สุนทรีย์ในชีวิตที่เก็บตก...

วันที่ 04 สค. พ.ศ.2564

11-8-64-1-b.jpg

สุนทรีย์ในชีวิตที่เก็บตก...

              ในชีวิตตั้งแต่เล็ก ๆ จำได้ว่าป้าไม่เคยพบอะไรที่ไม่สุนทรีย์หรือว่าป้าไม่รับก็ไม่ทราบทั้ง ๆ ที่ป้ามีความกลัว ยกตัวอย่างเช่น ป้าเป็นคนกลัวตุ๊กแก เวลาที่เดินทางจากบ้านป้าที่อยู่ไกลเข้าไปทางโรงเหล้าบางยี่ขันในปัจจุบัน แล้วต้องผ่านซอกถนนซึ่งมีตุ๊กแกตัวโตอยู่ ป้าจะถูกพี่ชายหลอกเรื่องตุ๊กแกทุกครั้ง แต่ป้าก็ไม่เห็นจำและไม่ได้กลัวจนฝังใจ แต่สิ่งที่จำกลับกลายเป็นเรื่องราวอันงดงามที่ป้าได้พบบนถนนสายนั้นจากบ้านป้าป้าจะต้องเดินอ้อมตลาดผ่านห้องแถวไม้แบบคนจีนที่ขนาบอยู่ทั้ง 2 ข้าง ตรงกลางเป็นถนนซีเมนต์เล็ก ๆสำหรับเดิน ขณะที่เดินป่าก็แวะ คุยไปเรื่อยคุยกับอาซิ้มคนนั้นที่คนนี้ที ทักทายไปเรื่อยตามประสาเด็กช่างพูด แล้วป้าก็จะแวะซื้อบ๊วยเค็มจากร้านค้าเจ้าประจำ เรียกว่าป้าคุ้นกับคนแถวนั้นจนสามารถที่จะเดินเข้า-ออกบ้านเขาได้เลย ขอเขาทานน้ำทานขนมได้เลย

 

               ภาพของบ้านคนจีนที่ป้าเห็นในสมัยนั้น ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนจีนที่รวยแต่เขาไม่เห็นสกปรกเลย ห้องหับจะถูกเช็ดถูจนสะอาดเรียบ ตู้ตั่งเก่า ๆ ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ สิ่งที่ป้าได้รับอิทธิพลจากบ้านคนจีนเหล่านั้นมาก็คือการจัดบ้านแบบจีน ป้าเห็นเตียงนอนที่เป็นเตียงไม้ ใต้เตียงจะมีหีบไม้ หีบเหล็ก คนจีนที่ป้าเห็นเขาจะไม่นอนเตี้ยเขาจะนอนบนเตียงไม้ที่สูงขณะที่คนไทยเรานอนค่อนข้างต่ำ คนญี่ปุ่นจะนอนติดพื้น  ส่วนวิธีการเก็บของแบบจีน การจัดบ้านด้วยวิสัยจีน วิธีการแพ็กเก็บของแบบจีนป้าก็จำได้ คนจีนที่มาจากโพ้นทะเลเขาสมบัติมากแม้ของบางอย่างจะไม่มีค่าเท่าไหร่ในสายตาคนทั่วไป แต่ของนั้นมีค่าสำหรับเขา เมื่อมาอยู่เมืองไทยเขาก็จะเก็บรักษาสมบัติของเขาโดยการเก็บใส่กล่อง ใส่ห่อ และจัดวางดีมากเหมือนกับร้านขายยาจีน ที่จะเก็บของเป็นช่อง ๆ อย่างมีระเบียบ

 

              ...ส่วนมุ้งของเขาก็แปลก คือคนไทยเวลากลางมุ้งก็จะขึง เวลาจะเก็บมุ้ง บางบ้านก็ตลบขึ้นไปหรือเก็บไปข้างใดข้างหนึ่ง แต่บ้านคนจีนเตียงของเขาจะมีเสาซึ่งเขาก็ผูกมุ้งไว้ที่เตียง บางทีเขาก็เก็บมุ้งเหมือนเตียงโบราณที่เราเอามาทำแบบสมัยใหม่คือเก็บไปเป็นเสา ๆ ไป วิธีทำห้องหับของเขา เขาจะไม่มีห้องเพราะจะเป็นห้องแถวไม้เล็ก ๆ ห้องเดียวทั้งกินทั้งอยู่อยู่ในนั้นหมดเลย เขาจึงกั้นเตียงไม้ที่เขานอนด้วยผ้าม่านอีกชั้นหนึ่งเพื่อความเป็นส่วนตัว แล้วผ้าที่เขานำมาทำเป็นม่านจะดูเป็นคนจีน ซึ่งป้าชอบมาก ผ้าของเขาจะเป็นผ้าสีชมพูและมีลายดอกสีเขียว ๆ แบบแปร๋น ๆ เขาจะเย็บเป็นสองชั้น มีชายข้างบนและข้างล่าง มีระบายทิ้งลงมา พอตอนกลางคืนเมื่อกางมุ้งเสร็จก็จะมีผ้าม่านกั้นอีกที ให้รู้ว่านี่คือ ความเป็นส่วนตัว แล้วเขาจะรู้กันว่าคนในบ้านต้องมีมารยาท และเคารพซึ่งกันและกันเป็นอย่างมาก คือเมื่อคนนี้ปิดม่านแล้วจะไม่มีใครเปิดม่านเข้าไปดู ตรงนี้สอนให้ป้ารู้ว่า คนเราต้องเรียนรู้การเคารพสิทธิ์ เคารพซึ่งกันและกันตั้งแต่เยาว์วัยนี่คือสิ่งที่ป้าได้เรียนรู้มาจากบ้านของคนจีน

