ตัวอย่างการรับทุกข์ทรมาน
จากการลงโทษในนรก
๑. หญิงที่ทำลายลูกในครรภ์ของตนเอง ตายแล้วต้องเสวยทุกข์ในเวตตรณีอุสสทนรก คือต้องอยู่ในน้ำเค็มกัดกร่อนตัว ในน้ำยังมีหวายหนามซึ่งมีความแหลมคมคอยทิ่มแทง
๒. หญิงที่ชอบคบชู้ หรือแย่งสามีของผู้อื่น ชายที่ชอบเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น คนเหล่านี้เมื่อตายไป ตกนรกสิมปลิวนะอุสสทนรก (นรกป่าไม้งิ้ว) แล้ว ยังมีเศษกรรมเหลืออยู่ ต้องไปตกนรกโลหกุมภีนรกต่อ คือ ถูกต้มอยู่ในน้ำที่ร้อนเหมือนไฟ ในหม้อโลหะใบมหึมา ในชาดกบางเรื่องกล่าวว่า หญิงที่ชอบคบชู้หรือแย่งสามีผู้อื่น ตายแล้วไปเสวยทุกข์อยู่ในสังฆาตะนรก (นรกที่มีภูเขาเหล็กบดทับ) ส่วนชายที่ชอบเป็นชู้กับภรรยาผู้อื่นไปเสวยทุกข์ในอังคารกาสุนรก (นรกหลุมถ่านเพลิง)
๓. ผู้ที่ชอบเบียดเบียนขัดเคืองผู้ที่อ่อนแอกว่า ตกอยู่ในเวตตรณีนที (แม่น้ำเค็มที่มีหวายหนามแหลมคมคอยที่มแทงบาดตัว แผลถูกน้ำเค็มกัดกร่อนยิ่งเจ็บร้อนปวด
๔. ผู้มีความตระหนี้จัด ขัดเคืองต่าเบียดเบียนสมณพราหมณ์ เสวยทุกข์ในนรกชุมที่มีสัตว์น่ากลัวต่าง ๆ เช่น สุนัขแดง สุนัขต่าง แร้ง ฝูงกา รุมเคี้ยวกัดกิน
๕. ผู้เบียดเบียนประทุษร้ายชายหญิงที่อยู่ในคุณธรรมความดี ถูกลงโทษทุบตีด้วยท่อนเหล็กที่ลุกเป็นไฟอยู่ในนรกแผ่นดินเหล็ก
๖. ผู้พยายามโกงทรัพย์ของประชุมชน เช่นทำการเรี่ยไรทรัพย์ อ้างว่าจะนำไปปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุ แล้วคดโกงไปใช้ส่วนตัว กล่าวเท็จเบียดบัง รวมอยู่ในเรื่องการหลอกลวงประชุมชน ตายแล้วต้องรับโทษอยู่ในนรกหลุมถ่านเพลิง
๗. ผู้ที่เป็นมนุษย์ชอบนำสัตว์เช่นนกมาฆ่า ตายแล้วกลายเป็นสัตว์นรกนอนหัวขาดอยู่ในโลหกุมภีนรก
๘. ผู้ประกอบอาชีพไม่บริสุทธิ์ เช่น ขายข้าวเปลือกบนดินทราย จะเป็นสัตว์นรกที่กระหายน้ำมาก ครั้นนำน้ำมา ใครจะดื่ม น้ำนั้นกลายเป็นขี้เถ้าร้อนไป
๙. ผู้หลอกลวงฉ้อโกงทรัพย์สินผู้อื่น ตัดช่องย่องเบา ปล้น จี้ เอาข้าวของเงินทอง ตลอดจนสัตว์เลี้ยงนำมาเลี้ยงชีวิตตน ตายแล้วถูกทรมานด้วยหอกอยู่ในนรกอาวุธต่างๆ
๑๐. ผู้เคยฆ่าสัตว์ มีแพะ แกะ สุกร ปลา ฯลฯ นำเนื้อไปขาย ตายแล้วจะถูกนายนิรยบาลลงโทษผูกคอด้วยเชือกเหล็กติดไฟลุกโพลง คร่านำตัวมานอนลงบนแผ่นดินที่เป็นแผ่นเหล็กติดไฟลุกโพลง ทุบตีด้วยอาวุธชนิดต่าง ๆ บางพวกนายนิรยบาลจับตัวมาตัดเป็นชิ้น ๆ วางไว้
๑๑. ผู้ที่ชอบเบียดเบียนมิตรสหาย และตั้งมั่นในความเบียดเบียนผู้อื่นทุกเมื่อถูกบังคับให้กินมูตรและคูถเป็นอาหาร ในนรกขุมอุจจาระ ปัสสาวะ
