ขณะนั้น องค์อรหันต์พระวังคีสเถรเจ้า ซึ่งกำลังนั่งอยู่ในสำนักแห่งองค์สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้า ครั้นแลเห็นเทพบุตรซึ่งรุ่งเรืองไปด้วยอานุภาพมากมายเห็นปานนั้น พระผู้เป็นเจ้ามีความประสงค์ใคร่จะสนทนาปราศรัยด้วย จึงกราบทูลพระกรุณาขอพระพุทธวโรกาสขึ้นว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีความประสงค์ใคร่จะขอถามซึ่งบุพกรรมแห่งเทพบุตรผู้นี้ พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงมีพระบรมพุทธานุญาตว่า
“ดูกรวังคีสะ เมื่อเธอประสงค์จะไต่ถามสิ่งไร ก็จงไต่ถามตามอัธยาศัยเถิด”
พระผู้เป็นเจ้าวังคีสเถระ จึงมีเถรวาทีไต่ถามเทพบุตรนั้นว่า
“ดูกรท่านเทพบุตร ท่านขึ้นขี่เหนือคอไอยราชาติกุญชรโตใหญ่มหึมามีกายประดับประดาไปด้วยเครื่องทอง มีกระพองประดับไปด้วยข่ายแก้ว เป็นกุญชรชาติเผือกขาวบริสุทธิ์หาราคีมิได้ แวดล้อมไปด้วยเทพบริวารมาจากเทวโลกด้วยอานุภาพเป็นอันมาก ยังทิศน้อยใหญ่ทั้งหลายให้โอภาสรุ่งเรืองสว่างไปด้วยรัศมีงดงาม ดุจรัศมีแห่งดาวประกายพรึก ทิพยสมบัติเหล่านี้เกิดขึ้นแก่ท่านได้อย่างไร ในชาติก่อนเมื่อยังเป็นมนุษย์นั้น ท่านได้ประกอบกองการกุศลเป็นประการใด จึงได้รุ่งเรืองไปด้วยอานุภาพอันมากมายเห็นปานนี้”
เทพบุตรอดีตอุบาสกจึงประนมหัตถ์นมัสการพระวังคีสเถรเจ้า แล้วมีเทพยวาที วิสัชนาว่า
“ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ เมื่อโยมเป็นมนุษย์นั้น โยมเป็นอุบาสกสาวกแห่งองค์สมเด็จพระพุทธเจ้า มีเคหสถานอยู่ ณ เมืองราชคฤห์นี้เอง นับตั้งแต่โยมได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนาปฏิญาณตนเป็นอุบาสกแล้ว โยมก็งดเว้นจากบาปเหล่านี้ คือ
การฆ่าสัตว์ การลักทรัพย์ กามมิจฉาจาร เจรจามุสาวาท เสพสุราเมรัย
นอกจากนี้ โยมยังมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายข้าวและน้ำให้เป็นทานโดยคารวะ เมื่อถึงวาระอุโบสถศีล โยมก็อุตส่าห์สมาทานองค์อุโบสถ ๘ ประการทุกวารวัน เมื่อโยมแตกกายทำลายขันธ์จากมนุษยโลกนี้แล้ว จึงได้ไปเกิดเป็นเทพบุตร ณ ดางดึงส์แดนสุขาวดี มีทิพยสมบัติดังที่พระผู้เป็นเจ้าเห็นอยู่นี้แล เจ้าข้า”
เทพบุตรสุดโศภา วิสัชนาซึ่งบุพกรรมแห่งตนให้พระวังคีสเถรเจ้าฟังดังนี้แล้ว ก็ถวายนมัสการลาสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้า และกราบนมัสการอำลาพระวังคีสมหาเถรเจ้า พาเทพบริวารกลับไปยังเทวสถานพิมานแห่งตน ณ ดางดึงสเทวโลก ด้วยประการฉะนี้
เมื่อท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายได้ทราบว่า ชนกกรรมก็คือกรรมที่ทำหน้าที่ชักนำปฏิสนธิ โดยเป็นพนักงานตกแต่งให้สัตว์ทั้งหลายไปเกิดในภูมิต่าง ๆ ถ้าเป็นชนกกรรมฝ่ายอกุศล ก็ทำหน้าที่ชักนำให้สัตว์บุคคลไปปฏิสนธิในทุคติภูมิ ถ้าเป็นชนกกรรมฝ่ายกุศล ก็ทำหน้าที่ชักนำให้สัตว์ทั้งหลายไปถือปฏิสนธิในสุคติภูมิดังกล่าวมาแล้ว ต่อจากนี้ไป ก็ควรจะได้ศึกษาให้ได้ทราบถึงกรรมอีกประการหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกับชนกกรรม กรรมที่ว่านี้ มีชื่อว่า อุปถัมภกกรรม
อุปตถมเภตีติ อุปตถมภกํ
“กรรมใด ย่อมทำหน้าที่ช่วยอุปถัมภ์รูปนาม
ที่เป็นวิบากของชนกกรรมให้เจริญ
กรรมนั้น ชื่อว่า อุปถัมภกกรรม”