 

              ...แล้วการทักทายของคนจีน เมื่อเห็นหน้าปั๊บเขาจะเรียกเรากินข้าวเลยทันที เหมือนกับคนไทยบ้านเราที่เวลาเจอกันก็จะต้องถามว่ากินข้าวมาหรือยัง คนจีนเขาจะบอก...ลื้อเจี๊ยะ นี่ไหม ลื้อกินนี่ไหม ในบ้านเล็ก ๆ ของเขาจะเป็นบ้านที่มีระเบียบวินัย ห้องครัว ห้องอาหาร ก็คือห้องเดียวกัน สมัยก่อนเวลาทานข้าวคนจีนเขาจะไม่มีโต๊ะทานข้าวแต่เขาจะมีโต๊ะไม้พับที่กางออกมาเป็นสี่เหลี่ยม และจะมีม้านั่งไม้สูงสักคืบหนึ่งจากพื้น คล้าย ๆ เก้าอี้ซักผ้าแต่เป็นกลม ๆ แล้วต่างคนก็ต่างเอามาวางแล้วก็ทานข้าวกัน พอทานข้าวเสร็จก็จะพับโต๊ะเก็บเรียบร้อยจนนึกภาพไม่ออกว่าบริเวณนี้ใช้เป็นที่ทานข้าวมาก่อน นักออกแบบบ้านยังบอกว่าเทคนิคการอยู่ในห้องแคบของคนจีนนี่เก่งที่สุดเลย ครัวของเขามีเครื่องครัวไม่กี่ชิ้น แต่ละชิ้นจะสะอาดมาก หม้อไหเขาแขวนเป็นระเบียบ เตาก็เป็นเตาอั้งโล่ธรรมดา นอกจากนั้นป้ายังจำถ้วยใส่ข้าวและวิธีการทานข้าวของเขาได้ เมื่อทานเสร็จเขาจะเก็บถ้วยชามล้างทันทีเขาจะไม่แช่ทิ้งไว้เหมือนกับคนไทย เขาบอกว่าถ้าอั๊วไม่เก็บดี ๆ หนูมันก็จะมา แมลงสาบก็จะเยอะ แล้วถ้าบ้านเราไม่เก็บขณะที่บ้านอื่นเขาเก็บ บ้านเราจะเป็นต้นเหตุของแมลงสาบและหนูซึ่งจะนำความเดือดร้อนไปสู่บ้านอื่น


               ...สิ่งเหล่านี้ทำให้ป้ารู้ว่าคนเราควรมีระเบียบวินัยในชีวิต แม้สังคมตรงนั้นของเราจะมีทั้งคนจนและคนมีสตางค์ แต่มันก็เป็นสังคมที่มีระเบียบวินัย ถามว่านี่เรียกว่าเป็นสุนทรีย์ไหม ป้าว่า...นี่คือความสุนทรีย์ที่ป้ายังจำได้ ทุกวันนี้ป้ายังจำกลิ่นคนจีนได้ ยังจำกลิ่นน้ำมันใส่ผมที่อาม่าชอบเอาน้ำมันมะพร้าวมาเคี่ยวแล้วเอามาทาผมได้


               ...นอกจากอิทธิพลที่ได้รับจากสิ่งแวดล้อมแบบจีนเพราะต้องเดินผ่านทุกวันระหว่างการเดินเลาะรั้วไปก็ยังจะมีบ้านคนรวยที่อยู่ในละแวกนั้น บ้านคนรวยจะปลูกต้นหางวิฬาร์ หรือราชาวดี เวลาใกล้จะถึงบ้านที่มีต้นหางวิฬาร์ ป้าจะชอบมาก ป้าจะรีบทำท้องให้สะอาดก่อนจะหายใจด้วยการเอาผ้าปิดจมูกก่อนแป็บหนึ่ง พอเปิดจมูกก็จะได้กลิ่นดอกทางวิฬาร์หอมมาก ระหว่างเดินไปตามทางจะมีต้นกระถินด้วย ป้าจะเก็บทุกอย่างเลย ป้าจะชอบเก็บดอกหางวิฬาร์ไปฝากคุณป้า ชอบเก็บดอกกระถิน ที่เป็นหัวกลมฟู ๆ ที่ใครบอกว่าตัดผมทรงดอกกระถิน ป้าจะรู้ว่ามันจะเป็นทรงนี้ หน้าตาแบบนี้  นอกจากนั้นก็จะมีต้นตะขบกับต้นเชอร์รี่ที่บ้านคนมีสตางค์เขาปลูกไว้ คนมีสตางค์สมัยก่อนจะมีที่ดินมาก แล้วก็จะไม่ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อเหมือนปัจจุบันนี้ เขาจะปลูกบ้านถัดไปจากหลังสวนเราจะเห็น หลังคาบ้านเขาลาย ๆ อยู่หลังรั้วต้นไม้ที่อยู่รอบ ๆ สวยมาก