๑๒. ผู้ที่ฆ่ามารดา บิดา พระอรหันต์ ตายแล้วหลังจากรับโทษในมหานรกขุมใหญ่ เศษบาปยังไม่สิ้น ต้องมาเป็นสัตว์นรกที่มีความหิวกระหายครอบงำจัด อดกลั้นมิได้ ต้องเคี้ยวกินเลือดหนองของตนเองในนรกขุมเลือดหนอง
๑๓. ผู้ที่แกล้งตีราคาของผิดจากความเป็นจริง ของราคาแพงบอกเป็นราคาถูก มีความโลภประกอบกรรมคดโกงพูดจาอ่อนหวานปกปิดการโกง เหมือนคนตกปลาเอาเหยื่อหุ้มเบ็ด เมื่อตายแล้วถูกลงโทษโดยนายนิรยบาลเอาเบ็ดลุกโพลงด้วยไฟ โตเท่าต้นตาลเกี่ยวลิ้นคร่าตัวให้นอนลงบนแผ่นโลหะที่ลุกเป็นไฟเช่นเดียวกัน แล้วเอาขอเหล็กสับไปตามผิวหนัง ต้องเจ็บปวดดิ้นรนเหมือนปลาดิ้นอยู่บนบก ร้องครวญครางอยู่ในนรกเบ็ดเหล็ก
๑๔. เมื่อครั้งเป็นกุลธิดาอยู่ในเมืองมนุษย์ ประพฤติกรรมอันไม่สมควร ทำตนเป็นหญิงนักเลง ทิ้งสามีไปยินดีในบุรุษอื่น ตายแล้วต้องเกิดในนรกภูเขาเหล็ก มีภูเขาไฟกลิ้งมาทั้ง ๔ ทิศ บดร่างแหลกเป็นจุณ ตายแล้วเกิดใหม่จมอยู่ในแผ่นดินเพียงเอว ร่างกายเป็นแผลแตกแยก เปรอะเปื้อนด้วยเลือดหนอง มีศีรษะขาต และมีภูเขากลิ้งมาจากทิศทั้ง ๔ แล้วบดจนแหลกละเอียดอยู่ดังนี้
๑๕. ผู้ที่ชอบทำบาปล่วงภรรยาผู้อื่น และลักทรัพย์สินมีค่า เมื่อตายแล้วบางพวกถูกนายนิรยบาลจับพุ่งศีรษะทิ่มลงไปในนรก
๑๖. ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ๑๐ ประการ คือเชื่อว่าทานที่ให้ไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลของความดีความชั่วไม่มี มารดาไม่มีคุณ บิดาไม่มีคุณ สมณพราหมณ์ที่ปฏิบัติดีไม่มี สัตว์ที่เกิดขึ้นเอง (โอปปาติกะ เช่น สัตว์นรก เทวดา) ไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี และยังชักชวนให้ผู้อื่นเข้าใจผิดตาม พวกนี้ถูกลงโทษหนักเป็นพิเศษ
ตัวอย่างความเป็นอยู่ของสัตว์นรกบางขุมที่เห็นได้จากการเจริญภาวนา
ขึ้นชื่อว่าสัตว์นรก หมายถึงสัตว์ที่อยู่ในสถานที่ ที่มีแต่การได้รับความทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา ที่นับว่าเป็นความทุกข์ร้ายแรงแสนสาหัส คงจะได้แก่การไม่รู้จักตายให้พ้นไปจากที่นั้น เพราะตราบใดยังไม่สิ้นบาปกรรมที่กระทำไว้ แม้จะถูกลงโทษทรมานหนักหนาเพียงใดจนถึงตายก็จริง แต่จะกลับฟื้นคืนชีวิตเป็นตัวตนขึ้นมาใหม่ในทันที และรับโทษทัณฑ์ต่อไปตามเดิม กระทั่งใช้หนี้กรรมหมดลงจึงจะได้ตายพ้นจากที่นั้น
