รู้จักรักษาอารมณ์
ช่วงนี้ น้องๆ หลายคนที่เรียนจบแล้ว ก็เริ่มสมัครงาน บางคนก็ทำงานกันแล้ว ซึ่งนับวันหลังจากนี้ไป ก็จะต้องเจอแต่เรื่องที่ไม่มีในตำราเรียนมากยิ่งขึ้น บางคนยังปรับตัวไม่ได้ ก็จะรู้สึกหนักหนาสาหัสจน เครียดไปทีเดียว ผมก็อยากจะแนะนำเรื่องการ รักษาอารมณ์การทำงานให้ฟังสักเล็กน้อย จะได้มีเทคนิคไว้ใช้ใน ยามเจอแรงกดดัน
ผมจำได้ว่า ในช่วงที่เริ่มทำงานใหม่ๆ หรือเพิ่งเปลี่ยนแผนกเข้า มารับงานใหม่ ภาระหน้าที่การงานที่สุมเข้ามา ในแต่ละวันมักจะมีทั้งปัญหาเล็ก ปัญหาใหญ่ที่ทำให้ผมได้ปวดหัว ต้องแก้ไขกันไปไม่หยุดหย่อน ใครที่รักษาอารมณ์ได้ไม่หงุดหงิดไปกับปัญหา ผมก็นับถือเขาว่าเก่งมากๆ ผมมักจะได้รับกำลังใจจากท่านเหล่านี้ว่า มีปัญหาก็แก้กันไป วันหนึ่ง ปัญหาก็คงหมดไป หรือไม่ก็ลดน้อยลงกว่าเก่า
ผมเห็นด้วยกับที่ทุกท่านพูด เพราะถ้าตราบใดยังมีคนคิดแก้ปัญหา ย่อมดีกว่า มีแต่คนหนีปัญหาแน่นอน
มีข้อสังเกตอันหนึ่งก็คือ ปัญหาที่เข้ามาหาเรานั้น โดยมากมาจากคน ปัญหาคนจึงหนักกว่าปัญหางาน เพราะว่า คนมักสร้างปัญหาที่ไม่ใช่ ปัญหาเข้ามาให้แก้ไข ถ้าผู้บริหารหลักไม่แน่น อารมณ์ไม่มั่นคง สติ ปัญญาไม่เฉียบแหลมพอที่จะแยกแยะได้ว่า อะไรคือปัญหาที่แท้จริง ที่นั่นจะมีปัญหาจุกจิกเต็มไปหมด แล้วก็กลายเป็นคนมีอารมณ์หงุดหงิด โดยไม่รู้ตัว
คนที่ทำงานใหญ่พังมาเยอะต่อเยอะ ก็ตรงที่ความจุกจิกจู้จี้เกิน ไปนี่แหละ เพราะจะทำให้แยกเรื่องหลักเรื่องรองไม่ออก เลยไปเอาเรื่อง ที่ไม่ใช่ปัญหา มาเป็นปัญหา เรื่องเลยบานปลายอย่างหาทางแกไม่ได้ เพราะว่ามองปัญหาผิด
ปัญหาคนเกิดจากนิสัยไม่ดีและนิสัยไม่ดีเกิดจากวินิจฉัยไม่ถูกต้อง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนว่า ถ้าอยากเป็นคนที่มีวินิจฉัยดี ก็ต้องเลือกคบคนให้เป็น อย่าคบคนพาล ให้เลือกคบคนดี ดังนั้น ใคร
คนที่ทำงานใหญ่พังมาเยอะต่อเยอะ ก็ตรงที่
ความจุกจิกจู้จี้เกินไปนี่แหละ เพราะจะทำให้แยก
เรื่องหลักเรื่องรองไปออก เลยไปเอาเรื่องที่
ไม่ใช่ปัญหา มาเป็นปัญหา เรื่องเลยบานปลาย
อย่างหาทางแก้ไม่ได้ เพราะว่ามองปัญหาผิด
ที่ได้คนดีมีฝีมือเป็นมิตร คือเป็นคนที่มีทั้งกำลังความรู้ กำลังความคิด กำลังความสามารถ และกำลังครามดีแล้วโอกาสที่จะมีวินิจนัยดีๆ ก็มีมาก เพราะได้เห็นตัวอย่างของวินิจฉัยที่ดีๆ
ผมเอง เมื่อต้องรับมือกับปัญหาหนักๆ รอบด้าน ทั้งเรื่องงานของ ตัวเองที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกวัน ไหนจะเรื่องคนที่ต้องดูแลรับผิดชอบ ในฐานะหัวหน้างาน ต้องรับผิดชอบทั้งการทำงาน และความประพฤติของเขา ประคับประคองให้เดินไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ในระยะเวลาที่กำหนด และต้นทุนที่จำกัด บางทีก็ชักจะเป๋ๆ ไปเหมือนกัน