                ...ก่อนถึงบ้านป้าต้องเดินข้ามสะพาน คลองนั้นเป็นคลองที่แยกมาจากคลองบางกอกน้อย เวลาถึงสะพานป้าต้องหยุดตรงกลางสะพานทุกครั้งเลยเพื่อดูน้ำไหล ป้าจะมีวิธีดูคือ จะยืนดู ก้มดู นั่งยอง ๆ ดูบ้าง แล้วลองฟังเสียง แต่อยู่ข้างบน มันจะไม่ค่อยได้ยินเสียงไม่สะใจ ตรงนั้นจะมีคอสะพานซึ่งห้ามเด็ก เราก็จะไม่ลงแต่จะไปใกล้ ๆ เพื่อฟังเสียงน้ำที่ไหลกระทบดิน แล้วในคลองมันจะมีดอกจอกป้าจะแวะดูไปเรื่อยเลย ตลอดทางที่เดินผ่านป้าจะเห็นว่าชีวิตของคนรวยเขาเป็นอย่างนี้ บ้านคนจีนที่จนเขาอยู่อย่างนี้ บ้านคนไทยที่จนเขาอยู่อย่างนี้ เห็นไปหมด แม้กระทั่งบ้านคนงานป้าก็อยากรู้ว่าเขาอยู่กันอย่างไร เวลาเดินผ่านเราจะเห็นครัวของเขา สิ่งที่ป้าชอบดูคือ แต่ละบ้านเขากินอะไร อาหารของคนที่เขาทำงานรับจ้างนี่ บางที่ดูน่ากินกว่าเราเสียอีก เขาจะมีไข่ต้ม มีผัก ดูแล้วรู้สึกสนุกนะ ปลาทูที่เขากินก็ตัวนิดเดียวเองแต่เขาจะทอดจนกรอบแล้วป้าก็จะไปขอหัวปลาทูเขากิน บางบ้าน...ป้าก็จะแวะคุยกับเขาเลย มีอยู่บ้านหนึ่งที่อยู่ตรงคอสะพานเขาร้องเพลงกล่อมลูกได้เพราะมาก เขาจะร้องเอ่เอ๊กล่อมลูกซึ่งนอนอยู่ในเปลพอเขาเอ่เอ๊ป้าก็จะยืนฟัง เขาบอกป้าว่ามาทุกวันเลยนะอีหนู ป้าจะบอกว่าหนูเป็นหลานบ้านนี้เขาก็จะบอกให้ป้าช่วยไกวเปล แล้วป้าก็จะเห็นเขาเอามือบดข้าวกับกล้วย เขาจะเอามือบีบ ๆ กล้วยแล้วก็ป้อนลูก พอกลับมาบ้านป้าจะเล่าให้คุณแม่ฟังว่าเด็กบ้านนี้เขากินข้าวกับกล้วยและก็กินนมแม่ ทำไมเขาตัวเบ้อเริ่มเลย ไม่เห็นต้องกินนมเหมือนบ้านเราเลย แม่ก็หัวเราะไม่ตอบอะไร แม่บอกว่าเพราะต่างคนต่างมีบุญกรรมที่ติดตัวมา อาหารที่ทานใช่จะเป็นตัวบอกว่าพอเขาโตมาเขาจะเป็นคนแบบไหน คุณแม่ของป้าบอกป้าว่าเราจะรู้ว่าเด็กคนนี้ทำบุญมาตั้งแต่อดีตอย่างไร เขาเกิดมาแล้วเขาได้กินข้าวกินปลาอย่างไร แต่ยังไงเขาก็แข็งแรงนะลูกที่เขาทานอาหารแบบนี้


                ...เหล่านี้คือความสุนทรีย์ของป้า แต่ว่าถ้าพูดถึงความสุนทรีย์ในชีวิตที่เก็บได้ที่ป้าจำได้ดีและชอบที่สุดในชีวิต คือวิถีชีวิตที่ที่ป้านั่งเรือล่องแม่น้ำกับแม่ ทุกครั้งที่ได้ล่องเรือ ป้าจะตื่นเต้นมากเลยเราจะล่องเรือกันในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง หรือคืนดาวเต็มฟ้า คืนดาวเต็มฟ้าคือคืนที่พระจันทร์มืดสนิท วันที่พระจันทร์เต็มดวงนี้จะสวยมาก ส่วนวันที่ดาวเต็มฟ้านี่ ต้องรีบกลับบ้านเนื่องจากว่ามันมืดมาก สมัยก่อนเวลาจะไปล่องเรือที่บ้านก็จะเดินออกมาขึ้นเรือที่ท่าน้ำ เรือของเราจะเหมือนเรือจ้างขนาดใหญ่ที่เราลงไปนั่งแล้วตัวเราก็พ้นกราบเรือขึ้นมาไม่มาก ในเรือเราสามารถเอาไม้ออกหรือเอาไม้ปูเพื่อตั้งสำรับกับข้าวทานได้ บางทีเราก็เอากับข้าวไว้ตรงหัวเรือเราก็ลำเลียงมาทานกัน คนแจวของเราชื่อตาเขกับยายเข็มสองคนเป็นผัวเมียตายาย แต่เขาไม่แก่นะ บางทีก็แจวคนเดียวบางทีก็แจวสองคน