สัตว์นรกแต่ละขุมมีขนาดของร่างกายไม่เหมือนกัน บางแห่งมีตัวโตใหญ่มาก (คงเพื่อให้รู้สึกเจ็บปวดมากเมื่อถูกลงโทษ) บางแห่งมีขนาดเท่าคนปกติ แต่มีลักษณะรูปร่างผิวพรรณอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งกว่าซากศพ มักจะมีสภาพหนังหุ้มกระดูก เสื้อผ้าขาดวิ่น โดยเฉพาะนรกขุมที่ลงโทษผู้ที่ประพฤติผิดประเวณี กาเมสุมิจฉาจารไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ สัตว์นรกในขุมนี้ไม่มีผ้านุ่งห่มเลย
การลงโทษแต่ละแห่งแตกต่างกันออกไปตามอำนาจของกรรมบันดาลบางแห่งลงโทษด้วยเปลวไฟนรก บางแห่งลงโทษด้วยศาสตราวุธ บางแห่งลงโทษด้วยถูกสัตว์ยักษ์ทำร้ายหรือกัดกินเป็นอาหาร บางแห่งถูกแช่ในทะเลน้ำกรด บางแห่งถูกลงโทษด้วยการปีนต้นไม้หรือเถาวัลย์ที่มีหนามยาวแหลมคม บางแห่งถูกลากตัวครูดไปกับแผ่นหรือเสาโลหะที่ถูกเผาไฟจนร้อนแดง ฯลฯ
ขอยกตัวอย่างการถูกลงโทษของสัตว์นรกชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งประพฤติผิดประเวณีกันไว้ในสมัยเป็นมนุษย์ ฝ่ายชายตายลงก่อน กายละเอียด (กายมนุษย์ละเอียด หรือกายฝัน หรือเรียกว่า กายไปเกิดมาเกิด) ออกจากร่างเดินทางไปในที่กันดารแห้งแล้ง มีแสงแดดแผดจ้าร้อนแรง มองเห็นต้นไม้ใหญ่ใบตกหนาร่มชื่นอยู่ไม่ห่าง จึงรีบเดินเข้าไปหยุดพักอาศัยร่มเงา นั่งอยู่ชั่วครู่เดียวไม่ทันหายเหนื่อยก็มองเห็นฝ่ายหญิงเดินมา (ฝ่ายหญิงตายที่หลัง แต่เวลาในนรกกับโลกมนุษย์แตกต่างกันมาก เช่นในนรกขุมแรกเวลา ๑วัน เท่ากับ 4,000,000 ปีมนุษย์ ดังนั้นในมนุษย์โลกแม้จะตายห่างกันนับเป็นสิบ ๆ ปีก็จะเป็นเวลาเพียงครู่เดียวในนรก)
ทั้งชายและหญิงพากันดีใจมากที่ได้พบกันอีก ขณะที่กำลังรีบเดินเข้าหากันนั้นเองกรรมของเขาทั้งคู่บันดาลให้ต้นไม้นั้นเปลี่ยนแปลงไปในพริบตา ใบไม้ดกหนาที่เคยมองดูร่มรื่นหายไปจนหมด ตามลำต้นกลับมีหนามยาวทั้งแหลมคม ปลายหนามมีเปลวไฟลุกติดอยู่โชติช่วง รอบตัวทุกทิศทุกทางมีสัตว์ตัวโตใหญ่เรียกว่าสุนัขยักษ์วิ่งมาด้วยอาการขู่คำราม สัตว์นรกทั้งคู่พากันตกใจ มีหนทางหนีทางเดียวคือปืนขึ้นไปบนต้นไม้จิ๋วนรกนั้น พอก้าวขึ้นก็ปรากฏว่าคนหนึ่งขึ้นไปอยู่ได้เองบนยอดไม้คนหนึ่งอยู่ที่โคนต้น ไม่ได้อยู่ด้วยกัน
คนที่อยู่โคนต้น นอกจากถูกสุนัขยักษ์ไล่กัดแล้ว ยังมีนายนิรยบาลเจ้าหน้าที่ลงโทษสัตว์นรก ใช้หอกอันแหลมคมที่มแทงไล่ให้ปีนขึ้นไปหาฝ่ายที่อยู่บนยอดต้นไม้ ทำอาการเหมือนจะบอกว่า “เมื่อเป็นมนุษย์อยู่ เราสองคนรักกันมากนักไม่ใช่หรือ จนต้องร่วมกันทำบาปกรรม ประพฤติผิดศีลธรรม ตอนนี้มาอยู่ในนรกแล้ว ก็ควรรักกันต่อไปรีบขึ้นต้นไม้หนามนิ้วขึ้นไปหากันสิ”
