่งที่คนเรายํ้าคิด พูด ทำ อยู่เสมอ มีอยู่ ๒ เรื่อง คือ
๑. ปัจจัย ๔ คนเราทุกคนมีชีวิตอยู่ได้ด้วยปัจจัย ๔ คือ อาหารการกิน เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค เราจึงยํ้าคิด ยํ้าพูด ยํ้าทำในเรื่องนี้บ่อยๆ เรายํ้าคิดไปในทางไหน เราจะได้นิสัยอย่างนั้น เช่น คนสองคน คนหนึ่ง ทานอาหารเพื่อจะบำรุงรักษาสุขภาพ อีกคนหนึ่งทานอาหารเพื่อรักษา รูปร่าง วัตถุประสงค์ในการทานไม่เหมือนกัน สองคนนี้ย่อมคิด ย่อมพูด
คนไหนเวลาทำงานคิดจะทำใหัดีที่สุด คือ ให้ผล
งานออกมาได้คุณภาพดีที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด
ใช้งบประมาณน้อยที่สุด และก่อผลกระทบน้อย
ที่สุด เมื่อย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ด้วย
วัตถุประสงค์อย่างนี้บ่อยๆ นิสัยนักวางแผน
นิสัยละเอียดรอบคอบ ก็จะตามมา
ย่อมทำไม่เหมือนกัน นิสัยที่ออกมาก็จะไม่เหมือนกัน
๒. งานที่รับผิดชอบ เรื่องต่อมาที่คนยํ้าคิด ยํ้าพูด ยํ้าทำอยู่บ่อยๆ คือ งาน เพราะต้อง ทำงานจึงจะได้เงิน มาซื้อหาปัจจัย ๔ เลี้ยงชีวิต
คนไหนมีระเบียบวินัยในการทำงาน งานก็จะถูกจัดระบบออกมา ตามนิสัยคน
คนไหนทำงานตามอารมณ์ ตารางเวลาการทำงานก็จะล้ม ความแน่นอนในการผลิตงานก็จะไม่คงเส้นคงวา
และแน่นอนคนไหนเวลาทำงานคิดจะทำให้ดีที่สุด คือ ให้ผลงานออกมาได้คุณภาพดีที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด ใช้งบประมาณน้อยที่สุดและก่อผลกระทบน้อยที่สุด เมื่อย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ ด้วยวัตถุประสงค์ อย่างนี้บ่อยๆ นิสัยนักวางแผน นิสัยละเอียดรอบคอบ ก็จะตามมา
ตรงข้าม คนไหนทำงานก็คิดจะหลบๆ อู้ๆ ให้มากที่สุด รักสบาย ผลงานที่ออกมาก็จะเอาแค่เสร็จๆ ไป ไม่ทำเอาดี ใช้เวลาก็มาก ใช้ ต้นทุนก็ฟุ่มเฟือย แน่นอน ผลกระทบก็จะตามมามาก เพราะงานจะ เสร็จทันหรือไม่ ก็อยู่ที่เจ้าหมอนี่ เพราะมันมักจะกินเวลาของคนอื่น มากพอควร เมื่อยํ้าคิดพูดทำด้วยวัตถุประสงค์อย่างนี้ก็ยากที่จะพัฒนา นิสัยดีๆ ใหม่ขึ้นมาในตัวเองได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่จะเอาดีได้ ต้องยํ้าคิด ยํ้าพูด ยํ้าทำ อย่างนี้ว่า
๑. ความเลวใดที่เราเคยทำ เราจะละทิ้งเสียไม่ย้อนไปทำมันอีก
๒. ความเลวใดที่เราไม่เคยทำ และรู้อยู่แล้วว่ามันเลว เราก็จะเว้นเสีย ไม่ไปยุ่งกับมัน
๓. ความดีใดที่ยังไม่เคยทำ ก็ให้ไปรีบทำ
๔. ความดีใดที่เคยทำแล้ว ก็ให้ทำให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
โดยเอา ๔ ข้อนี้ ทำเป็นตารางกิจกรรมประจำวันขึ้นมา ตั้งแต่เช้า จนกระทั่งเย็น เมื่อทำอะไรเป็นเวลา สุขภาพก็จะดี ระบบความคิดก็จะดี นิสัยก็จะดี จิตใจก็จะมั่นคงเข้มแข็ง มีความเสมอต้น เสมอปลาย สมาธิ ในการทำงานก็จะมั่นคง เพราะฝึกตัวเองให้มีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต ทุกช่วงเวลา การบริหารเงินก็จะเป็นระบบ เงินก็จะเหลือ การบริหารงาน ก็จะเป็นระเบียบ ตัดสินใจทุกอย่างด้วยเหตุผล คนที่ทำงานด้วยก็จะได้
รับแนวทาง และหลักการที่ดีในการตัดสินใจ โอกาสที่จะทำงานผิดพลาด ก็จะมีน้อย และเมื่อประสบปัญหาบางจุดของการทำงาน ก็จะตรวจสอบ ได้ง่ายว่า ปัญหาเกิดขึ้นที่ไหน เพราะอะไร และจะแก้ไขได้ถูกจุด
นอกจากนี้ยังมีข้อดีอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าเรากำหนดตาราง กิจกรรมขึ้นมาให้ชัด แล้วฝึกให้ตัวเองยํ้าคิด ยํ้าพูด ยํ้าทำ ที่จะละเว้นความชั่ว ทำ ความดี และทำจิตใจให้ผ่องใสเป็นปกติ นิสัยดีๆ ก็จะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาทีละเล็กละน้อย จนกลายเป็นความมั่นคงของชีวิต ของหน่วยงาน และขององค์กร
เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากได้นิสัยอย่างไร ก็ให้ยํ้าคิด ยํ้าพูด ยํ้าทำ ในเรื่องนั้น ถ้ายํ้าคิด ยํ้าพูด ยํ้าทำในทางดี ย่อมได้นิสัยดี แต่หากยํ้าคิด ยํ้าพูด ยํ้าทำในทางเลว ย่อมได้นิสัยเลว และนี่คือสัญญาณบอกว่า ทุกคน ควรจะต้องปรับตารางเวลาการทำงาน เพื่อให้ได้นิสัยดีๆ ตามมา แล้วในที่สุด งานทุกสิ่งที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะกลายเป็นบทฝึกคุณธรรม และความสามารถของเรา
เรื่องเล่า...ของพี่ชายคนหนึ่ง
โดย ชัยภัทร ภัทรทิพากร