               ...เวลาที่คนแถวนั้นเห็นบ้านเราเตรียมกับข้าว คนจีนแถวนั้นก็ถามว่าวันนี้ไปกินข้าวเย็นเที่ยวกันอีกแล้วเหรอแล้ว เขาก็จะช่วยเรายกปิ่นโตเถาใหญ่ทั้งปิ่นโตลงเรือ พอเรือออกปุ๊บเราจะยังไม่ทานข้าว แต่เราจะไปทานช่วงปลาย ๆ ทาง บางทีก็ขึ้นไปทานข้าวบนบ้านเพื่อนคุณแม่ที่อยู่ในคลองบางกอกน้อย เวลาไปมีความสุขมากเลยเพราะว่าสมัยก่อนการสัญจรของเรือไม่มากเหมือนปัจจุบัน และน้ำก็คนละสีกัน ถ้าถามป้าว่า เจ้าพระยาเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ป้าตอบได้เลยว่าช่วงเวลาที่ป้าอายุ 12-13 จนมาถึงวันนี้เจ้าพระยาเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล สมัยก่อนน้ำจะมีความใสอยู่ข้างหน้าอย่างชัดเจน ในฤดูน้ำเหนือบ่าน้ำจะมีสีแดง ๆ สมัยนี้เวลาน้ำทะเลหนุนจะดูไม่ค่อยออก เมื่อก่อนถ้าน้ำทะเลหนุนน้ำจะเปลี่ยนสีเลย แล้วนกนางนวลจะบินเข้ามาเต็มไปหมดทำให้เรารู้ว่าน้ำทะเลเข้ามาแล้ว


                 ...เวลาที่เราไปล่องเรือ พอลงเรือเราก็จะจัดที่นั่งกันป้าก็จะนั่งตามเรื่อง เพราะโตกว่าเพื่อน น้อง ๆ ก็จะไปนั่งใกล้แม่บ้างเพราะเขายังกลัวน้ำกัน ป้าเองจะชอบนั่งตรงหัวเรือเพราะมันจะทำให้ป้าเห็นอะไรต่ออะไร ได้เห็นเรือมันแหวกน้ำไปชอบดูมาก ชอบให้น้ำเป็นฝอยกระเด็นใส่หน้า มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก ตอนเย็น...เวลาเราล่องเรือเลียบฝั่ง บางทีจะมีควันขาว ๆ ที่เขาหุงข้าวตามบ้านขึ้นเป็นระยะ ๆ ไปและเราจะได้กลิ่นกับข้าวที่เขาทำ ได้เห็นเขาดงข้าว บางบ้านก็นั่งซักผ้า ป้าจะดูไปตลอดทาง สมัยก่อนจะไม่มีเสียงทีวี ไม่มีเสียงวิทยุ หรือมีภัตตาคารตามริมแม่น้ำเหมือนสมัยนี้ ที่ที่คนจะพลุกพล่านที่สุดคือตามท่าน้ำต่าง ๆ แต่ก็จะไม่พลุกพล่านมากมาย ที่ป้าชอบคือเวลาตะวันใกล้จะพลบค่ำ น้ำจะสวยมากๆ เงาของคลื่นจะเปลี่ยนคือตอนที่เราออกไปฟ้ายังสว่างอยู่ คลื่นยังทอดเงาอยู่ แต่พอฟ้าเริ่มเป็นสีส้ม เงาคลื่นจะเปลี่ยน จะเหมือนคลื่นมีชีวิตมากเลยเป็นสีทองทั้งแม่น้ำ หรืออย่างเวลาที่เราแล่นเรือไปแล้วมีเรือลำอื่นแซงหน้าเราไป จะมีทางที่ทิ้งรอยไว้ สีของน้ำจะเปลี่ยนทาง สีของคลื่นก็จะไปอีกทางหนึ่ง ตรงนี้ป่าชอบดูมาก แล้วเวลาเรือสวนไปมา แนวคลื่นจะสานกันไปสานกันมา เป็นสีของคลื่นซึ่งไม่เหมือนกัน แล้วยังจะสะท้อนสีของเรือลงไปในน้ำด้วย รวมถึงทั้งสองฝั่งก่อนที่ตะวันจะมืดต้นไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีคล้ำลง พ่อกับแม่มักจะบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่ต้นไม้เตรียมตัวจะเล่นมโหรี คือจะทำเพลงไว้กล่อมชีวิต