ด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง ฝ่ายที่อยู่โคนต้นก็จะพยายามปีนหนามจิ๋วที่ลุกเป็นไฟขึ้นไปด้วยความทุกข์ทรมาน เลือดอาบร่าง สำหรับฝ่ายที่อยู่บนยอดไม้ กลับปรากฏว่ามีนกยักษ์ตัวใหญ่พอ ๆ กับสุนัขยักษ์ ใช้จงอยปากอันคมกริบจับตัวฉีกกิน ตัวฉีกขาดออกเป็นชิ้น ๆ ถูกเหวี่ยงทิ้งลงที่โคนต้นไม้ แล้วพลันฟื้นเป็นตัวขึ้นมาใหม่ ถูกสุนัขยักษ์และนายนิรยบาลบังคับให้ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ เมื่อถึงยอดก็ถูกนกยักษ์จิกตัวฉีกออก วนเวียนซ้ำซากอยู่ดังนี้ทั้ง ๒ คน ไม่มีวันได้พบ ได้อยู่ด้วยกัน เป็นอยู่ดังนี้นับคำนวณเวลาไม่ได้จนกว่ากรรมเบาบางลง หนามจิ๋วก็จะค่อยลดความแหลมคม และสั้นลง ๆ เมื่อหมดกรรมจากนรกขุมนี้ ก็จะพลันตายไปเกิดรับเศษกรรมในนรกขุมย่อยอื่น ๆ เมื่อหมดเศษกรรมในนรกขุมย่อยทั้งหมด จึงจะได้มาเกิดเป็นเดรัจฉาน เช่น สุนัข ม้า ลา โค ฯลฯ ให้ถูกตอนถูกทรมานใช้งาน พ้นจากเดรัจฉานจึงจะได้มาเกิดเป็นคนพิกลพิการ เป็นกระเทยเป็นโสเภณี ท้ายที่สุดจึงเป็นผู้หญิงธรรมดา การเกิดแต่ละประเภทมิใช่เกิดเพียงชาติเดียว แต่นับเป็นเวลานาน อย่างละไม่ต่ำกว่า ๕๐๐ ชาติ
ในนรกนั้นเหล่าสัตว์นรกมักได้เห็นภาพลวงตาอยู่เสมอ เช่นเมื่อกำลังถูกไฟรุมล้อมแผดเผาอยู่ บางที่มองเห็นเป็นแม่น้ำเย็นใสสะอาด มีดอกบัวใบบัว ฝักบัว ดูร่มรื่นสัตว์นรกจะพากันวิ่งกระโดดลงไป น้ำนั้นกลับกลายเป็นน้ำกรด ดอกบัว ใบบัว ฝักบัวกลายเป็นของมีคมที่มแทงให้เจ็บปวดหนักหนา
หรือบางทีขณะที่นายนิรยบาลกำลังทรมานใช้ศาสตราวุธที่มแทงเชือดเฉือนสัตว์นรกบางตนอยู่ สัตว์นั้นร้องครวญครางด้วยความทุกข์ ความเจ็บปวดแสนสาหัส แต่ในสายตาของสัตว์นรกตัวอื่นกลับมองเห็นอาการเหล่านั้นไปในทางที่ดีงาม เช่นมองเหมือนนายนิรยบาลนำอาหาร หรือการช่วยเหลืออื่น ๆ ให้แก่สัตว์นรกตัวนั้น ๆ ทำให้พวกที่เห็นอยากได้รับการกระทำอย่างนั้นบ้าง รีบยื้อแย่งกันเข้าไปหานายนิรยบาล ไม่มีใครรู้สึกหวาดกลัวหลบหนี เพราะภาพมายาเหล่านั้นลวงตาไว้ เสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดของสัตว์ทั้งหลายที่ถูกลงโทษกลับฟังเป็นเสียงที่เปล่งด้วยความดีใจ เป็นต้น
ส่วนสัตว์นรกตนใดที่ถูกนายนิรยบาลลงโทษจนถึงตายไปแล้ว ก็จะพล้นเกิดเป็นร่างอุบัติขึ้นใหม่ พร้อมกันนั้นก็ลืมเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ตนถูกทรมานไปจนหมด เห็นไปตามภาพลวงตาใหม่ วนเวียนซ้ำซากอยู่ไม่รู้จบ จนกว่าจะใช้หนี้กรรมเวรเหล่านั้นหมด