ต้นเหตุที่ทำให้วินิจฉัยเป๋ๆ ไป ก็เพราะต้องเอาเวลาตัวเอง ไปอดทนสารพัดอารมณ์ของคนอื่น เพื่อให้งานมันเดินหน้า ถ้าทนไม่ได้ งานก็ไม่เดิน แต่บางครั้งก็ทานไม่ไหว อยากหนีไปเหมือนกัน แต่ว่าถ้า หนีไปแล้ว ปัญหาก็จะมีแต่เพิ่ม แล้วงานที่ทำมาทั้งหมดก็จะพัง เลยต้อง กัดฟันสู้กันไป เพื่อเห็นแก่อนาคต ยกเว้นว่า ใครที่เขามีความสามารถ มากกว่า จะเข้ามารับผิดชอบงานนี้ ก็จะรีบยกให้เขาเลย งานจะได้ไปไว กว่าที่เราทำ แต่จนแล้วจนรอด ก็ได้แต่พึ่งตัวเองต่อไปทุกที
ผมเอง ก็ถือว่าโชคดีที่อยู่ใกล้ผู้ใหญ่ ท่านคอยเป็นกัลยาณมิตรให้ ท่านคอยหากุศโลบายมาเตือนสติให้ผมได้คิดว่า "แรงกดดันมันจะมาก ขนาดไหน คุณต้องรักตัวเองให้มาก อย่าให้อารมณ์เสียเด็ดขาด เดี๋ยว พลาด แล้วพังกันหมด"
แล้ววิธีรักษาอารมณ์ที่ท่านเมตตาแนะนำผมก็คือ การฝึกสมาธิ
ท่านบอกว่า ในภาวะที่ต้องอดทนอะไรหลายๆ อย่าง คุณต้องมี สมาธิให้มากๆ ในศาสนาพุทธสอนวิธีฝึกสมาธิไว้หลายวิธี แต่ไม่ว่าคุณ จะเลือกฝึกวิธีไหน มีข้อสำคัญอยู่ว่า จิตคุณต้องนิ่งเป็นสมาธิอยู่ในตัว
"ของทุกสิ่งทุกอย่าง จุดที่ทรงพลังมากที่สุด คือ จุดศูนย์ถ่วง นั่นคือตรงกลางมวลทุกชนิด คนเราก็จัดเป็นมวลวัตถุอย่างหนึ่ง เหมือนกัน และจุดที่ใจทรงพลังมากที่สุดก็คือ จุดที่อยู่กลางตัวของคนเรา ซึ่งบริเวณนั้น จะอยู่ตรงกลางท้อง เรียกว่า ศูนย์กลางกาย ลองสมมติให้ ท้องของคุณว่างเปล่า แล้วเอาใจไปวางที่ตรงนั้น พร้อมกับไม่คิดอะไรเลย ทำใจเฉยๆ ที่ตรงนั้น ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ชั่วคราว ทำใจเฉยๆ ไว้ที่ตรง กลางตัวนั้น แล้วสมาธิจะรวมตัวเอง แล้วใจของคุณก็จะสงบ นิ่ง และเย็น แล้วความสุขก็จะเกิด พอคุณนั่งสมาธิเสร็จ ใจของคุณจะเกลี้ยง อารมณ์ จะดีขึ้น แล้วคุณจะมองว่า ทุกอย่างเป็นปกติ นั่นก็แสดงว่า ทุกอย่างดีขึ้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป
"คุณคิดเสียว่า นี่คือ การพัฒนาจิตใจของตัวเองอีกขั้นหนึ่ง ถ้าคุณผ่านตรงนี้ไปได้ คุณจะเห็นหลายๆ สิ่งที่กว้างกว่าคนอื่นๆ เพราะว่า คุณได้ก้าวข้ามในสิงที่คนอื่นเขาทนไม่ได้มาแล้ว"
แล้ววันนี้ ผมก็ได้ฝึกสมาธิตามที่ผู้ใหญ่ท่านแนะนำมา ทำให้ผม ค้นพบตัวเองอีกหลายๆ เรื่อง อย่างไม่น่าเชื่อ และนี่คงจะเป็นก้าวย่าง สำคัญอีกก้าวหนึ่งในชีวิตของผมที่จะก้าวไปสู่การพัฒนาศักยภาพ ควบคู่กับการยกระดับความอดทนของตัวเองให้สูงขึ้น ไม่น่าเชื่อเลยว่า สมาธิจะทำให้คนเราพัฒนาวุฒิภาวะทางอารมณ์ขึ้นมาได้
เรื่องเล่า...ของพี่ชายคนหนึ่ง
โดย ชัยภัทร ภัทรทิพากร