                ...สมัยก่อนเรือเอี๊ยมจุ๊นจะเยอะมาก เรือที่ขนข้าวสารก็จะเยอะและจอดอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำ ชีวิตของเรือพวกนี้จะน่าสนใจมาก มีหลายครั้งที่พ่อไปเทียบเรือข้าง ๆ เรือเขา แล้วก็ขอเขาว่าขอให้เด็ก ๆ ได้ดูเรือหน่อยได้ไหม เขาน่ารักมาก เขาจะบอกให้ขึ้นมาเลย เราก็จะค่อย ๆ ไต่กันขึ้นไป เขาก็จะอุ้มเราทีละคน ๆ ซึ่งมันสนุกมากเลย ลึกลงไปตรงท้องเรือจะเป็นที่ใส่สินค้า เขาจะมีที่ทานข้าวเหมือนครัว เหมือนบ้าน เราจะเรียกเรือเขาว่าบ้านลอยน้ำ เขาบอกป้าว่าชีวิตของคนเรือมันอาภัพนะหนู ป้าบอกว่าป้าชอบบ้านลอยน้ำ เขาก็จะบอกว่าอะไรที่เป็นของแปลกใหม่มันก็ดูดีทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าคุณหนูต้องเกิดมาลอยเรือทั้งชีวิตคุณหนูจะเข้าใจ แต่ป้ารู้สึกว่าคนเหล่านี้เขารวยนะ เพราะพ่อกับแม่บอกว่าอย่าไปคิดว่า เขาจนนะลูก เพราะเขามีที่ดินเท่ากับแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสาย เขาจะไปจอดเรือที่ไหนเขาก็ทำได้ และเขามีที่ดินเยอะกว่าเรา เขามีอิสระมากกว่า เขาจะจอดเรือตรงไหนก็ได้ที่เขาคิดว่าปลอดภัย และเขาอยู่ใกล้ธรรมชาติมากกว่าเรา เวลาที่เขาจอดเรือริมฝั่ง เขาก็จะเห็นฝั่งและเห็นน้ำด้วย ป้าก็ถามว่าเวลาฝนตกแล้วเขารู้สึกอย่างไร เขาบอกว่าไม่เป็นอะไรเพราะแม่น้ำเจ้าพระยาไม่โหดร้าย แม่น้ำเจ้าพระยาใจดี เวลาน้ำจะขึ้นก็ไม่ขึ้นแรงและเร็ว เวลาจะลงก็ไม่ลงจนขอด และไม่มีคลื่นที่จะทำให้เรือล่ม เขาบอกว่าเวลาที่มีฝนตกก็จะมีเสียงดังซึ่งเป็นเสียงฝนเท่านั้น ในฤดูพายุแม้ว่าจะมีพายุ เรือก็แค่โคลงไม่สามารถจะพลิกเรือได้ แต่เขาบอกว่าจะตื่นเต้นหน่อยฤดูพายุธันเดอร์สตอร์ม จะสบายมากถ้าเป็นฤดูฝนที่ผ่านพายุแล้วเวลาฝนตกเรือจะกระเพื่อม ๆ หน่อย ๆ แล้วบรรยากาศจะดีมาก ถ้าฝนตกพรำ ๆ ตอนเช้า ๆ กับตอนเย็น ๆ แล้วเสียงหลังคาก็จะมีเสียงไม่เหมือนกันนะ เวลาฟังเสียงฝนไปก็นึกถึงเม็ดฝนได้ พ่อก็บอกว่าเห็นไหมว่าชีวิตเขาสวย สวยกว่าชีวิตเราไหมเราไม่ทราบเพราะชีวิตเรายาว แต่ขณะนี้ชีวิตในเรือของเขาถ้าเป็นเรามองเราจะว่าชีวิตเขาสวย แต่เขาอาจจะมองว่าไม่สวยเพราะนั่นมันคือการมองคนละมุม ทั้งหมดมันอยู่ที่ความพอใจ ถ้าคนเรือเขาพอใจในชีวิตเขาเขาก็เป็นสุข ถ้าเราพอใจในชีวิตของเราเราก็เป็นสุข


                ...นอกจากจะขอขึ้นไปชมเรือเขา บ้านเรายังเคยขึ้นไปทานข้าวกับชาวเรือด้วย ตอนแรกพ่อบอกว่าคราวหน้าถ้ามาจอดเรือใหม่จะจำกันได้ไหม เขาก็บอกว่าจำได้เพราะจำคุณหนู ๆ คือจำพวกป้าได้ หลังจากวันนั้นเราก็กลับไปหาเขาอีกครั้ง ป้าคิดว่าพ่อคงนัดเขาแต่เราไม่ทราบ แล้วเราก็เอากับข้าวและข้าวที่เตรียมมาขึ้นไปกินกับเขา กับข้าวเขา แกงส้มของเขารสชาติอร่อยมาก พ่อกับแม่บอกว่าของนี่เป็นแกงส้มชาวบ้านคือเขาตำน้ำพริกแกงส้มเฉย ๆ ไม่ได้ทำเนื้อปลาใส่ลงไป แต่จะใส่ปลาเป็นชิ้น ๆ แล้วก็ใส่ผักลงไป แกงส้มของเขาอร่อยมากเพราะปลาเขาสดมาก