เกี่ยวกับเรื่องการประกอบอกุศลกรรมในขณะเกิดเป็นมนุษย์ ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย แต่กลับต้องได้รับโทษทัณฑ์ในอบายภูมิเป็นเวลายาวนานมากมายหลายเท่าตัวนั้นผู้เขียนมีความเห็นว่า กรรมทุกชนิดจะมีผลมากหรือน้อยนั้น ความสำคัญอยู่ที่ตัว
“เจตนา” ดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
เจตนา ห์ ภิกขเว กมุม์ วทามิ ฯลฯ แปลว่า เจตนานี้เป็นตัวกรรม
เจตนาในการทำชั่ว เมื่อเกิดขึ้นในครั้งใด ไม่ใช่เกิดเพียงครั้งเดียว กระแสจิตที่เกิดดับวนเวียนอยู่ในเรื่องนั้น ๆ เกิดดับรวดเร็วนับจำนวนวิถีจิตไม่ถ้วน การเกิดขึ้นของวิถีจิตในการทำบาปครั้งหนึ่งๆ จึงมีจำนวนมากมาย ดังนั้นเมื่อเวลารับโทษก็ควรต้องรับโทษด้วยจำนวนชาติมากมายเช่นเดียวกันจึงสาสม
มหานรกขุมใหญ่ทั้ง ๔ ขุม มีกำหนดอายุประมาณไว้ดังนี้
ขุมที่ ๑. สัญชีวะนรก มีอายุ ๕๐๐ ปี เป็นอายุกัปเปรียบกับปีของมนุษย์แล้ว
๑ วันในสัญชีวะนรก เท่ากับ ๙ ล้านปีมนุษย์
๕๐๐ ปีในสัญชีวะนรก จึงเท่ากับ ๑,๖๒๐,๐๐๐ ล้านปีของมนุษย์
ขุมที่ ๒. กาฬสุตตะนรก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี เป็นอายุกัป
เทียบ ๑ วัน เท่ากับ ๓๖ ล้านปีของมนุษย์
๑,๐๐๐ ปี จึงเป็นเวลา ๑๒,๙๖๐,๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
ขุมที่ ๓. สังฆาตะนรก มีอายุ ๒,๐๐๐ ปี เป็นอายุกัป
เทียบ ๑ วัน เท่ากับ ๑๔๔ ล้านปีของมนุษย์
๒,๐๐๐ ปี จึงเป็นเวลา ๑๐๓,๖๘๐,000 ล้านปีมนุษย์
ขุมที่ ๔. โรรุวะนรก มีอายุ ๔,๐๐๐ ปี เป็นอายุกัป
เทียบ ๑ วัน เท่ากับ ๕๗๖ ล้านปีของมนุษย์
๔,๐๐๐ ปี จึงเป็นเวลา ๘๓๑,๐๔๐,๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
ขุมที่ ๕. มหาโรรุวะนรก มีอายุ ๘,๐๐๐ ปี เป็นอายุกัป
เทียบ ๑ วัน เท่ากับ ๒,๓๐๔ ล้านปีของมนุษย์
๘๐๐๐ ปี จึงเป็นเวลา ๖,๖๓๕,๕๒๐,000 ล้านปีมนุษย์
ขุมที่ ๖. ตาปนะนรก มีอายุ ๑๖,๐๐๐ ปีเป็นอายุกัป
เทียบ ๑ วัน เท่ากับ ๙,๒๑๖ ล้านปีของมนุษย์
๑๖,๐๐๐ ปี จึงเป็นเวลา ๕๓,๐๘๔,๑๖๐,๐๐๐ ล้านปีมนุษย์
ขุมที่ ๗. มหาตาปนะนรก มีอายุเทียบครึ่งอันตรกัปของมนุษย์
ขุมที่ ๘. อวีจีนรก มีอายุเทียบกับ ๑ อันตรกัปของมนุษย์
การนับอันตรกัป นับด้วยวิธีดังนี้ คือในสมัยต้นกับมนุษย์มีอายุยืนถึงอสงไขยปีเป็นอายุกัป ต่อมาอายุของมนุษย์ค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งถึง ๑๐ ปี เป็นอายุกัปแล้วอายุของมนุษย์ค่อยเพิ่มขึ้นอีกจนถึงอสงไขยปีเป็นอายุกัปอย่างเก่าอีก ระยะเวลานับแต่อายุไขลงจนไขขึ้นเท่าเดิมดังนี้คู่หนึ่ง เรียกเป็น ๑ อันตรกัป