                ...นอกจากวิถีชีวิตริมทางของคนเรือ ป้ายังได้เห็นชีวิตอีกหลายแบบ ช่วงใกล้ค่ำตอนผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาไป เราจะเห็นเรือใหญ่ เห็นเรือสกู๊ดเตอร์ของคนรวย สมัยนั้นบ้านท่านเจ้าคุณรามท่านจะมีเรือยอชต์ลำโต ๆ ออกแล่นเหมือนกัน ขณะที่เขาแล่นเรือยอชต์ พวกเราก็ไปเรือยอชต์ไม้ของเรา ในเรือเขามีเพลงฟัง ในเรือเราก็มีแม่ร้องเพลงให้ฟัง พวกเราอยากไปขึ้นเรือลำนั้นมากเลย พ่อก็จะบอกว่าแต่เรือลำนั้นจะไม่ได้ยินเสียงคลื่นกระทบเหมือนเรือลำนี้นะ เขาไม่ยินเสียงน้ำหยดจากพายไปต้องแม่น้ำนะ เขายืนสูงเขาก็เลยเห็นไปไกลกว่าเรา แล้วแม่ก็บอกว่าไม่ว่าจะเห็นใกล้หรือไกลเราก็ไปถึงที่นั่นได้เหมือนกันนะลูก ลูกไม่ต้องอยากนึกไปอยู่ตรงนั้นหรอก ป้านึกเพราะเราอยากเป็นเจ้าหญิงไง คนรวยเขาจะมีวัฒนธรรมการใส่เสื้อผ้าลงเรือยอชต์นะ ป้าจะชอบมากเวลาเห็นเขาแต่งตัวสวย ๆ ผู้ชายต้องแต่งชุดสีขาวหรือใส่เสื้อออกสีน้ำเงิน ผู้หญิงก็จะมีหมวกมีผ้าโพก สวมกระโปรง เสื้อก็ต้องคอเปิด ๆ เราก็ฝันอยากจะเป็นอย่างนั้น เวลาที่เรือยอชต์โดนแสงนี่เรือที่เป็นสีขาวก็จะเป็นสีออกทอง ๆ ขณะที่เรือไม้ของเราก็จะออกเป็นสีทองแดง จากเจ้าพระยาพอเรือแล่นเข้ามาในคลองบางกอกน้อย เราก็จะเจอวัดเล็กวัดน้อย จะมีศาลาเก่า ๆ ยื่นลงมาในน้ำ พอเริ่มตกพลบแบบนี้ฟ้าจะเริ่มปิดยอดเจดีย์จะสวยมากนี่คือ สิ่งที่ฝังใจป้า จนเป็นแรงบันดาลใจให้ป้าศึกษาเรื่องเจดีย์ ในเวลาต่อมาตลอดทางพ่อจะแวะคุยมาตลอด คนบนเรือยอชต์เอง เมื่อเขาเห็นว่าเราเป็นเด็กไปแหงนมอง เขาก็โบกมือให้เราถามว่าไปไหนคะเราก็ยิ้มชอบใจ มันเป็นความรู้สึกอันหนึ่งมันเป็นความฝังใจว่าสักวันหนึ่งเราจะมีเรือยอชต์


                ...พูดถึงเรือยอชต์ป้าก็อยากพูดถึงคนเรือขายถ่าน เราจะเห็นชัดมากเลยเขาดำแต่ตัว แต่หม้อข้าวเขาสะอาด หรือแม้แต่ชีวิตของคนที่เขาเรียกว่าเรือแท็กซี่ก็คือเรือที่เขารับจ้างวิ่งข้ามฟาก เมียกับลูกเขาก็ยังได้กินข้าวพร้อมกัน ป้าได้เห็นความผูกพันของคนฝั่งกับคนเรือซึ่งจอดเรือตรงไหนเขาก็จะคุยกัน มันเป็นกระแสของความเอื้อเฟื้อของคนไทยที่ดีมาก ๆ เช่น ถ้ามีเรือมาบอกว่าขอจอดเรือกินข้าวหน่อยนะ เขาก็จะเอาสิ บางทีคนบนฝั่งก็จะถามว่ามาเข้าห้องน้ำกันไหมล่ะ ป้าจะได้ยินคำพูดแบบนี้บ่อย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สวยงามมาก หรือแม้แต่ชีวิตคนจนที่เขาอยู่ในเรือลำเล็ก ๆ เขาเองก็สามารถนอนในเรือได้ เรือของเขาจะมีประทุนเป็นสังกะสีบ้าง เป็นจากบ้างแล้วเขาก็นอนในมุ้งเล็ก ๆ ข้างในเขาจะจุดเทียนไว้รำไร ๆ เรือพวกนี้เขาจะแอบชิดฝั่งบางทีเขาก็จะไปอยู่ระหว่างเรือใหญ่ ตรงที่ที่เขามองว่าปลอดภัย แต่ป้ามองว่าอ้างว้างมากเลย ป้าเองเคยถามพ่อว่าคนที่อยู่ในเรืออย่างนี้เวลากลางคืนเขาจะฝันถึงอะไรเพราะมันไม่มีอะไรให้ฝันเลย พ่อบอกว่ายิ่งเขามีชีวิอย่างนี้กลางคืนเขาจะมีเรื่องฝันเยอะมากเลย ถามว่าทำไมเพราะคนเหล่านี้เขายังอยากได้อะไรอีกมากมาย ความฝันเขาจึงเยอะมาก เขาอาจฝันถึงตู้เย็น อาจจะฝันถึงเตียงนอนอย่างที่เรามีกันที่บ้าน ฝันถึงมุ้ง ฝันถึงกลิ่นหอมของดอกไม้ เพราะเขาไม่มีสวนจะเดิน แล้วป้าก็สงสัยอีกว่าดูเขาก็ไม่เห็นจะมีทุกข์เท่าไหร่เลย บางคนนั่งสูบยาอยู่หัวเรือ ยาของเขาก็คือยาเส้นกับบุหรี่ใบตองแห้งที่อยู่ในกระป๋อง 777 บ้างใส่ยาเส้น แล้วก็มานั่งยอง ๆ มวนบุหรี่เวลาเขาสูบบุหรี่ตรงหัวเรือแสงมันจะวาบ ๆ สวยดี ป้าว่าน่าจะมีใครมาเขียนบทกวีชีวิตของเขา


               ...ป้าเคยถามเขาว่า ตื่นเช้ามาเขาทำอะไร เขาบอกว่าเขาก็รับจ้างไปเรื่อย อาหารก็ไม่ได้ทำเองทุกวันหรอกมีหม้อมีเตา แต่บางทีคนก็ให้บ้าง เขาว่าเขาไม่ต้องทำกับข้าวทุกวันหรอก เขาไม่ลำบากขนาดนั้น แค่มีปลาที่เขาตกได้วันละตัวก็พอแล้ว แต่ถ้าวันไหนไม่มีสตางค์เขาก็อาจต้องทำบาปเพราะต้องตกกุ้งตกปลาไปขายที่ตลาดซึ่งเขาไม่อยากทำ เขาบอกว่าเขาอยู่กับแม่น้ำ เขาไม่อยากทำให้แม่น้ำต้องเจ็บปวด การไปเอาสัตว์ ซึ่งเขาบอกว่าปลาและสัตว์น้ำก็คือบริวารของแม่น้ำ เราอาศัยแม่น้ำก็อยู่สบายอยู่แล้วไม่อยากไปรบกวนลูกหลานเขา แต่ถ้าต้องทำเขาก็จะบอกกับแม่พระคงคาว่าเขาไม่มีสตางค์เลย ถ้าต้องทำก็ขอชีวิตที่ถึงคาดจริง ๆ แล้วเมื่อขอแค่ไหนเมื่อได้ตามสัญญาต้องพอแค่นั้น คนในเรือลำเล็กบางคนก็เล่นดนตรี บางคนเป่าขลุ่ยในเรืออี๊ออ ๆ ไปเรื่อยเลย มีลำหนึ่งเขาเล่นดนตรีจีน เดาว่าจะเป็นซอจีนเสียงมันวังเวงมาก ๆพอได้ยินแล้ว ไม่อยากให้ตาเขาเล่นเลยเหมือนจะร้องไห้น่าสงสาร ทั้งหมดนี้นี่เป็นชีวิตของคนที่อยู่บนเรือลำเล็ก จากเจ้าพระยา พอเรือของเราแล่นเข้าคลองบางกอกน้อยเราก็จะได้เห็นชีวิตอีกแบบหนึ่งเป็นชีวิตของคนมุสลิมที่มีร้านขายที่นอน ร้านขายปืน บางทีก็เห็นเขากำลังสวดมนต์ บ้านคนมุสลิมส่วนใหญ่จะมีระเบียงใหญ่ มีโถงหน้าบ้านและก็จะมีดาวกับเดือนติดอยู่ แต่เราไม่เคยมีความรู้สึกว่าต่างศาสนากันแล้วจะเป็นอย่างไร ที่คลองบางกอกน้อยเราจะมีเพื่อนของคุณแม่คนหนึ่งเป็นเจ้าของที่นอนบางกอกน้อย เวลาไปถึงบ้านเขาเขาจะยินดีต้อนรับพวกเรามาก เวลาไปทานข้าวที่บ้านเขา เราจะไม่เอาหมูขึ้นบ้านเขา คือถ้าเราจะลงเรือจะไม่มีการเอาหมูลงเรือเพราะพ่อบอกว่ามันไม่แน่ว่าเราจะแวะบ้านเขาหรือเปล่า เราก็จะมีปลาทูทอด ซึ่งถ้าไปถึงปุ๊บก็ทานด้วยกันได้เลย ส่วนบ้านเพื่อนคุณแม่ก็จะมีแกงกุลหม่าน แกงอะไรต่ออะไรของเขาซึ่งป้าจะไม่กินกับข้าวของเราเลยเพราะแกงเขาอร่อยมาก แต่ก่อนจะทานข้าวเมื่อไปถึงป้าจะเล่นน้ำตรงสะพานท่าน้ำเพราะคลื่นจะไม่แรงเหมือนตรงท่าน้ำใหญ่ เราเล่นจนกระทั่งเคราขึ้นหรือตะไคร่น้ำจับจึงจะขึ้นมาทานข้าวกัน พอทานเสร็จก็จะคุยกันป้าก็จะเดินเล่น ป้าได้เห็นสวนของเขา ได้เห็นวิถีชีวิตของเขา บ้านกับครัวเขาจะอยู่แยกกันสร้างด้วยไม้หมดเลย ครัวที่แยกต่างหากจะใหญ่ประมาณสักห้องหนึ่งของบ้าน มีหน้าต่างเปิดไม่มีกลิ่นอาหารเลย สะอาดมาก ป้าจะรู้สึกว่าคนจีนหรือมุสลิมที่สกปรกจะมาทีหลังหลังจากสังคมตะวันตกเข้ามาหาเรา เพราะปกติคนเอเชียจะมีชีวิตเรียบง่าย กินอยู่ง่าย ไม่ซับซ้อน และจะไม่เก็บสมบัติ และเราจะมีเรื่องกามน้อยกว่าคนตะวันตก พอมีเรื่องกามน้อยก็จะไม่ทำให้มีเรื่องชู้สาวกันมากมายเหมือนในปัจจุบัน สังคมจึงอบอุ่นและสะอาด เราไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาฉุดลูกเราไป


                 บ้านในคลองบางกอกน้อย พอตกกลางคืนเขาจะจุดไฟกัน คนสมัยก่อนเขาจะไม่มีโคมไฟ จะมีก็แต่ไฟเปลือย ๆ ที่หมุนตรงกลางขั้ว และมีโคมขาว ๆ ที่จะเปิดตามท่าน้ำ ดูแล้วโรแมนติกมากเลย จะดูให้ว้าเหว่หรือดูให้โดดเดี่ยวก็ได้ ตอนที่เราแล่นเรือกลับบ้านตอนกลางคืน ป้าเคยถามแม่ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าแม่น้ำเขาร้องไห้หรือหัวเราะ เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าแม่น้ำมีความทุกข์หรือความสุข แม่บอกว่ามันขึ้นอยู่กับตัวลูก ถ้าลูกร้องไห้แม่น้ำก็จะเสียใจ ถ้าหนูหัวเราะแม่น้ำก็จะสดชื่น แม่จะบอกว่าทุกอย่างรอบตัวมันเกิดขึ้นจากตัวเรา เพราะถ้าเราเสียใจแม่น้ำจะสวยยังไง เพราะกระแสของหัวใจเราจะกระทบแม่น้ำ แต่ถ้าเราดีใจยังไงเราก็จะบอกว่าแม่น้ำสวยใช่ไหม เวลาแล่นเรือกลับป้าจะได้ยินนิทานจากแม่มากมาย สุนทรีย์ในชีวิตที่ได้จากเจ้าพระยาคือ ชีวิตทั้งนั้นมันมีมวลของความสวยงามซ่อนอยู่ในทุก ๆ ชีวิตเลย สำหรับป้า...ชีวิตทั้งหมดย่อมมีทุกข์และสุข ไม่ว่าคนเรือจน ๆ ที่มีชีวิตอยู่ในแม่น้ำ หรือคนบนเรือยอชต์ที่เราว่าเขามีความสุข เขาก็ต้องมีมูลของความทุกข์เหมือนกัน ซึ่งเมื่อต่อมาเมื่อป้าโตขึ้น พ่อเคยพูดว่า ชีวิตก็เหมือนเรือที่ลอยอยู่ในแม่น้ำที่ไม่รู้ว่าชีวิตของเราจะดำเนินไปที่ไหน ขึ้นอยู่ที่ความพอใจ และเราเก็บความสวยงามของแม่น้ำมาใช้กับชีวิตได้ไหม


               ...ขากลับบ้านถ้าเป็นคืนเดือนสว่างเงาของแม่น้ำจะสวยมาก มันจะมีเงาตามหลืบของต้นไม้ ถ้าเป็นคืนที่ดาวเต็มท้องฟ้าก็จะสวยมากเช่นกันแต่จะเป็นอีกแบบหนึ่ง ป้าจะนอนดูดาวไปตลอดทาง ส่วนถ้าเป็นคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เราจะไม่ต้องจุดคบ แล้วเราก็จะเห็นยอดคลื่น น่ารักมากมันจะตุ๊กติ๊กๆ เป็นเเสงตลอดเวลาเลย ช่วงเวลาที่เรากลับบ้าน พ่อกับแม่บอกว่าแม่น้ำจะร้องเพลงฮีมคือเพลงกล่อมเด็ก ให้ลองฟังดู ถ้าบ้านไหนมีต้นลำพูมันจะมีเสียงฮีมชัดเเละมีเสียงหิ่งห้อยด้วย เสียงฮีมก็คือเสียงน้ำที่กระทบกับรากของต้นลำพูเพราะรากของลำพูมันจะสูง และช่วงนั้นเสียงลมก็จะไม่เหมือนกัน ลมช่วงเย็นจะเป็นอีกกระแสหนึ่ง พอพลบค่ำลมก็จะเป็นอีกกระแสหนึ่ง พอฟ้าปิดแล้วต้นไม้ก็เหมือนจะพูดได้ ซึ่งมันอาจเป็นเสียงกุ้งเสียงปลาที่ออกมาหากินเวลากลางคืนก็ได้ ขากลับพ่อจะให้เรือแล่นเรียบฝั่งไม่ออกไปกลางแม่น้ำ พ่อบอกว่าถ้าที่นิ่งมาก ๆ ไม่ให้เข้าไปอันตรายเพราะอาจมีจระเข้ แล่น ๆ เรือไปพ่อก็จะจอดเรือให้ป้าฟังเสียงอีก ป้าก็จะฟังและพ่อบอกว่าวันหนึ่งถ้าหนูฟังเพลงเป็นหนูจะสัมผัสได้ว่าเพลงพวกนี้จะเพราะที่สุด


              ...สิ่งเหล่านี้เป็นความงดงาม...เป็นความสุขและความสุนทรีย์ที่ป้าได้จากเจ้าพระยา และเป็นความทรงจำที่ไม่เคยเลือนไปจากความรู้สึกของป้าเลยสักช่วงเวลา

จากหนังสือ อันเนื่องมาจาก...ความรัก
เกษมสุข ภมรสถิตย์

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.033531697591146 Mins